“หลินเฟิง ั้แ่นี้ไปเ้าคือประมุขคนใหม่ของนิกายหยุนไห่”
น้ำเสียงเคร่งขรึมได้เข้าไปในหูของหลินเฟิง ทำให้หลินเฟิงสั่นเทาเล็กน้อยเมื่อมองไปที่ผู้าุโเป่ย
“หลินเฟิง แม้ว่าตอนนี้นิกายหยุนไห่จะไม่มีใครเหลือแล้ว แต่ข้ากลับไม่อยากทอดทิ้งนิกาย นั่นคือความ้าของหนานกงหลิง ในภายภาคหน้าหากมีโอกาส หวังว่าเ้าจะสามารถฟื้นฟูนิกายหยุนไห่ขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง”
เหมือนผู้าุโเป่ยจะอายุลดไปเยอะเมื่อมีสีหน้าที่เคร่งขรึม หลินเฟิงได้แต่พยักหน้าให้อย่างหนักแน่น
“ข้าหลินเฟิงหากยังไม่ตาย ข้าจะทำให้นิกายหยุนไห่ปรากฏแก่สายตาสาธารณชนอีกครั้ง!”
“ดี!”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้าุโเป่ย และตบไปที่ไหล่ของหลินเฟิงอย่างพึงพอใจ
“หลินเฟิง ยังมีอีกเื่ที่ข้า้าจะบอกกับเ้า”
“ผู้าุโเป่ย โปรดบอกข้า”
“ครั้งหนึ่งท่านพ่อของเฟยเฟยหลิ่วชั่งหลันและหนานกง เป็ศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในนิกายหยุนไห่ ประมุขคนก่อนของนิกายจึงตั้งความหวังไว้สูงมาก นั่นก็คือท่านอาจารย์ของหนานกง ในความเป็จริงเขามีแนวโน้มที่จะให้หลิ่วชั่งหลันรับ่ต่อเป็ประมุขของนิกายหยุนไห่ นอกจากนี้ยังได้ให้หลิ่วชั่งหลันหมั้นหมายกับลูกสาวสุดที่รักเพียงคนเดียวอีกด้วย”
“แต่ในภายหลังหลิ่วชั่งหลันกลับทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างและออกไปจากนิกาย เพราะเขาอยากให้หนานกงได้รับตำแหน่งประมุข แต่สิ่งที่หลิ่วชั่งหลันคิดไม่ถึงนั่นก็คือ ลูกสาวของประมุขคนก่อนได้ตกหลุมรักเขาเป็อย่างมาก นางทนไม่ได้กับความเ็ปที่ถูกทอดทิ้ง หลังจากนั้น... นางก็ได้ฆ่าตัวตาย ท่านประมุขจึงรู้สึกเ็ปอย่างยิ่ง ครั้งนั้นหลังจากที่หลิ่วชั่งหลันออกจากนิกายหยุนไห่ไปก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย ไม่รู้ว่าเป็ตายร้ายดีอย่างไร”
“ั้แ่นั้นมา หนานกงหลิงจึงรับตำแหน่งประมุขต่อ แต่หลิ่วชั่งหลันละอายใจที่จะต้องกลับมาที่นิกายหยุนไห่อีกครั้ง ได้แต่ส่งเฟยเฟยเข้าร่วมนิกายเพื่อขอโทษประมุข แต่คนที่เขา้าขอโทษมากที่สุดคือ... หญิงชราซึ่งเป็ภรรยาของท่านประมุข ลูกสาวสุดที่รักของนางได้ตายจากไปและสามีก็ยังหายตัวไปอีก เมื่อเป็เช่นนี้หญิงชราจึงเกลียดชังหลิ่วชั่งหลัน นางจึงรับเหวินเริ่นเหยียนเป็ศิษย์ เพื่อ้าให้เหวินเริ่นเหยียนแต่งงานกับเฟยเฟย ดังนั้นเหวินเริ่นเหยียนจึงกล้าหยิ่งยโสโอหังและไม่มีใครกล้าขัดใจเขา”
