จะเสียหน้าก็ยังต้องมาเสียถึงต่างแคว้น หยินหัวพลันรู้สึกว่าหลานชายของตนคนนั้นช่าง...
หยินสงเดินหมากไปก็ยิ่งเหงื่อผุดพรายจนเต็มหน้า ทั้งที่เขาได้ยินท่านอารองเป็คนพูดเองแท้ๆ เื่วิธีการคบค้ากับสตรี ทุกครั้งก็บอกให้เดินหมาก จะได้ดูสง่างาม อีกทั้งยังสามารถสนทนาเรื่อยเปื่อย คุยเื่หัวจิตหัวใจกับอีกฝ่ายได้ ทั้งดูแฝงความในใจ และอบอุ่น
ไฉนเมื่อเป็เขา จึงเป็เช่นนี้เล่า
เด็กชายยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อ ทำทีเป็วางหมากสีดำของตนลงพร้อมทั้งมองเฉินโย่วอย่างจริงจัง
“แค่กๆ!”
หยินหัวทนมองต่อไปไม่ไหว จึงได้กระแอมแรงๆ ออกมา หยินสงพลันเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นว่าท่านอารองของตนมาแล้วก็ดีใจจนลุกขึ้นมาะโ
“ท่านอารอง!” ใบหน้าของเด็กหนุ่มปรากฏแวววิงวอน
ส่วนเฉินโย่วเมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นน้าอวี้ของตนมาแล้วเช่นกัน เด็กหญิงก็เบิกบานใจขึ้นมาเช่นเดียวกับเด็กชาย ร่างน้อยลุกขึ้นแล้วโถมกายโผเข้าหาน้าอวี้ของนาง
หลานอวี้นั้นหลบหลีกเด็กหญิงโดยสัญชาตญาณ จนถึงทุกวันนี้นางก็ยังไม่คุ้นชินกับการใกล้ชิดผู้อื่น ดังนั้นนางจึงตั้งใจฝึกร่างกายอย่างยากลำบาก ทุกวันทุกคืนก็คอยฝึกอยู่ไม่ขาด จนกระทั่งสามารถเข้าไปเป็ส่วนหนึ่งของหน่วยลาดตระเวนได้ ทว่าต่อให้นางจะหลบหลีกได้ว่องไวเพียงใด ก็ยังไม่อาจหลีกเด็กหญิงที่โถมตัวมาใส่ตนได้อยู่ดี ราวกับว่าเด็กหญิงตรงหน้านั้นโถมมาถึงตัวนางก่อนที่นางจะนึกเบี่ยงกายหลบด้วยซ้ำ
ร่างกายของหลานอวี้พลันแข็งค้างในพริบตา ต่อมาก็มีความอบอุ่นสายหนึ่งแทรกขึ้นมาในใจอย่างรวดเร็ว ร่างน้อยๆ ของเด็กหญิงตรงหน้าทั้งหอมทั้งอุ่น แต่นางนั้นไม่เหมือนกัน
“น้าอวี้ วันนี้ท่านช่างงามจริงๆ” เฉินโย่วกอดขายาวๆ ของหลานอวี้ แล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มกว้าง
หยินหัวที่ยืนอยู่อีกด้านก็นึกอิจฉาขึ้นมา เด็กคนนี้ช่างมีความสุขเหลือเกิน ขาคู่นั้นทั้งยาวทั้งเหยียดตรง แล้วยังแข็งแรงต่างกับสตรีสูงศักดิ์ทุกคนที่เขาเคยพบมา
สตรีแคว้นซีนั้นงดงาม และเอาแต่ใจราวกับดอกกุหลาบที่กำลังแย้มบาน กลิ่นของพวกนางกำจรตลบอบอวลให้รู้โดยทั่วกัน ทว่าสตรีแคว้นจิงกลับเปี่ยมไปด้วยไฟแห่งความทะเยอทะยานอันร้อนแรงอย่างโจ่งแจ้งราวกุหลาบป่าที่กำลังผลิบาน ดูเฉิดฉายกว่าใคร แต่สตรีแคว้นเชินรู้หนังสือรู้มารยาท และยังดูเป็ผู้ใหญ่ ทำให้รู้สึกว่าพวกนางช่างเพียบพร้อมบริสุทธิ์เสียจนทำให้คนนึกเฝ้าฝัน
