หลังจากที่เดินคดเคี้ยวไปมา จนสลัดผู้คนที่เดินตามออกไปได้ เวินซีก็พิงกำแพงและหยุดพัก
นางรู้อยู่แล้วว่าเ้าของร่างเดิมเป็สตรีงาม แต่ไม่คิดเลยว่าจะงามถึงขนาดที่มีคนมาคอยมุงดู แม้แต่นางเองยังรู้สึกว่าเื่นี้ออกจะมากเกินไปหน่อย
“ดื่มน้ำหน่อยเถิด” เมื่อเห็นว่าเวินซีหอบอย่างหนัก จ้าวต้านก็ยื่นถุงน้ำให้
เวินซีรับไปดื่มอย่างรวดเร็ว
เมื่อรู้สึกดีขึ้น นางก็ขยับแขนขา กลับมายืนได้เหมือนเดิม
ที่ปากทาง สืออีและต้วนจิงเย่ที่ถูกผู้คนเบียดจนแยกตัวออกไป ในที่สุดก็ได้เห็นเวินซีและจ้าวต้าน ทั้งสองจึงรีบเข้าไปหาพวกเขา
“พวกเราไปกันเถิดขอรับ ก่อนที่ฟ้าจะมืด” สืออีหยุดอยู่ข้างๆ เวินซีและเสนอแนะ
ผู้คนเหล่านี้วุ่นวายกันมาก ทำให้จิตใจของเขาไม่เป็สุข
“ออกไปไม่ได้แล้วล่ะ วันนี้เราต้องพักที่เมืองนี้” จ้าวต้านหยิบถุงน้ำจากมือของเวินซี เขาดื่มต่อจากนางโดยไม่ลังเล พลันเอ่ยปากพูด
“เหตุใดกัน?” เวินซีขมวดคิ้วอย่างสงสัย
แม้แต่นางเองก็คิดจะออกไปจากที่นี่ให้ได้ในตอนกลางวัน
“นี่เป็เมืองแห่งเดียวในแถบนี้ เมืองถัดไปอยู่ห่างจากที่นี่ถึงสองวัน”
“เราเดินทางมาเจ็ดชั่วยามแล้ว ม้า้าอาหารและต้องพักผ่อน ยามนี้อากาศหนาวนัก หากเราเดินทางติดต่อกันโดยไม่หยุดจะเป็ผลเสียต่อม้า ความเร็วของมันจะลดลงด้วย อีกอย่างอาหารม้าที่เราเตรียมมาก็มีจำกัด อาจจะไม่พอให้เราไปถึงเมืองถัดไป”
จ้าวต้านอธิบายพลันหยิบแผนที่ออกมากางต่อหน้าทั้งสามคน
“เช่นนั้นก็พักสักคืนเถิด” เวินซีพยักหน้าตกลงหลังจากดูแผนที่ สถานการณ์เป็ไปตามที่จ้าวต้านพูดมา
ตอนนี้นางมีหมวกแล้ว หากไม่ถอดหมวกก็คงไม่สร้างปัญหาใด
“เราไปหาโรงเตี๊ยมกันเถิด” จ้าวต้านเอ่ยปาก พับแผนที่แล้วเดินออกไปพร้อมกับเวินซี โดยมีสืออีและต้วนจิงเย่ตามหลังไปติดๆ
ท้องฟ้าใกล้จะมืดแล้ว แต่บรรยากาศที่คึกคักของเมืองนี้มิได้ลดลงเลย ตอนนี้ใกล้จะถึงวันปีใหม่ แต่ละบ้านเรือนจึงมีโคมไฟสีแดงแขวนอยู่เต็มไปหมด มีเด็กๆ มาวิ่งเล่น จุดประทัดกันเต็มถนน
ทั้งสี่คนเจอโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง จึงพากันเดินเข้าไป
