หลังจากดื่มกันไปสามรอบ มหาบัณฑิตเยวี่ยและเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็นับว่าดื่มกันไปไม่น้อยแล้ว เมื่อมองดูที่โต๊ะสุราอีกครั้ง สุราเทียนจื่อเซี่ยวแค่สองไหจะไปพอได้อย่างไรกัน? สุราไป๋อวิ๋นเปียน สุราถาวฮวาจุ้ย ต่างหมุนเวียนกันออกมาขึ้นโต๊ะ เ้าเสร็จข้าต่อ ราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด
เยวี่ยเจาหรานเองก็ถูกลากมาดื่มหลายจอก จนตอนนี้ปวดหัวตาลายมึนศีรษะไปหมดเช่นกัน และมหาบัณฑิตนั้นคือผู้ที่ขึ้นชื่อว่ามีเมียดุ จึงไม่กล้าอุกอาจไปดึงฮูหยินเยวี่ยมาร่วมด้วย ไม่เช่นนั้นโต๊ะสุราในยามนี้จะเป็ฉากที่วุ่นวายแค่ไหน น่ากลัวว่าแม้แต่นักประพันธ์ผู้มีจินตนาการลึกล้ำที่สุดก็ไม่อาจจะจินตนาการและพรรณนาได้
สองตาของฮูหยินเยวี่ยถลึงใส่เหมือนกระดิ่งทองแดง สาดความโเี้อำมหิตออกมา นางกระแอมไอใส่มหาบัณฑิตเยวี่ยที่เมาหัวราน้ำ พยายามปลุกความภาคภูมิและสติของมหาบัณฑิตเยวี่ยขึ้นมา แต่ใครจะรู้ว่าสติของมหาบัณฑิตเยวี่ยนั้นไม่เพียงไม่กลับมาด้วยเสียงกระแอมนั้น เขากลับทำท่าสะบัดแขนเสื้อกว้าง ควบม้าจากไปอย่างสง่างาม ไม่พรากแม้ม่านเมฆสักผืน [1]
“ชายชาตรีบนหลังม้าเ้าผึ่งผายเกรียงไกร… เอิ๊ก”
ไม่รู้ว่าเสียงกระแอมของฮูหยินเยวี่ยนั้นเป็มนต์อันใด จึงไปกระตุ้นให้มหาบัณฑิตเยวี่ยก้าวเท้าขึ้นไปบนโต๊ะอาหาร มือข้างหนึ่งฉุดดึงเสื้อที่หน้าอก ส่วนอีกข้างถือไหสุราถาวฮวาจุ้ยแล้วร่ำบทเพลงขึ้นมา
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเห็นเช่นนั้นก็ยอมน้อยหน้าเสียที่ไหน นางปีนขึ้นไปบนเวทีของตนอย่างรวดเร็วและง่ายดาย ยกมือขึ้นไปบนเพดานแล้วร้องะโ “เพื่อนๆ ข้างหลังน่ะ! ขอเสียงหน่อย!”
ขอเสียงหน่อย? หมายถึงใครกับใครกันเล่า! เยวี่ยเจาหรานที่ไม่อาจเอาชนะฤทธิ์สุราจับรั้งสติเสี้ยวสุดท้ายเอาไว้ หลังจากเรอเหล้าออกมาอย่างแรงก็คิดที่จะเอื้อมมือไปดึงเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วลงมา แต่กลับเกือบจะถูกเ้าขี้เมาเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่มีกำลังอันน่าอัศจรรย์ดึงขึ้นไปบนเวทีเสียได้ สุดท้ายเยวี่ยเจาหรานจึงนั่งลงบนเก้าอี้ของตนอย่างอ่อนเปลี้ยตามเดิม
“บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว พวกเ้าวิกลกันไปหมดแล้ว!” ฮูหยินเยวี่ยโกรธจนหัวแทบะเิ ไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดมาเอ่ย มหาบัณฑิตเยวี่ยตรงหน้านี้ยังมีเค้าของกระดูกต้นแขนแห่งราชสำนักที่ไหนกัน? ราวกับคนบ้าข้างถนนที่ไม่เคยดื่มเหล้ามาก่อนชัดๆ !
