เมื่อเวลาของการนัดประลองกับหอสมุดมายาใกล้เข้ามามากขึ้นอันเจิงรู้สึกว่าอารมณ์ของตู้โซ่วโซ่วและคนอื่น ๆ เริ่มกระวนกระวายมากขึ้นเรื่อย ๆตู้โซ่วโซ่วและชวีหลิวเอ๋อค่อนข้างกระสับกระส่ายตลอดทั้งวันอย่างไรเสียทั้งสองคนก็เพิ่งเริ่มฝึกฝนจะเอาชนะศิษย์ของหอสมุดมายาที่ฝึกซ้อมมาเป็เวลานานหลายปีให้ได้นั้น บอกเลยว่าอันเจิงไม่มั่นใจจริงๆ
ตอนนี้เื่นี้ไม่ได้แพร่กระจายออกไปแค่ในวงเล็ก ๆ อีกแล้ว หลายคนในโลกมายากำลังตั้งตารอวันที่การประลองจะมาถึง
สาเหตุที่พวกเขายังสามารถฝึกฝนในนิกายเบิก์อย่างสงบได้เป็เพราะทุกคนอยากจะเห็นว่า เด็กกะโปโลอย่างพวกเขาจะไปได้ไกลแค่ไหนได้ยินมาว่าลูกศิษย์บางคนของหอสมุดมายา ถึงขั้นแอบจ้างคนให้มาขับไล่พวกเขาออกไปแต่มีคนใหญ่คนโตของโลกมายาออกมาปรามไว้เสียก่อนพูดว่าใครก็ตามหากเข้ามาแทรกแซงเื่นี้โดยไม่ได้รับอนุญาตจะถูกฆ่าทิ้งทันที
คนใหญ่คนโตที่ว่านี้มีชื่อว่าเกาซานตัวบ่อนการพนันทั้งหมดในโลกมายาล้วนเป็กิจการของเขา ว่ากันว่าแม้การประลองระหว่างนิกายเบิก์กับหอสมุดมายาครั้งนี้จะเป็เหมือนการละเล่นของเด็กแต่ในเมื่อมันถูกเ้าของบ่อนอย่างเกาซานตัวเอามาใช้เป็ตัวแทงพนันเขาก็กวาดกำไรเข้ากระเป๋าไปได้มากมาย มีข่าวลือว่า มีผู้คนจำนวนมากเข้ามาเล่นการพนันในโลกมายาเนื่องจากเหตุการณ์นี้
ดังนั้น ตอนที่อันเจิงอยู่ในตลาดจึงเห็นชายฉกรรจ์ร่างใหญ่หลายคนสวมชุดดำเดินไปเดินมาอยู่ด้านนอกคนเหล่านี้ล้วนเป็คนที่เกาซานตัวส่งมาเพื่อปกป้องพวกอันเจิงโดยเฉพาะ อย่างน้อยก่อนสิ้นสุดการพนันเกาซานตัวจะไม่อนุญาตให้ใครแตะต้องพวกเขาเด็ดขาด
ไม่ต้องพูดถึงว่าสำหรับยุทธภพ แม้แต่กับโลกมายานี่ก็เป็เพียงแค่เื่เล็กน้อยเท่านั้นแต่ตอนนี้มันกลับทำให้เืของทุกคนเดือดพล่าน ทุกวันจะมีผู้คนมากมายเดินทางมาที่นิกายเบิก์มาดูว่าเด็ก ๆ ที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำพวกนี้หน้าตาเป็อย่างไร
ในตอนเช้าตรู่ เมื่ออันเจิงเดินเข้าไปในห้องเรียนเขาก็เห็นชวีหลิวเอ๋อกำลังพูดคุยอยู่กับเสี่ยวชีเต้าทั้งคู่ปรึกษากันถึงวิธีการเพิ่มพลังให้กับท่าโจมตีพื้นฐานของผู้ฝึกตนในขอบเขตระดับต่ำปัญหาที่กระทั่งผู้ฝึกตนในขอบเขตระดับกลางยังไม่มีปัญญาแก้ได้ส่วนตู้โซ่วโซ่วน่ะหรือ เขากำลังนอนน้ำลายยืดอยู่บนโต๊ะน้ำลายเหนียวหนืดหยดรดแขนเสื้อเขาจนชุ่มไปหมด