หยินหัวราวกับถูกดึงดูดอย่างไม่มีสาเหตุ แววตาจึงเปลี่ยนเป็ลึกซึ้งขึ้นทันใด ไม่ใช่แววตาที่มองอย่างผิวเผินเช่นแต่ก่อน
หลานอวี้ไม่ทราบถึงแววตาที่มองมาทางตนแม้แต่น้อย เพราะนางไม่เคยแม้แต่จะมองบุรุษข้างกายให้เต็มตาเสียด้วยซ้ำ ร่างของหลานอวี้ที่โดนเด็กน้อยกอดไว้ได้แข็งค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนคลาย จากนั้นร่างงามจึงโน้มตัวลงมาอุ้มเด็กหญิงขึ้นมากอดไว้
เด็กหญิงเมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดของน้าอวี้ของนางแล้วก็พลันยิ้มกว้างด้วยความภาคภูมิใจ
รอยยิ้มนั้นช่างเบิกบานนัก รอยยิ้มของนางก็ช่างหวานเหมือนกับวัยของนาง
หลานอวี้อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปหยิกแก้มนาง เนื้อเยอะยิ่งนัก
หยินหัวนั่งมองภาพตรงหน้าอย่างหลงใหล ดูแล้วหัวใจก็พลันอบอุ่น
เขาเป็บุตรคนเล็กของครอบครัว แต่ความทรงจำที่มีต่อท่านพ่อท่านแม่ก็ช่างเลือนรางนัก เขารู้เพียงว่ายามยังเล็ก ตระกูลของเขาเกิดเื่ใหญ่ขึ้น ท่านพ่อก็สิ้นไปในเหตุการณ์นั้น แต่ท่านแม่อดทนจนรอดมาได้ ในความทรงจำของเขา ท่านแม่เป็สตรีที่ดุร้ายนัก ใบหน้าไม่เคยมีรอยยิ้มปรากฏสักครั้ง ต่อมาหน้าที่ผู้นำตระกูลถูกย้ายไปให้พี่ใหญ่ ผ่านไปปีที่สองท่านแม่ก็จากไป
นี่ก็เป็สาเหตุที่ทำให้เขามีนิสัยรักสนุกเช่นนี้ ทว่าก็น่าแปลกนักที่เขาไม่ยินยอมที่จะแต่งภรรยามีบุตรมานานแล้ว
“ท่านอารอง ท่านอารอง”
หยินสงเดิมทีอยากให้ท่านอารองของตนช่วยเหลือ ทว่าท่านอารองเมื่อมาแล้วกลับเอาแต่ยืนอย่างโง่งม หยินสงจึงอดไม่ไหวที่จะดึงชายอาภรณ์ของท่านอารองอีกครั้ง
ต่อมาจึงได้ยินเสียง “แคว่ก”
ยามนี้อาภรณ์ผ้าหูเตี๋ยของหยินหัวที่ในใต้หล้ามีเพียงไม่กี่ตัวกลับขาดเสียแล้ว มองเห็นท่อนแขนขาวของเขาโผล่มาครึ่งหนึ่ง เมื่อลมพัดผ่าน แขนที่โผล่ออกมาครึ่งหนึ่งนั้นพลันขนลุกชันจนเห็นเป็ตุ่มๆ ขึ้นมา ส่วนหยินสงที่ดึงแขนชุดน้าชายจนขาดเห็นท่อนแขนด้านใน บัดนี้ก็ได้แต่เลื่อนลอย...
หลังจากนี้ท่านแม่จะต้องตีเขาตายอย่างแน่นอน ต่อไปเขาก็จะไม่สวมชุดผ้าหูเตี๋ยอะไรนี่ ช่างไม่ทนแรงดึงเอาเสียเลย ทว่าภาพตรงน่านี่ก็ช่างน่าขันเหลือเกิน กระทั่งหลานอวี้ที่สวมหน้ากากอยู่ก็พลันสนใจขึ้นมา มุมปากยกขึ้นน้อยๆ ให้กับภาพตรงหน้า
หยินหัวอับอายเสียจนแทบอยากมุดแผ่นดิน แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่เคยจะต้องอับอายต่อหน้าผู้คนถึงเพียงนี้ ยิ่งเป็ต่อหน้าสตรีเช่นนี้อีก เช่นนั้นจึงได้แต่ลากตัวเ้าหลานชายกลับไปเปลี่ยนชุดพร้อมตน