มหาบัณฑิตเยวี่ยนั้นเมามายจนไม่รู้สึกตัว ราวกับจิติญญาที่สะกดกลั้นมาหลายปีได้รับการปลดปล่อยและหลุดพ้นอย่างแท้จริง เขาร้องขึ้นมาตามคำพูดของฮูหยินเยี่ยน “วิกลม? กลม? ใช่ๆ ลมนั่นเอง! เ้าคือสายลม...ข้าคือเม็ดทราย... [2] ”
“เกาะกุมกันไป… จนสุดขอบฟ้า!” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ยืนอยู่บนโต๊ะถือโอกาสตามน้ำ ร้องเพลงด้วยกันกับพ่อตาของตนอย่างให้เกียรติยิ่ง
เมื่อนั้นฮูหยินเยี่ยนก็ไม่อาจทนต่อไปได้อีก นางสีหน้าเคร่งขรึมลง สะบัดแขนเสื้อลุกขึ้นจากที่นั่งด้วยความโมโห และเตรียมจะออกไปจากเวทีบ้าบอนี้เสีย แต่กลับถูกเสื้อผ้าที่ไม่รู้ว่าลอยมาจากไหนตีเข้ากลางหน้า แล้วล้มตุบลงกับพื้น ไม่สิ ล้มกลับลงที่เก้าอี้
ใบหน้าของเยวี่ยเจาหรานเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เขาเงยหน้าขึ้นไปมอง จึงรู้ว่าผู้ร้ายของเสื้อผ้าที่ลอยมานี้ก็คือบิดาของตนที่ดื่มไปมากมาย และเมื่อเลื่อนสายตาไปมองมารดาของตนอีกครั้ง ก็ตระหนักได้ว่าภัยพิบัตินั้นยังไม่สิ้นสุด แต่มัน เพิ่ง! จะ! เริ่ม! ต้น!
ฮูหยินเยวี่ยเอื้อมมือไปดึงผ้าออก แล้วคิดที่จะลุกขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็ถูกเสื้อผ้าที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วโยนมาฟาดเข้าที่ศีรษะอีกครั้ง...
แถมองศาและกำลังของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่โยนมานั้นก็ช่างร้ายกาจนัก ถึงกับทำให้ฮูหยินเยวี่ยที่ยังไม่ทันลุกถูกฟาดจนสลบไปเลย… ไม่ผิด ถูกฟาดจนสลบไปเลย!
เยวี่ยเจาหรานยกมือขึ้นปรกหน้าของตนและนั่งลงอย่างสงบใจ อย่างไรเสียเื่ที่พลาดไปแล้วให้มันเลยตามเลย ไม่จำเป็ต้องไปกังวลกับมัน ยามนี้คนที่มีสติอยู่เพียงหนึ่งเดียวก็สลบไปแล้ว ตัวเขาเองก็แกล้งเมาไปด้วยดีกว่า รอให้พวกเขาเลิกเป็บ้าแล้วค่อยมาเก็บกวาดความพังพินาศอีกทีก็แล้วกัน
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วและมหาบัณฑิตเยวี่ยต่างถอดเสื้อคลุมที่เกะกะออก ทั้งสองแทบจะกอดกันร้องไห้ นอกจากนี้ยังมีการแสดงร้องรำทำเพลงราวกับงานสังสรรค์วันสิ้นปี
เยวี่ยเจาหรานที่ฟังดนตรีจนจบงาน ก่อน่สุดท้ายเขาถึงกับอยากปรบมือแล้วร้องอุทานว่า ร้องได้ไม่เลว
ท้ายที่สุดละครตลกเื่นี้ก็ได้ปิดฉากลงด้วยเพลงครวญสำนวนคนโสด [3] ของมหาบัณฑิตเยวี่ยหนึ่งบทเพลง อย่าถามว่าทำไมข้าถึงฟังออกว่าเป็เพลงครวญสำนวนคนโสด อาจเป็เพราะข้าเป็คนโสด เลยรู้สึกไวกับเพลงรักประเภทนี้กระมัง?
เยวี่ยเจาหรานที่กึ่งสร่างกึ่งเมาปรบมือให้กับสามีในนามและบิดาบังเกิดเกล้าของตนอย่างยกยอปอปั้น ก่อนจะเรียกบ่าวรับใช้มาสามสี่คนและมอบหมายให้พวกเขาส่งบิดามารดาของตนกลับห้องให้เรียบร้อย
แต่ขณะที่บ่าวรับใช้กำลังจะแตะต้องเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแทนเยวี่ยเจาหรานที่กำลังจัดการความวุ่นวายอยู่นั้น ก็กลับถูกเยวี่ยเจาหรานตวาดจนถอยไปสามก้าวด้วยความใ เยวี่ยเจาหรานสะบัดแขนเสื้อเล็กน้อย แล้วแบกเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วขึ้นมาด้วยตัวเองขณะที่สวมชุดของสตรี หากเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วในตอนนี้ฟื้นคืนสติขึ้นมาได้ คงต้องแหงนหน้าขึ้นฟ้ากู่ร้องว่า ที่ตนอุ้มเยวี่ยเจาหรานหลายครั้งเมื่อก่อนหน้านี้นั้นทำไปไม่ขาดทุนเลยทีเดียว
ว่ากันว่าคนเมาหลับลึก คำพูดนี้ไม่โป้ปด แม้ว่าร่างกายที่แท้จริงของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจะเป็หญิงสาวที่มีกล้ามเนื้อไม่น้อยจากการฝึกวรยุทธ์มาหลายปี ก็ไม่อาจบิดเบือนคำพูดนั้นได้