อันเจิงเดินเข้าไปหาตู้โซ่วโซ่วแล้วเขย่าตัวเขาอย่างแรงตู้โซ่วโซ่วสะดุ้งตื่นลุกพรวดขึ้นมานั่งทันทีปากขมุบขมิบท่องตำราต่อในขณะที่ดวงตาทั้งคู่ยังปิดสนิท ท่าทางเหม่อ ๆ เบลอ ๆไร้สติอย่างเห็นได้ชัด
ชวีหลิวเอ๋อพูดขึ้นมาว่า “อย่าเพิ่งปลุกเขาเลยเมื่อคืนนี้เขาฝึกฝนจนดึกดื่นกว่าจะได้นอนก็พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว”
อันเจิงหัวเราะเสียงเบาแอบตำหนิตัวเองในใจเล็กน้อย หากเขาสามารถเข้าสู่ระดับผู้เริ่มต้นได้ละก็ เขาก็จะสามารถเข้าไปในตราประทับท้าทาย์และทดสอบได้ว่าจะถูกทัณฑ์์หรือไม่หากไม่ถูกทัณฑ์์ เขาก็สามารถพาคนอื่น ๆ เข้าไปบ่มเพาะข้างในนั้นได้แบบนี้อีกสามเดือนที่เหลือพวกเขาก็มีหวังชนะได้มากขึ้นแต่อันเจิงตอนนี้ยังไม่เข้าสู่ระดับผู้เริ่มต้นเขาไม่กล้าเอาชีวิตตู้โซ่วโซ่วและคนอื่น ๆ ไปเสี่ยง
“ขยันไม่เลวเลย อ่านอักษรที่ไม่รู้จักพวกนั้นเข้าใจหมดแล้วสินะ?” อันเจิงถามพร้อมรอยยิ้ม
ตู้โซ่วโซ่วขยี้ตาเบา ๆ แล้วอ้าปากยกขากรรไกรขึ้น“แน่นอน นายท่านตัวอ้วนอย่างข้าไม่ได้โง่ขนาดนั้น วิธีการบ่มเพาะเบื้องต้นหนา ๆ เล่มนั้นถูกข้าจดจำได้หมดแล้วกับแค่ตัวอักษรไม่กี่ตัวข้าจะจำไม่ได้เชียวหรือ?”
“เช่นนั้นเ้าลองเขียนคำว่า อับจนคือผู้พ่ายแพ้หกคำนี้ให้ข้าดูหน่อย”
ตู้โซ่วโซ่วหยิบพู่กันขึ้นมาจากนั้นก็ตวัดเขียนจนจบประโยคหลังจากเป่าน้ำหมึกจนแห้งแล้ว เขาก็ยื่นส่งไปให้อันเจิงดู
อันเจิงก้มหน้าลงไปมองมุมปากอดไม่ได้กระตุกสองสามครั้ง...ตัวอักษรของตู้โซ่วโซ่วไม่นับว่าน่าเกลียดเกินไปแต่ก็โย้เย้ไม่เป็ระเบียบสุด ๆ ...ที่สำคัญ...หมาป่าถูกรุมข่มขืน[3]...หกคำนี้อันเจิงไม่อาจมองตรง ๆได้จริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่าข่มขืนท้ายประโยคนั่นให้ความรู้สึกประหนึ่งว่าโลกนี้ช่างเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาทเป็ภาพหลอนที่น่าสะอิดสะเอียนคลื่นเหียนมากจริง ๆ
“เป็อย่างไรบ้าง?” ตู้โซ่วโซ่วถาม
อันเจิงพยักหน้าให้ “ข้ารู้สึกเหมือนกำลังโดนเ้าดูถูกอยู่”
ชวีหลิวเอ๋อชะโงกหน้าเข้าไปมอง พลันใบหน้าแดงก่ำ“ข้าว่าพวกเราเปลี่ยนหัวข้อสนทนากันเถอะ...”