เมื่อหลินเฟิงได้ยินที่ผู้าุโเป่ยเล่า หัวใจของเขาจึงสั่นไหวอย่างรุนแรงอีกครั้งและอีกครั้ง ไม่คิดเลยว่าท่านประมุขจะมีความลับเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเหวินเริ่นเหยียนถึงได้กล้ากำเริบเสิบสาน และได้ประกาศว่าหลิ่วเฟยเป็ผู้หญิงของเขา และไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหญิงชราถึงประหลาดใจ ที่แท้ก็เป็เช่นนี้เอง
“หลินเฟิง เ้าได้ยินที่หญิงชราบอกข้าก่อนไปว่า ให้ข้าไปบอกกับหลิ่วชั่งหลันว่านางได้ให้อภัยหลิ่วชั่งหลันแล้ว อีกทั้งยังพูดว่าจะให้เ้าแต่งงานกับเฟยเฟย เื่นี้ข้าจะให้เ้าจัดการด้วยตัวเองก็แล้วกัน” ผู้าุโเป่ยกล่าวอย่างจริงจัง “ตอนนี้หลิ่วชั่งหลันน่าจะอยู่ที่เมืองต้วนเริ่น เ้าสามารถไปตามหาเขาได้ที่นั่น นิสัยของเขาเป็คนที่ตรงไปตรงมา เกรงว่าเขาอาจเสียรู้ให้กับต้วนเทียนหลาง ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับเขา เ้าก็ต้องปกป้องเฟยเฟยแทนเขา”
“ผู้าุโเป่ย ระหว่างข้ากับหลิ่วเฟยไม่ได้มีอะไร” หลินเฟิงยิ้มอย่างขมขื่น ใช่แล้วหญิงชราอยากให้หลินเฟิงแต่งกับหลิ่วเฟย?
“นี่คือความหมายของหญิงชราที่ได้บอกเป็นัยๆ สิ่งที่เ้าจำเป็ต้องบอกหลิ่วชั่งหลันคือ ตอนนี้เฟยเฟยยังอยู่ในนิกายหยุนไห่ อย่างไรก็ตามเพราะสถานะของนาง ต้วนเทียนหลางจึงมิอาจกล้าแตะต้องตัวนาง แต่ถ้าหลังจากนั้นหลิ่วชั่งหลันเกิดล้มเหลวหรือตายไป นั่นเป็เหตุผลที่ข้าให้เ้าปกป้องดูแลนาง อีกทั้งเฟยเฟยก็เป็คนที่โดดเด่น และเหมาะสมกับเ้าเป็อย่างยิ่ง”
“เอาล่ะ ข้าพูดกับเ้ามามากพอแล้ว ทุกอย่างของอารามเ้าจัดการเองก็แล้วกัน และอย่าลืมไปตามหาหลิ่วชั่งหลันด้วย”
“ผู้พิทักษ์เป่ย” หลินเฟิงขมวดคิ้ว เมื่อได้ยินน้ำเสียงของผู้าุโเป่ยที่ราวกับได้ปล่อยวางไปแล้ว นี่จึงทำให้ในใจเขาเกิดความรู้สึกที่ดีเป็อย่างมาก
“ตรงนั้นคือทางออกที่นำไปสู่หุบเขาเมฆพายุ เ้าต้องระมัดระวังด้วย แน่นอนว่าเ้าสามารถบ่มเพาะที่อารามได้ รอจนกว่าจะแข็งแกร่งขึ้นแล้วค่อยออกไป” ผู้าุโเป่ยชี้ไปที่ทางออกขณะกล่าว จากนั้นหันหลังเดินออกจากห้องโบราณและมุ่งหน้าไปทางที่ได้เดินเข้ามา
“ผู้าุโเป่ย ท่าน...” สีหน้าของหลินเฟิงเปลี่ยนไป และะโไล่ตามหลังผู้าุโเป่ย แต่กลับถูกผู้าุโเป่ยขัดจังหวะเสียก่อน
“หลินเฟิง สถานะของข้าคือผู้พิทักษ์นิกายหยุนไห่ เมื่อนิกายยังคงดำรงอยู่ข้าก็ยังคงมีชีวิตอยู่ แต่ตอนนี้นิกายได้ถูกทำลาย แล้วข้าจะสามารถอยู่ได้อย่างไรกัน ดูแลตัวเองด้วย!”