หยินสงไม่ยินยอมจะจากไปด้วย เขาเป็ชายชาตรีอกสามศอก แพ้ชนะต้องเป็สัญญา แม้เขาจะต้องอับอายเป็ม้าให้นางขี่ แต่เมื่อพูดแล้วก็ต้องทำให้ได้ ทว่าเขาก็ไม่อาจต้านทานท่านอารองและบ่าวรับใช้ได้
เด็กหนุ่มแม้จะถูกลากจากไป แต่ปากก็ยังร้องเรียกเฉินโย่ว “เ้าจดเอาไว้ก่อน ข้ายังติดค้างให้เ้าขี่เป็ม้า เ้ารอข้าก่อน ข้าไปเปลี่ยนชุดกับท่านอารองครู่เดียว เดี๋ยวข้ากลับมา ข้าสัญญาว่าไม่มีทางกลับคำแน่นอน”
เฉินโย่วมองเด็กชายที่ถูกลากไปราวกับไก่ก็หัวเราะดังลั่น พยักหน้าอย่างอารมณ์ดี “ตกลง ข้าจดไว้แล้ว ข้าจะรอเ้า”
หยินสงโบกมือไปมา แสดงท่าทีว่าตนจะกลับมาแน่ จวบจนโดนโยนเข้าไปในรถม้า หยินหัวยังคงหน้าแดง รู้สึกอับอายนัก เขาไม่อยากได้ยินเื่เป็ม้าเป็วัวอะไรทั้งนั้น แม้ว่าเขาจะอยากเจอแม่นางสวมหน้ากากคนนั้นก็ตาม ทว่าเขาก็ยังรักหน้าตาตัวเองมากกว่า
หากคนอื่นรู้ว่าคุณชายทรงเสน่ห์หนึ่งในสี่ยอดบุรุษแห่งแคว้นซีถึงขั้นถูกดึงแขนเสื้อจนขาดวิ่นเช่นนี้ ย่อมต้องถูกผู้อื่นหัวเราะจนตายเป็แน่
เขาต้องกลับไป ต้องกลับไปเดี๋ยวนี้
บนรถม้ายังมีชุดที่เปลี่ยนได้ ทว่าเขากลับไม่ได้เตรียมตัวจะเปลี่ยน เพราะเขาชอบชุดผ้าหูเตี๋ยที่อยู่บนกายตนนัก แค่เพียงชุดนั้นก็สามารถซื้อชุดอื่นๆ ได้อีกเป็ร้อยชุด ยามสวมก็รู้สึกเช่นนั้น หากให้เขาเปลี่ยนมาใส่ชุดธรรมดา เขาก็รู้สึกไม่เป็ตัวเองนัก เขาจึงตัดสินใจกลับไปเปลี่ยนที่โรงเตี๊ยม
ในเมื่อสร้างตลาดแล้วเช่นนี้ก็ย่อมต้องมีโรงเตี๊ยมอย่างแน่นอน เพียงแต่โรงเตี๊ยมที่นี่ไม่ค่อยจะได้เื่ได้ราวเท่าใดนัก ไม่มีห้องสำคัญสำหรับแขกพิเศษ หรือห้องที่พิเศษยิ่งกว่า มีเพียงห้องเดี่ยว ห้องคู่ หรือห้องรวม
เมื่อหยินหัวกลับมาถึงโรงเตี๊ยม บ่าวรับใช้ได้จองห้องคู่ไว้ให้ตนอยู่กับเ้าหลานตัวแสบ เพื่อจะได้ดูแลกันง่ายขึ้น ทว่าเมื่อหยินหัวลองพลิกดูเสื้อผ้าที่ตนเตรียมมา ลองสวมอีกหลายชุดก็ยังไม่พอใจ ไม่มีตัวไหนจะดูดีสักตัว
หยินสงที่โดนใช้กำลังลากกลับมา ยังคงนั่งหน้างุดอยู่ริมเตียง มองท่านอารองของตนเปลี่ยนชุด เขาเปลี่ยนมาแล้วถึงสี่ชุด ทว่าท่านอาก็ยังไม่พอใจเสียที ดูท่าคงจะใกล้เสียสติเต็มทน จากมุมมองของเขาแล้ว ทุกชุดนั้นดูเหมือนทุกกระเบียดนิ้ว ไม่เห็นว่าจะมีตรงไหนที่ต่างกัน
“ท่านอารอง หากท่านยังมัวแต่เปลี่ยนชุด ฟ้าคงได้มืดกันพอดี ทั้งยังใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว อีกเดี๋ยวจะไปเยี่ยมพวกเขาไม่ทันเอา” หยินสงทำหน้าดำคร่ำเครียด
หยินหัวยังคงมุดอยู่ในกองผ้าด้านหน้าตน เ้าหลานคนนี้ทำเขาหมดคำจะกล่าว เ้าเด็กหน้าเหม็นเช่นเ้าจะไปเข้าใจอะไรเล่า