เสี่ยวชีเต้าเองก็อยากเห็นด้วยเหมือนกันแต่ถูกหยุดไว้โดยชวีหลิวเอ๋อเสียก่อน
อันเจิงยิ้มให้และพูดขึ้น “ข้ารู้ว่าในใจของทุกคนเป็กังวลเป็เพราะว่าไม่มีความมั่นใจเลยใช่หรือไม่ตอนนี้คนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเราคือเสี่ยวชีเต้า แต่งานประลองครั้งนี้อย่างไรข้าก็จะไม่ให้เสี่ยวชีเต้าลงแข่งด้วยเด็ดขาดส่วนตู้โซ่วโซ่วกับชวีหลิวเอ๋อ พวกเ้าทั้งคู่ยังอยู่ในขอบเขตจุติ์ขั้นแรกแม้ข้าจะสอนทักษะการต่อสู้ที่ดีที่สุดให้ แต่ก็ใช่ว่าจะเติมเต็มช่องว่างระหว่างขั้นพลังที่ห่างกันขนาดนั้นได้”
“อย่างไรก็ตาม พวกเ้าไม่จำเป็ต้องกังวลมากเกินไปนัก”
อันเจิงพิงหลังไปกับประตูพูดกับพวกเขาต่อว่า “แม้ว่าระดับการบ่มเพาะของพวกเขาจะสูงกว่าพวกเรามากแต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าอยากให้พวกเ้าจดจำเอาไว้ให้ดีนั่นคือข้าอยากให้พวกเ้าจำให้แม่นว่า ความแตกต่างระหว่างความแข็งแกร่งของขอบเขตจุติ์แต่ละขั้นมีมากขนาดไหนโดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังในขอบเขตจุติ์ขั้นสี่ลงมา”
“อันที่จริงช่องว่างระหว่างพลังในแต่ละขั้นของขอบเขตจุติ์ไม่ได้ห่างกันมากนักเอาแบบนี้ พวกเ้าตามข้าออกมา พวกเรามาเรียนรู้ถึงความต่างของพลังกันก่อนยิ่งเข้าใจจุดนี้มาก พวกเ้าก็จะยิ่งได้เปรียบและสามารถคาดเดาสถานการณ์ของตัวเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น”
ทั้งสามคนเดินตามหลังอันเจิงออกไปข้างนอกพบว่าบนเวทีประลองอันเจิงได้ขนย้ายสิ่งของใหม่ ๆ ขึ้นมาประดับไว้บนนี้มากมาย
ด้านหนึ่งของเวที ท่อนไม้สำหรับฝึกวรยุทธ์เรียงกันเป็ตับแบบบางที่สุดอย่างน้อยก็มีความหนาประมาณหนึ่งท่อนแขนมนุษย์ แบบหนาที่สุดมีความหนาขนาดที่ต้องใช้บุรุษวัยกลางคนสองคนจึงจะโอบรอบได้ไม่รู้ว่าอันเจิงหาของพวกนี้มาจากไหน ท่อนไม้เหล่านี้ถูกฝังติดไว้กับลานเวทีอย่างแ่านับจากซ้ายไปขวามีทั้งหมดสามสิบหกท่อนพอดี
“โซ่วโซ่ว ใช้พลังมากสุดของเ้าโจมตีท่อนไม้พวกนั้นซะลองดูว่าขีดจำกัดพลังโจมตีของเ้าอยู่ที่ตรงไหน”
อันเจิงเพิ่งจะพูดจบ ตู้โซ่วโซ่วก็เดินไปหยุดอยู่หน้าท่อนไม้ท่อนหนึ่งเขาเลือกท่อนไม้ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณสิบเิเ ก่อนจะทำท่าลุกนั่งหลายครั้งแล้วออกหมัดใส่ท่อนไม้อย่างแรง
ปัง!