เยวี่ยเจาหรานที่แบกสาวขี้เมาเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเอาไว้บนไหล่ข้างหนึ่งเดินโซซัดโซเซจนไปถึง ‘ห้องส่วนตัวสตรี’ ก่อนที่จะออกเรือนของตนอย่างยากลำบาก ก่อนจะโยนเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่กำลังเมามายลงบนเตียง
พร้อมกับเสียงหนักๆ ที่ดังขึ้น ในที่สุดหนึ่งวันที่น่าเวทนาของเยวี่ยเจาหรานก็ได้สิ้นสุดลง... หนึ่งในสามน่ะนะ
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนอนหงายกางแขนกางขาอยู่บนเตียง ส่วนเยวี่ยเจาหรานนั้นก็เอนตัวลงบนเตียงอีกด้านด้วยความปวดหัว ในใจครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ว่าควรจะทำให้คุณหนูผู้นี้สร่างเมาอย่างไรดี แต่ในขณะที่ยังคิดอะไรไม่ออกนั้น กลับได้ยินเสียงฮึดฮัดร้องว่าร้อนของผู้นั้นที่อยู่บนเตียง เยวี่ยเจาหรานถอนหายใจยาว อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาว่าวันนี้ของตนนั้นช่างเหนื่อยยากตรากตรำเสียเหลือเกิน
เยวี่ยเจาหรานที่ได้ดื่มสุราไปเช่นกันลุกขึ้นอย่างโงนเงน ขาข้างหนึ่งไม่มั่นคงจนล้มคว่ำลงบนตัวของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว กระตุ้นให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่รู้สึกร้อนอยู่แล้วเตะเ้าตัวร่วงไปอีกด้าน ปากก็ยังคงร้องไม่หยุดว่า “ร้อน… ร้อนจะตายอยู่แล้ว”
เยวี่ยเจาหรานที่ถูกเตะเข้าอย่างจังพลันรู้สึกปวดไปทั้งหัวทั้งตัว แต่เขากลับยังอดทนยันตัวลุกขึ้น ดึงเสื้อผ้าบนตัวของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วออกให้ด้วยความงัวเงีย ท่ามกลางความสะลึมสะลือ เขากลับรับรู้ถึงรูปโฉมของคุณหนูเยี่ยนผู้นี้ขึ้นมาเล็กน้อย
ความร้อนของร่างกายไม่อาจกำจัดออกไปได้ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่อยู่ในความมึนเมาหงุดหงิดเกินทน นางยกมือดึงเสื้อผ้าของตนลงมาข้างหนึ่งไปพร้อมกันกับเยวี่ยเจาหราน เสียงหายใจหอบหนักดูเย้ายวนขึ้นมาด้วยความเมามาย แต่ละเสียงนั้นช่างยั่วเย้าเยวี่ยเจาหรานที่ดื่มมากเกินไปเช่นเดียวกัน
“อย่าว่อกแว่ก อย่าว่อกแว่ก!”
เยวี่ยเจาหรานที่กลัวว่าจะควบคุมตนเองไม่อยู่นั้น ได้แต่พยายามรักษาสติสัมปชัญญะสุดท้ายอันน้อยนิดเอาไว้ เขาคอยปลอบโยนเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วและดึงสติตัวเองไม่ให้เตลิดไปไหนต่อไหน แต่สำหรับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่เมาจนไม่รู้สึกตัวนั้น... ชัดเจนว่าไม่มีประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเสื้อผ้าบนร่างของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วถูกถอดออกไป มือของนางก็ยั่วเย้าเยวี่ยเจาหรานอย่างอยู่ไม่สุข พอจะพลิกตัว เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ฉวยโอกาสกดเยวี่ยเจาหรานล้มลงไปด้วย สองนิ้วคีบปอยผมที่หน้าผากของเยวี่ยเจาหรานอย่างแ่เบา จับดึงไปพลางหัวเราะไปพลาง เอ่ยอย่างกึ่งหลับกึ่งตื่น “เยวี่ยเจาหราน เ้านี่ตุ้งติ้งจัง...”
ด้วยความเมา เสียงของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกลับไม่ได้แกร่งกร้าวเหมือนดังก่อน กลับเป็เสียงอ่อนเสียงหวาน วาจาที่กำลังว่ากล่าวเยวี่ยเจาหรานอยู่นั้นก็กระชดกระช้อยราวสตรี เ้าว่า ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่มีร่างกายเป็ปกติเพียงแค่กำลังปลอมตัวแถมยังดื่มเหล้าไปแล้วไม่น้อยนั้น จะทนไหวหรือ?
เชิงอรรถ
[1] สะบัดแขนเสื้อกว้าง ไม่พรากแม้ม่านเมฆสักผืน (挥一挥衣袖,不带走一片云彩) ท่อนสุดท้ายในบทกวีอำลาเคมบริดจ์ ประพันธ์โดย สวีจื้อม๋อ (徐志摩)
[2] เธอคือสายลมฉันคือทราย เกาะกุมกันไปจนสุดขอบฟ้า (你是风儿我是沙 缠缠绵绵绕天涯) ท่อนหนึ่งในเพลงประกอบซีรีส์จีนเื่ องค์หญิงกำมะลอ
[3] เพลงครวญสำนวนคนโสด (单身情歌) โดย หลินจื้อเซวี่ยน (林志炫)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้