เมื่อผู้าุโเป่ยพูดจบก็ได้สาวเท้าไปยังทางที่ได้เข้ามา จากนั้นประตูหินก็ได้เลื่อนเปิดออกเสียงดังกึกก้อง ผู้าุโเป่ยเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามอง และทิ้งหลินเฟิงไว้ที่นี่คนเดียว หลินเฟิงได้แต่จ้องมองแผ่นหลังของผู้าุโเป่ยที่เยือกเย็นนั่น
หลินเฟิงได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้นราวกับถูกไฟฟ้าช็อต ขณะมองไปที่กำแพงหินที่ค่อยๆ ปิดลงจนเงาของผู้าุโเป่ยหายไป
หลินเฟิงเข้าใจชัดเจนแล้วว่ากำแพงหินนี้ไม่เพียงป้องกันเขาจากภายนอกเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันยังถูกคั่นด้วยหยินและหยาง การแยกจากกันครั้งนี้มันได้นำพาชีวิตอันเป็นิรันดร์มาให้แก่เขา
ไม่รู้ว่าเขายืนอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน แต่ในที่สุดหลินเฟิงก็ขยับตัว เขาปิดตาและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วถอนหายใจด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อย เสียงถอนหายใจได้ดังก้องไปทั่วอาราม
“ท่านประมุข ผู้าุโเป่ย ผู้าุโคง หญิงชรา ยังมีเหล่าศิษย์และผู้าุโของนิกาย เพื่อช่วยชีวิตข้าแล้ว พวกเขาถึงกับต้องต่อสู้โดยไม่กลัวตาย และฝูงชนก็พยายามปกป้องชีวิตของข้า”
“ถึงแม้ตอนนี้พวกเขาจะไม่อยู่แล้ว แต่ข้ากลับยังมีชีวิตอยู่ และข้าในตอนนี้ยังมีอีกหลายเื่ที่ต้องทำ”
หลินเฟิงพึมพำกับตัวเอง เสียงถอนหายในนั่นพลันกลายเป็กระตือรือร้นและความมุ่งมั่นในทันที
เพียงพละกำลังที่แข็งแกร่งก็สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมได้ นั่นทำให้ชีวิตบรรลุถึงแก่นแท้ และจิติญญาของพวกเขาก็ได้หลับไปอย่างไร้กังวล
“นิกายเฮ่าเยว่ หมู่บ้านเสวี่ยอิงซาน นิกายโมโซ่ว ตระกูลต้วน ฉู่ชิ่ง ห่านเสวี่ยเทียน เถิงอูซาน ต้วนเทียนหลาง ต้วนหาน ม่อชั่งหลัน เหวินเริ่นเหยียน”
หลินเฟิงพึมพำกับตัวเอง ชื่อคนและนิกายได้ออกมาจากปากหลินเฟิง คนเหล่านี้เขาจะไม่มีทางลืมเพราะมันได้ฝั่งลึกลงไปในหัวใจของหลินเฟิงแล้ว
หลินเฟิงหันหลังก่อนเดินไปยังห้องโบราณ ในแต่ละก้าวเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น
บนชั้นวางตำราในห้องโบราณแห่งนี้มีตำราเคล็ดวิชาและทักษะมากกว่าร้อยเล่ม ้าสุดของชั้นมีเคล็ดวิชาและทักษะ ส่วนที่หนึ่งคือทักษะการต่อสู้ ส่วนที่สองคือเคล็ดวิชา
“ระบำดาบ เป็ทักษะระดับพิภพ หากผู้บ่มเพาะมีทักษะควบคุมพลังลมปราณเจินหยวนที่แข็งแกร่ง คมมีดก็จะยิ่งทรงพลังมากพอจะทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าได้”
เมื่อหลินเฟิงเห็นทักษะระบำดาบนี้แล้วก็รู้สึกสนใจ แต่มันไม่เหมาะสมกับการฝึกฝนของเขา แต่มันเหมาะกับผู้ฝึกยุทธ์ที่มีจิติญญาแห่งดาบ แน่นอนว่าหลินเฟิงในตอนนี้ยังอ่อนแอเกินไป ยังไม่สามารถควบคุมเจินหยวนได้ดีนัก จึงมิอาจฝึกระบำดาบได้ไหว นอกเสียจากว่าเขาจะแข็งแกร่งขึ้นและบรรลุขอบเขตลี้ลับได้ ถึงตอนนั้นหยวนชี่ฟ้าดินที่ไหลเวียนในร่างกายก็จะสามารถควบคุมเจินหยวนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลินเฟิงวางตำราทักษะการต่อสู้ไว้ที่เดิม แล้วหยิบตำราเคล็ดวิชามาดูอีกสองเล่ม