เสียงแตกร้าวดังขึ้นก่อนที่ท่อนไม้จะะเิออกเป็เสี่ยงๆ ตู้โซ่วโซ่วยิ้มกว้างด้วยความภาคภูมิใจ รู้สึกพอใจกับหมัดของตัวเองไม่น้อย
ตู้โซ่วโซ่วขยับขึ้นหน้าไปอีกสองก้าวเลือกท่อนไม้ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณยี่สิบเิเออกมาอีกท่อนหนึ่ง หวังจะแสดงพลังของตนให้ทุกคนได้เห็นอีกแต่น่าเสียดายที่ครั้งนี้ท่อนไม้แค่เอียงไปเท่านั้น ไม่ได้หักโค่นลงแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม จุดที่โดนหมัดของตู้โซ่วโซ่วก็ยุบลงไปลึกพอสมควรเศษขี้เลื่อยบินกระจายไปทั่ว
อันเจิงพยักหน้าให้หลายครั้ง “นี่ก็คือขีดจำกัดพลังโจมตีของเ้าในบรรดาผู้ฝึกตนขอบเขตจุติ์ขั้นแรก เรียกได้ว่าอยู่ในระดับกลางถึงสูงแล้วนับว่ายาสมุนไพรเ่าั้ของชวีหลิวเอ๋อไม่สูญเปล่าศักยภาพร่างกายของเ้ายกระดับขึ้นไม่น้อยเลย”
ชวีหลิวเอ๋อสูดลมหายใจเข้าลึกร่างผอมเพรียวของนางเดินเข้าไปใกล้ “ข้าขอลองบ้าง”
ท่อนไม้ที่ชวีหลิวเอ๋อเลือกมีเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่สามสิบเิเหลังจากเด็กหญิงปรับลมหายใจของนางเสร็จเรียบร้อยแล้ว กำปั้นเล็ก ๆก็กระแทกเข้าใส่ท่อนไม้ทันที
ท่อนไม้ไม่ขยับแม้แต่น้อย...ตู้โซ่วโซ่วตกตะลึงรู้สึกไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง “เป็ไปได้อย่างไร นางแข็งแกร่งกว่าข้ามากเมื่อวานนี้นางยังบอกข้าอยู่เลยว่า นางรู้สึกว่าตัวเองอาจจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตจุติ์ขั้นสองในไม่ช้านี้”
ทว่ายังไม่ทันให้ตู้โซ่วโซ่วได้พูดจบประโยค ท่อนไม้ของชวีหลิวเอ๋อก็ส่งเสียงดังลั่นออกมาก่อนจะพังครืนลงต่อหน้าพวกเขา นี่ไม่ใช่แค่การแตกหรือหักแต่ท่อนไม้ทั้งท่อนคล้ายกับถูกลอกออกเป็เส้นเล็ก ๆภาพเศษไม้ที่กองอยู่ตรงหน้าจึงเหมือนกับภาพเส้นผมกองใหญ่กองหนึ่งที่พันกันอยู่
“เป็พลังที่แปลกเกินไปแล้ว”
อันเจิงอุทานขึ้นมาอย่างอดไม่ได้แม้เขาจะมีประสบการณ์มากมาย มีความรู้กว้างขวางแต่เขาไม่เคยเห็นพลังในรูปแบบนี้มาก่อน พลังของชวีหลิวเอ๋อนั้นเปรียบเสมือนมีดที่ทั้งคมและมั่นคงมันสามารถตัดแยกเอาเส้นใยและเนื้อเยื่อทั้งหมดของท่อนไม้ออกจากกันได้อย่างสมบูรณ์
ยากที่จะคาดคิดว่า ผลที่ตามมานั้นจะน่ากลัวเพียงใดหากการโจมตีนี้ถูกใช้กับมนุษย์
อันเจิงคิดในใจ คงเป็เพราะความเข้าใจในศาสตร์แห่งการปรุงยาของชวีหลิวเอ๋อได้ถูกผนวกรวมเข้ากับการบ่มเพาะของนางจึงทำให้มันมีผลลัพธ์ที่น่าตกตะลึงถึงเพียงนี้
พลังที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ หากฝึกฝนจนแข็งแกร่งไม่แน่ว่าอาจสามารถทำให้วัตถุต่างๆ กลับคืนสู่แก่นแท้ได้!