“พวกท่านจะทานอาหารหรือจะเข้าพักขอรับ?” เสี่ยวเอ้อมองดูพวกเขาทั้งสี่คนและเห็นว่าเสื้อผ้าของพวกเขามิใช่ชาวบ้านธรรมดา จึงเข้ามาทักทายอย่างกระตือรือร้น
“เข้าพัก”
“พวกท่านจะพักกันกี่ห้องขอรับ? จะพักห้องชั้นบนหรือชั้นล่าง?” เสี่ยวเอ้อถามด้วยท่าทีเคารพ
“สองห้อง เอาห้องที่ดีที่สุด” จ้าวต้านหยิบเงินออกจากแขนเสื้อ วางลงบนโต๊ะ
“ขอรับ ขอรับ ทั้งสี่ท่านนั่งก่อนขอรับ หลังจากมื้ออาหารเย็น เราจะพาพวกท่านขึ้นห้องขอรับ” เมื่อเสี่ยวเอ้อเห็นเงิน แววตาก็พลันเป็ประกาย มีท่าทีประจบสอพลอมากยิ่งขึ้น
“เรามิได้สั่งอาหาร” เวินซีขมวดคิ้วมองเขา
“ทั้งสี่ท่านขอรับ เราให้บริการห้องพักและอาหารคู่กันขอรับ เพียงเข้าพักก็จะมีอาหารให้ อีกทั้งเรายังมีเหล้าชั้นดีให้ด้วยนะขอรับ”
“เพียงแค่ชั้นบนไม่สามารถทานอาหารได้ ต้องรบกวนพวกท่านทานอาหารที่ชั้นล่างก่อนนะขอรับ”
เสี่ยวเอ้อเห็นสีหน้าของเวินซี จึงรีบอธิบาย
“เช่นนั้นก็ไปเตรียมมาเถิด” จ้าวต้านเอ่ยเสียงนิ่งและพาเวินซีไปนั่งที่โต๊ะอาหาร โดยสืออีและต้วนจิงเย่ก็เดินไปนั่งด้วย
“เสี่ยวเอ้อ ด้านนอกมีม้าห้าตัว ให้อาหารพวกมันด้วย” ต้วนจิงเย่หันหน้าไปบอกเสี่ยวเอ้อ
“ขอรับ จะไปเดี๋ยวนี้ขอรับ พวกท่านโปรดรอสักครู่” เสี่ยวเอ้อรีบวิ่งออกไป
เขารีบลากม้าทั้งห้าตัวไปที่สวนหลัง ป้อนอาหารพวกมันกับเสี่ยวเอ้อคนอื่นๆ
“ม้าห้าตัวนี้เป็ม้าแผงคอแดงชั้นดี กลับใช้พวกมันลากรถม้า ช่างน่าเสียดายจริงๆ” เสี่ยวเอ้อคนหนึ่งมุ่ยปากพูด แววตาที่เขามองม้าเต็มไปด้วยความชื่นชอบ
“หลังจากคืนนี้ไป พวกมันก็เป็ของเราแล้ว น่าเสียดายที่ใดกัน ข้าเห็นสี่คนนั้นสวมใส่ผ้าไหมแท้ น่าจะเป็คุณหนูคุณชายจากตระกูลร่ำรวย ดูท่าคืนนี้เราคงกอบโกยได้มากเชียวล่ะ” เสี่ยวเอ้อที่ต้อนรับพวกเวินซีเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโลภ
“ก็จริง คืนนี้อย่าลืมเรียกข้าล่ะ ไม่ต้องเรียกเสี่ยวซื่อ มิเช่นนั้นของมีค่าจากสี่คนนั้นต้องโดนเขาขโมยไปหมดแน่”
“ได้ เช่นนั้นเ้าป้อนม้าไปก่อน ข้าจะไปดูพวกเขา กันมิให้คนอื่นแย่งพวกเขาไป”
“ไปเถิด ให้ข้าอยู่กับม้าของข้าสักพัก”
......