“หมัดร่วงโรย เป็เคล็ดวิชาระดับพิภพ เป็หมัดดุจดั่งใบไม้ร่วงโรย มีการเคลื่อนไหวที่สง่างาม ดูเหมือนไม่มีพลังแต่เมื่อปล่อยหมัดไปยังอีกฝ่ายกลับสามารถสร้างความเสียหายภายในร่างกายของศัตรูได้ เป็เคล็ดวิชาที่บ้าคลั่งอย่างยิ่ง”
นี่เป็ทักษะหมัดที่เหมาะกับผู้หญิง ดูเหมือนจะไม่ร้ายกาจเพราะมันเหมือนกับใบไม้ที่กำลังร่วงโรย แต่ในความเป็จริงกลับร้ายกาจอย่างยิ่ง หากมีใครกล้าดูถูก แค่หมัดเดียวก็เพียงพอที่จะคร่าชีวิตอีกฝ่ายได้แล้ว
และทักษะหมัดนี้เป็การโจมตีที่เน้นลวงตาอีกฝ่าย มันจะทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถป้องกันได้
หลินเฟิงวางตำราทักษะลง และหยิบเคล็ดวิชาอีกเล่ม
เงาแห่งความตาย เป็เคล็ดวิชาระดับพิภพ เหมาะกับผู้ฝึกยุทธ์ที่มีจิติญญานักรบ มีเพียงแค่สามประเภท หนึ่งเงาล่องหน สองเงาแห่งความมืดมิด และสามเงาแห่งความตาย
“นี่คือเคล็ดวิชาที่ผู้าุโคงได้ฝึกฝน” ั์ตาของหลินเฟิงขยับเล็กน้อย ดูเหมือนว่าผู้าุโคงจะฝึกเงาล่องหนได้แล้ว อีกทั้งจิติญญาแห่งเงาและผู้าุโคงก็ผสานกันได้อย่างทรงพลัง
แต่น่าเสียดายที่ผู้าุโคงไม่สามารถฝึกเงาแห่งความมืดมิดได้ มิฉะนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าศัตรู เงาของเขาคงหายไปได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
สำหรับเงาแห่งความตายเป็ทักษะที่ทรงพลังมาก มันจะทำให้ศัตรูมองไม่เห็นผู้ใช้ทักษะ
“จิติญญาแห่ง์ของข้าทำให้กลิ่นอายถูกปกปิด และการรับรู้ก็ยังแข็งแกร่งอีกด้วย หากฝึกฝนเงาแห่งความตายได้ ข้าจะต้องสมบูรณ์แบบอย่างแน่นอน”
หลินเฟิงรู้สึกตื่นเต้น ทักษะนี้ไม่จำเป็ต้องแข็งแกร่ง ทุกคนล้วนสามารถฝึกฝนได้ ตราบใดที่พวกเขาสามารถเข้าใจมันได้ถ่องแท้
เคล็ดวิชาเป็เพียงการเสริม ทำให้ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับทักษะการต่อสู้ที่สามารถทำให้ทรงพลังมากยิ่งขึ้น
หลินเฟิงยังมองหาทักษะอื่นๆ ที่อยู่บนชั้นวางตำรา แต่ก็ไม่พบทักษะที่เหมาะสมกับเขาและดีกว่าเงาแห่งความตาย จากนั้นเขาจึงนำตำราทักษะทั้งหมดกลับไปวางบนชั้นอย่างเดิม
ผู้าุโคงได้จากไปแล้ว นอกจากหลินเฟิงแล้วก็ไม่มีใครรู้เกี่ยวกับสถานที่นี้ สิ่งของเหล่านี้วางไว้ที่นี่ย่อมดีกว่าอยู่ข้างกาย แต่ถ้าหากเขาเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น เคล็ดวิชาและทักษะเหล่านี้ที่อยู่ในอารามก็จะสูญเสียไปเปล่าๆ
ขณะที่หลินเฟิงครุ่นคิดเช่นนั้นก็ได้เดินไปถึงห้องโบราณ และอาวุธแห่งจิติญญาทั้งหมดก็ได้เก็บไว้ในแหวนหินแล้ว
นอกจากนี้ภายในอารามโบราณยังมีหินหยวนอีกมากมายที่ใช้ในการบ่มเพาะ หลินเฟิงจึงนำหินหยวนทั้งหมดเก็บเข้าไปในแหวนหิน
หินหยวนนั้นประกอบไปด้วยหยวนชี่ฟ้าดินอันบริสุทธิ์ ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแห่งจิติญญาสามารถดูดซับหยวนชี่ฟ้าดินอันบริสุทธ์ของหินหยวนได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบ่มเพาะ และมันเป็หินหยวนที่มีค่าเป็อย่างยิ่ง
สิ่งของที่มีค่าเช่นนี้ หลินเฟิงจะปล่อยให้สูญเปล่าไปได้อย่างไร?