ชวีหลิวเอ๋อเขินอายเล็กน้อยจากนั้นนางก็ขยับต่อไปทางขวามือ “ข้าว่า...ข้าอาจจะลองได้อีกครั้ง”
นางเลือกท่อนไม้ที่หนาขึ้นกว่าท่อนก่อนหน้าเล็กน้อย จากนั้นซัดหมัดเข้าไป
เหมือนกับเหตุการณ์ก่อนหน้าทุกอย่างท่อนไม้ไม่มีการเคลื่อนไหวเลย แต่พอลองเป่าลมเข้าไปเบา ๆท่อนไม้พลันถูกลอกออกเป็เส้น ๆเพียงแต่ครั้งนี้ขนาดของมันไม่ได้เล็กเท่าเส้นผมอีกทว่าก็ยังพันกันมั่วอยู่ดีเห็นได้ชัดว่าขีดจำกัดของชวีหลิวเอ๋อ อยู่ที่เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณสามสิบเิเ
ตู้โซ่วโซ่วพูดขึ้น “น่าอัศจรรย์มาก...เสี่ยวชีเต้าเ้าก็ขึ้นไปลองบ้างสิ”
เสี่ยวชีเต้าเดินส่ายก้นเล็ก ๆของเขาขึ้นไปบนเวทีประลอง ทำท่าลุกนั่งหลายครั้งเลียนแบบตู้โซ่วโซ่วแล้วต่อยกำปั้นเล็กๆ ออกไปข้างหน้า น่าเสียดายที่เขาไม่ได้คำนวณระยะทางให้ดี ๆ ก่อน หมัดนี้จึงวืดไปไม่กระทบโดนเสาโดยตรง ตู้โซ่วโซ่วเห็นแล้วหัวเราะลั่นขณะที่กำลังจะออกปากแซวอีกฝ่ายว่าแขนของเขาสั้นเกินไปนั้น...ท่อนไม้ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางกว่าสี่สิบเิเก็ะเิเป็รูโหว่รูเล็ก ๆ นั้นขนาดเท่ากับกำปั้นของเสี่ยวชีเต้าพอดิบพอดี
ท่อนไม้ไม่ขยับแต่กลับถูกเจาะเป็รูด้วยหมัดของเสี่ยวชีเต้า
“หมัดวายุ!”