เสี่ยวเอ้อกลับมาที่โถงหน้า เมื่อเห็นว่าไม่มีแขกเข้ามา เขาก็นำผ้าขี้ริ้วมาเช็ดโต๊ะ แสร้งทำเป็ยุ่ง แต่สายตาคอยสังเกตพวกเวินซีอยู่ตลอดเวลา
“เสี่ยวเอ้อผู้นี้ดูแปลกๆ ขอรับ” สืออีััได้ถึงสายตาของเขา ในตอนที่เห็นว่าเสี่ยวเอ้อแอบมองมาเป็ครั้งที่สี่
“รอดูไปก่อน” เวินซีพูดอย่างใจเย็นโดยไม่มีปฏิกิริยาอันใด
นางรู้สึกได้นานแล้ว หากมิใช่เพราะข้างนอกมืด อีกทั้งยังไม่มีโรงเตี๊ยมแห่งอื่น นางก็คงไม่อยู่ที่นี่
หากเสี่ยวเอ้อผู้นี้คิดไม่ซื่อ นางก็ไม่รังเกียจที่จะพังที่นี่ทิ้ง
“ท่านทั้งสี่ อาหารมาแล้วขอรับ ทานให้อร่อยนะขอรับ” เสี่ยวเอ้อนำอาหารเข้ามาด้วยรอยยิ้ม หลังจากที่แนะนำอย่างนอบน้อมก็เดินจากไป
เวินซีเหลือบมองเขา เมื่อใช้ตะเกียบเขี่ยอาหารก็รู้ได้ทันทีว่าอาหารจานใดมีพิษอยู่
ล้วนเป็ยาพิษโง่ๆ ที่นางมองออกได้ หลังจากที่ส่งสัญญาณให้จ้าวต้านและคนอื่นๆ แล้ว นางก็ทานอาหารที่วางยาพิษเ่าั้เข้าไป
เมื่อเห็นว่าเวินซีทานเข้าไป สีหน้าของเสี่ยวเอ้อก็ยากที่จะเก็บความดีใจไว้ได้ เขายังต้องไปบอกพรรคพวก จึงรีบไปรายงานสถานการณ์ที่สวนหลังอย่างกระตือรือร้น
หลังจากที่เขาหายตัวไป เวินซีก็แสยะยิ้ม จากนั้นหยิบยาถอนพิษออกมาจากอกพลันทานเข้าไป และแบ่งให้คนอื่นๆ อีกสามคนด้วย
ถึงแม้ว่ายานี้จะสามารถถอนได้เพียงพิษง่ายๆ แต่ก็เพียงพอแล้วสำหรับพิษในอาหารเหล่านี้
“คืนนี้เวลานอนก็ระวังตัวให้ดี อย่าได้เสียรู้ให้พวกเขา” เวินซีเอ่ยเตือน “สืออี ปกป้องคุณชายต้วนให้ดี”
“ขอรับ” สืออีพยักหน้ารับคำสั่ง ทั้งสี่คนจึงทานอาหารต่อไปเงียบๆ
“ได้ยินมาหรือไม่ วันนี้มีสตรีงามปานจะล่มเมืองได้ปรากฏตัวที่ตลาดด้วยล่ะ”
“งามปานล่มเมือง? อย่ามาหลอกข้าเสียให้ยาก ในเมืองนี้จะมีสตรีงามได้เช่นไร”
“จริงๆ นางเป็คนเมืองอื่น เพิ่งจะมาที่นี่เมื่อตอนบ่ายนี้เอง เ้ามิได้เห็น นางทำให้คนทั้งเมืองมุงดูเชียวล่ะ”
......
ระหว่างที่ทานอาหาร มีเสียงของบุรุษสองคนพูดคุยกันเบาๆ อยู่ข้างหลังเวินซี นางขมวดคิ้วและเงยหน้ามองจ้าวต้าน ก่อนจะก้มศีรษะลงทานอาหารต่อ แต่นางยังคงจดจ่ออยู่ที่บทสนทนาของบุรุษสองคนนั้น
“จริงหรือ? งามเพียงใดกัน?”
“ผิวพรรณขาวนวลละเอียดอ่อน ผมตรงชัดเจนห้อยลงมาราวกับน้ำตก มันเปล่งประกายเมื่อต้องแสงตะวัน รูปร่างอรชร งามยิ่งกว่าสตรีกว่าครึ่งของเมืองเราเชียวล่ะ...”
บุรุษผู้นั้นออกอาการลุ่มหลงไร้สติ เขาเอ่ยชมนางอย่างบ้าคลั่ง ทำเอาบุรุษอีกคนที่ฟังอยู่คล้อยตามไปด้วย
หลังจากนั้นไม่นาน อีกคนก็ถอนหายใจและส่ายหน้า พลันเรียกสติของตนกลับมา
“งดงามไปมีประโยชน์อันใด นางมาถึงเมืองนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะต้องหายตัวไปในคืนนี้ก็เป็ได้”
“ข้าได้ยินมาว่าคุณหนูตระกูลสวี่ก็งามใช่ย่อย มีคนรับใช้คอยประกบดูแลนางตลอด แต่แล้วเช่นไร นางก็หายตัวไปอยู่ดี”
“ไม่รู้ว่ามันเป็ผู้ใด จับตัวไปแต่สตรีงาม น่าเสียดายสตรีพวกนั้นเสียจริง”
“ใช่น่ะสิ ดีที่บุตรสาวข้าขี้เหร่ หากนางหน้าตาสะสวย ข้าคงจะเป็กังวลจนนอนไม่หลับแน่”
“นี่เ้าชมนางหรือกำลังดูถูกนางกันแน่?”
“ชมสิ นี่ถือเป็คำชม”
......
บทสนทนาของทั้งสองได้เข้าหูทั้งสี่คน สีหน้าของพวกเขาพลันมืดมนลงทันใด