ภายในอารามโบราณอันกว้างใหญ่ หลินเฟิงเดินสำรวจเพียงแค่ไม่กี่รอบ แต่หลินเฟิงเห็นเสาขนาดั์เสียก่อน ทั้งสองเสาขนาดั์นี้เป็เหมือนดั่งหอคอยเพราะมันสูงมาก และเสาขนาดั์นั้นได้แกะสลักเป็รูปสัตว์อสูรตัวเดียวกันทั้งสองเสา
เพียงแค่มองภาพของสัตว์อสูรเหล่านี้มันก็ทำให้คนรู้สึกถึงพลังลมปราณอันทรงพลัง และน่าจะแข็งแกร่งกว่าสัตว์อสูรคุนเผิงนั่นไม่รู้กี่เท่าตัว
แต่สิ่งที่หลินเฟิงสนใจในตอนนี้คือ ประตูทองมรกตที่อยู่ระหว่างสองเสาขนาดั์นี้ ประตูทองมรกตสูงประมาณห้าเมตรอัดแน่นไปด้วยกลิ่นอายโบราณ ไม่ว่าอย่างไรหลินเฟิงจะใช้กำลังหรืออาวุธเพียงใดและผลักดันประตูแค่ไหนมันก็ไร้ประโยชน์ รอบๆ ตัวหลินเฟิงเหมือนจะไม่มีปุ่มหรืออะไรที่สามารถเปิดได้เลย
“ด้านหลังประตูใหญ่บานนี้จะต้องมีความลับอะไรอยู่เป็แน่ บางทีเ้าของอารามอาจทิ้งเบาะแสอยู่ข้างในนั้นก็ได้ แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถเปิดได้”
หลินเฟิงส่ายหัว ผู้าุโเป่ยไม่ได้บอกเกี่ยวกับประตูบานนี้กับเขา เห็นได้ชัดว่าผู้าุโเป่ยและบรรดาบรรพบุรุษอาจจะยังไม่เคยเปิดประตูบานนี้มาก่อน
“ช่างเถอะ ถ้ามีโอกาส หลังจากที่ข้าแข็งแกร่งขึ้นจะกลับมาลองเปิดประตูบานนี้อีกครั้ง”
หลินเฟิงบ่นพึมพำและในท้ายที่สุดเขาก็ยอมแพ้ ในประวัติศาสตร์พันปีของนิกายหยุนไห่ล้วนยังไม่เคยมีใครเปิดประตูทองมรกตบานนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็ไม่สามารถเปิดประตูบานนี้ได้ ถึงเขาจะมีเวลามากแค่ไหน แต่มันก็จะเสียเวลาไปอย่างไร้ประโยชน์
ตอนนี้สิ่งที่หลินเฟิงต้องทำคือ เพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองให้มากยิ่งขึ้น
ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 2 แม้ว่าหลินเฟิงจะอายุยังน้อย แต่ก็ถือว่าไม่เลว แต่เขาอาจเทียบไม่ได้กับผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งกว่าเขา