อันเจิงอึ้งไป ดวงตาเบิกกว้างขึ้นฉับพลัน
ในความเป็จริง เป็ไปไม่ได้ที่ผู้ฝึกตนในขอบเขตจุติ์จะปล่อยปราณล่องหนออกมาได้นี่เป็พลังปราณในรูปแบบที่ถูกขับออกมาภายนอกอย่างน้อยก็ต้องรอจนกว่าจะถึงขอบเขตสุมารุก่อน ถึงจะสร้างปราณที่เหนือชั้นขึ้นไปอีกขั้นอย่างปราณดาบการที่จะปล่อยหมัดออกมาได้ทรงพลังขนาดนี้จำเป็ต้องผ่านการฝึกฝนเคี่ยวกรำกล้ามเนื้อมานับครั้งไม่ถ้วนเพื่อให้กล้ามเนื้อได้พัฒนาไปจนถึงขีดสุดและสามารถรองรับพลังบ่มเพาะได้อย่างเต็มขั้นเช่นนั้นจึงจะสร้างหมัดที่สุดยอดแบบนี้ขึ้นมาได้
หากไม่เคยฝึกฝนมาก่อน ให้ตายก็ไม่มีทางออกหมัดที่ทรงพลังขนาดสร้างาแร้ายแรงให้กับคู่ต่อสู้ได้ตอนนี้เสี่ยวชีเต้าเพิ่งจะอยู่ในขอบเขตจุติ์ขั้นสอง ทำไมเขาถึงฝึกหมัดวายุได้?
อันเจิงชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจึงถามออกไป “เสี่ยวชีเต้าเ้าเมาอีกแล้วหรือ?”
เสี่ยวชีเต้าพยักหน้าพูดด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสาของเด็กน้อย “เมื่อวานตอนก่อนจะหลับข้ารู้สึกมึนๆ ทั้งที่นอนอยู่บนเตียงแต่รู้สึกเหมือนนอนอยู่บนเรือเลย มันโคลงเคลงไปหมด”
อันเจิงหัวเราะขึ้นมา “เ้าช่างเป็อัจฉริยะที่ยากจะหาผู้ใดเปรียบได้จริงๆ อายุสี่ขวบ ฝึกฝนเพียงแค่สี่เดือน เ้าก็ทะลวงมาถึงขอบเขตจุติ์ขั้นสามแล้ว”
เสี่ยวชีเต้าภาคภูมิใจกับมันมาก “พี่ชายอันเจิงข้ายังทำอย่างอื่นได้อีกนะขอรับ”
เขาย้ายก้นเล็ก ๆไปหน้าเสาไม้อีกต้นที่ใหญ่และหนากว่า แขนเล็กขาวอวบออกแรงตวัดวาดไปหนึ่งครั้ง เสาไม้ต้นนั้นก็ขาดลงรอยตัดที่โผล่พ้นออกมาให้เห็นทั้งราบเรียบและสวยงามเป็อย่างมาก
ตู้โซ่วโซ่วสูดลมหายใจเข้าปอดใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย “เสี่ยวชีเต้า อีกหน่อยความปลอดภัยของพี่ชายตัวอ้วนขอมอบให้เ้าดูแลแล้ว”
นี่มันไม่สอดคล้องกับความน่าจะเป็เอาเสียเลยแม้ขอบเขตจุติ์จะเป็ขอบเขตระดับต่ำสุดของการบ่มเพาะ ทำให้อัจฉริยะทั้งหลายสามารถเลื่อนขั้นได้อย่างรวดเร็วจากที่ได้ยินมา บางคนสามารถไต่ไปถึงขอบเขตจุติ์ขั้นสี่ได้ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งปีแต่เสี่ยวชีเต้าเพิ่งจะมีอายุเท่าไหร่กันเชียว เขายังเล็กมาก...อายุเพียงสี่ขวบครึ่งเท่านั้นแต่กลับเป็ผู้ฝึกตนในขอบเขตจุติ์ขั้นสามแล้ว!หากว่ากล้ามเนื้อของเขาเติบโตขึ้นและได้รับการฝึกฝนอย่างเหมาะสมการจะปลดปล่อยพลังปราณ เปลี่ยนจากหมัดเป็ดาบก็ไม่ใช่เื่ยากอะไรนั่นเพราะแต่เดิมกลางฝ่ามือก็คือจุดที่ใช้ในการปลดปล่อยพลังปราณอยู่แล้วยิ่งได้ฝึกติดต่อกันในระยะยาว ก็ยิ่งส่งผลให้พลังฝ่ามือแข็งแกร่งมั่นคงมากขึ้น