แม่นางคนนั้นจะต้องชอบบุรุษรูปงามอย่างแน่นอน
เ้าเด็กหน้าเหม็นนี่กระทั่งมีใบไม้ติดอยู่บนหัวก็ยังไม่สนใจ แม่นางน้อยย่อมไม่มีทางจะชอบเขาเป็แน่
“ก็ไม่ใช่ว่าจะไปเยี่ยมผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเ้าหรอกหรือ อารองย่อมต้องแต่งตัวให้โอ่อ่าสักหน่อย ทั้งยังไม่ใช่แค่ข้าที่ต้องเปลี่ยนชุดใหม่ เ้าเองก็เช่นกัน ประเดี๋ยวไปเปลี่ยนชุดใหม่เสีย อย่าให้เขาว่าเราได้ว่าไม่มีมารยาท” หยินหัวกล่าวขึ้นมาอย่างคึกคัก
ระหว่างกล่าวไป บนเตียงก็ทาบจี้หยกแบบต่างๆ ว่าเข้ากับชุดหรือไม่
“ไม่จำเป็หรอก เฉินโย่วบอกแล้วว่านางเป็ชาวหมู่บ้านไป๋กู่ ไม่ได้พิถีพิถันอันใดมากนัก ท่านยังไม่เห็นพี่ชายนางว่ารูปโฉมคมคายขนาดไหน บนบ่ายังแบกโซ่เส้นมหึมาไว้ ทั้งปลายโซ่ยังมีลูกเหล็กอีกสองลูก กล้ามเนื้อบนแขนก็เป็มัดๆ เชียว” หยินสงนึกถึงพี่อู่ของเฉินโย่วขึ้นมา รู้สึกว่าเขาช่างเก่งกล้าสามารถราวกับวีรบุรุษตัวจริงอย่างไรอย่างนั้น
หยินหัวเมื่อได้ยินหลานชายกล่าวถึงกล้ามเนื้อขึ้นมาก็พลันรู้สึกอ่อนแรง มองแขนผอมๆ ของตนแล้ว แม่นางคนเมื่อครู่ย่อมจะต้องรังเกียจตนอย่างแน่นอน ไม่ได้การแล้ว ชุดบนร่างเขาตอนนี้ยังใช้ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนเป็ชุดที่ดูห้าวหาญกว่านี้
หยินสงเมื่อเห็นว่าท่านอารองของตนกำลังลงมือเปลี่ยนอีกชุดหนึ่ง ความโกรธในใจก็พลันแล่นมาถึงคอจนต้องล้มตัวลงนอน แล้วทำท่าแน่นิ่งแสร้งว่าตนตายไปแล้ว
ในสมองพลันคิดภาพเฉินโย่วยามที่ช่วยเขาไว้ มือคู่น้อยนั้นยื่นลงมาคว้ามือเขาแล้วดึงเขาให้ขึ้นไปบนหลังม้าราวกับกำลังโบยบิน คิดไปคิดมาสุดท้ายก็ผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น
หยินหัวยังคงเปลี่ยนชุดอยู่ ไม่คิดว่าจะได้ยินเสียงกรนเบาๆ ดังขึ้นมาจากเตียงข้างๆ เ้าหลานผู้แสนร่าเริงของเขาถึงกลับผล็อยหลับไปเสียแล้ว
สุดท้ายเขาจึงเปลี่ยนมาสวมชุดยาวสีดำ แม้จะไม่ใช่ผ้าไหมหูเตี๋ย ทว่าก็ทำจากไหมดำหายากเช่นกัน ยามอยู่บนร่างแล้วก็ดูหล่อเหลาสะอาดสะอ้านไม่เบา ทั้งยังปักดิ้นทองเข้มไว้ด้านนอก ทำให้ชุดนี้แม้จะดูเรียบๆ แต่ก็หรูหราไม่หยอก บนศีรษะเขายังสวมกวานครอบผมไว้อีกชิ้นหนึ่ง ทันใดเขาก็รู้สึกว่าตนเองช่างดูหล่อเหลานัก รอให้แม่นางสวมหน้ากากคนนั้นเห็นตนเสียก่อนเถิด รับรองว่านางจะต้องร้องอุทานออกมาอย่างแน่นอน
ในตอนนั้นเองด้านนอกก็พลันมีเสียงเคาะประตูถี่ๆ อย่างกดดันขึ้น เมื่อหยินหัวเปิดประตู ก็เห็นบ่าวรับใช้ยืนอยู่
“เกิดอะไรขึ้น”
“นายน้อย พวกเรารีบออกเดินทางกันเถิด กองทัพจิงเริ่มรุกเข้ามาแล้ว”