แต่ที่เสี่ยวชีเต้าใช้ไม่ใช่ฝ่ามือแต่เป็แขนแขนอวบ ๆ ขาว ๆ ของเขาจะมีแรงเท่าไหร่เชียว สามารถตัดท่อนไม้ให้ขาดได้?ยิ่งไปกว่านั้นเขาสามารถเปลี่ยนพลังปราณในร่างให้กลายเป็ปราณล่องหนนอกร่างกายได้นี่มันเกินคาดคิดไปไกลแล้ว
อันเจิงพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง “ตอนประลองจะให้เสี่ยวชีเต้าขึ้นเวทีไม่ได้อย่างเด็ดขาด”
คนอื่น ๆ พากันพยักหน้าเห็นด้วยพวกเขารู้ว่าสิ่งที่อันเจิงเป็ห่วงนั้นคืออะไรหากพร์ของเสี่ยวชีเต้าถูกเปิดเผยออกมา มันจะต้องชักนำหายนะมาสู่ตัวเขาแน่ ๆคนมากมายจะต้องพากันแย่งชิงเขา แล้วเสี่ยวชีเต้าจะกลายเป็เหยื่อสังเวยในครั้งนี้
เสี่ยวชีเต้าตัดพ้อ “ทำไมข้าถึงลงประลองไม่ได้”
อันเจิงคิดหาเหตุผลแล้วตอบกลับไป “ก่อนจากไปท่านแม่ของเ้าฝากเ้าไว้กับข้านางกำชับว่าก่อนเ้าอายุครบแปดปีห้ามเ้าต่อสู้หรือไปมีเื่ทะเลาะเบาะแว้งเด็ดขาด”
เสี่ยวชีเต้าร้องออกมาคำหนึ่งทั้งจมูกทั้งดวงตาแดงก่ำไปหมด
ผู้เฒ่าฮั่วซึ่งนั่งอยู่ใกล้ ๆประตูถอนหายใจออกยาว พูดขึ้นในใจว่า อนาคตของเสี่ยวชีเต้าจะต้องพบเจอกับอุปสรรคอีกมากเด็กคนนี้มีศักยภาพร่างกายที่พิเศษมาแต่กำเนิดหากถูกผู้ไม่ประสงค์ดีนำไปเลี้ยงดูใช้งาน คงไม่พ้นได้กลายเป็จอมมารแห่งยุคจะดีแค่ไหนหนอหากเขาสามารถติดตามอันเจิงเช่นนี้ต่อไปได้เรื่อย ๆบางทีนี่อาจเป็ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเสี่ยวชีเต้าแล้ว
ผู้เฒ่าฮั่วรู้ชัดถึงใบหน้าและจิตใจของคนในยุทธภพเ่าั้พร์ระดับเสี่ยวชีเต้าไม่ว่าจับไปอยู่ในสำนักใดก็จะถูกวางไว้ในตำแหน่งสมบัติล้ำค่าทั้งสิ้นทั้งยังจะได้รับการปรนนิบัติเลี้ยงดูอย่างดี อย่างไรก็ตาม การเติบโตภายใต้คำสอนและสภาพแวดล้อมที่ว่ามีแต่จะให้เด็กเสียคนเท่านั้น
“พี่ชายอันเจิง ท่านก็ลองออกหมัดบ้างสิ”
เสี่ยวชีเต้าสูดจมูกสีหน้าประหนึ่งไม่ได้รับความเป็ธรรม
อันเจิงหัวเราะลั่น “ข้า...ฮ่า ๆ ๆ...นี่ค่อนข้างกระอักกระอ่วนไปสักหน่อยข้าไม่ทำได้หรือไม่?”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[3]อับจนคือผู้พ่ายแพ้(狼狈为奸)ในที่นี้ออกเสียงเหมือนกับคำว่าหมาป่าถูกรุมข่มขืน(狼被围奸)