โลกภายนอกทำไมถึงได้มีโจรเยอะเช่นนี้!
แม่เฒ่าเซี่ยพอได้ยินว่าหวังจินกุ้ยกับเซี่ยหงเซี๋ยทำเงินหายก็โกรธจนไม่อยากสนใจสองแม่ลูกคู่นี้อีกต่อไป
ตอนซื้อตั๋วรถไฟ หวังจินกุ้ยบอกว่าตัวเองไม่มีเงิน เซี่ยหงเซี๋ยก็บอกว่าไม่มีเงิน แม่เฒ่าเซี่ยที่เดินเหินคนเดียวไม่สะดวกจึงต้องยอมควักเงินจ่ายให้ สุดท้ายสองแม่ลูกต่างก็พกเงินติดตัว โดยหวังจินกุ้ยยัดเงินร้อยกว่าหยวนเอาไว้ในเสื้อผ้าจากนั้นก็เอาไปใส่ไว้ในถุงกระสอบอีกที ทว่าตอนลงจากรถคนเบียดกันมาก แม้แต่ถุงกระสอบก็ถูกคนฉกไป
เซี่ยหงเซี๋ยเองก็มีเงินเช่นกัน แม้หวังจินกุ้ยจะบอกให้เธอสลัดคู่ครองในอำเภอทิ้ง แต่เซี่ยหงเซี๋ยยังไม่อยากตัดทางเลือกของตัวเอง
หากได้แต่งงานกับคนฮ่องกงก็คงจะดีที่สุด แต่ถ้าไม่สำเร็จเธอค่อยกลับมาแต่งงานกับแฟนคนปัจจุบันก็ไม่เสียหาย ดังนั้นก่อนออกเดินทางเธอจึงบอกว่าแฟนหนุ่มว่าจะไปเยี่ยมอารองที่เผิงเฉิง และขอเงินค่าเดินทางจากเขามาหลายสิบหยวน
เงินก้อนนี้เซี่ยหงเซี๋ยปิดเป็ความลับ เธอไม่บอกแม้กระทั่งหวังจินกุ้ยผู้เป็แม่ จากซางตูมาที่หยางเฉิงต้องนั่งรถไฟสามสิบกว่าชั่วโมง แน่นอนว่าบนรถไฟย่อมนอนหลับไม่สะดวก ได้แต่นั่งหลังขดหลังแข็งอยู่ตลอดเวลา ตระกูลเซี่ยทั้งสี่คนย้ายที่นั่งมานั่งรวมกัน โดยทุกคนจะนั่งล้อมโต๊ะขนาดเล็กแล้วผลัดกันนอนฟุบอยู่บนโต๊ะ พอถึงจังหวะที่เซี่ยหงเซี๋ยต้อง ‘เฝ้ายาม’ เธอทนความง่วงไม่ไหวจึงเผลอหลับไป
เซี่ยหงเซี๋ยสาบานได้ว่าเธอเผลอหลับไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น หนังตาเพิ่งปิดไปไม่ทันไรก็ลืมตาตื่นขึ้นมาทันที หลังจากนั้นก็มีเสียงประกาศดังขึ้นว่าถึงสถานีหยางเฉิงเป็ที่เรียบร้อยแลัว ทันใดนั้นเองคนบนรถไฟต่างก็เบียดเสียดกันลงจากรถ สัมภาระของหวังจินกุ้ยหายไป กระเป๋ากางเกงของเซี่ยหงเซี๋ยเองก็ถูกโจรกรีดเช่นกัน
สองแม่ลูกไม่เคยเดินทางไกลมาก่อน หวังจินกุ้ยนั้นรูปร่างค่อนข้างอวบอ้วน เธอยัดถุงกระสอบเอาไว้ใต้ที่นั่ง หลังไปห้องน้ำกลับมาทีไรก็ต้องตรวจดูว่าสัมภาระใต้ที่นั่งยังอยู่หรือไม่
เซี่ยหงเซี๋ยเองก็เอาแต่คลำกระเป๋ากางเกงตลอดเวลา กิริยาเล็กน้อยพวกนี้ล้วนเป็การบอกโจรทางอ้อมว่า ในถุงกระสอบและกระเป๋ากางเกงมีทรัพย์สินใส่อยู่ สองแม่ลูกถูกโจรปลดทรัพย์เหมือนกัน สติปัญญาถ่ายทอดทางสายเืเสียจริงๆ
เงินของแม่เฒ่าเซี่ยใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อที่เธอใส่ และเป็เงินสดเพียงก้อนเดียวที่ทั้งบ้านเหลืออยู่
“หงปิง นี่น่ะหรือลูกเมียแก!”
แม่เฒ่าเซี่ยเดือดจัด เซี่ยหงปิงเองก็รู้สึกขายขี้หน้า สองแม่ลูกมีเงินแต่ไม่ยอมบอกเขา วันๆ หวังจินกุ้ยเอาแต่บอกว่าไม่มีเงิน เซี่ยหงปิงย่อมเชื่อจนหมดใจ ถ้ารู้ว่าจะถูกโจรขโมยไปเช่นนี้ สู้ให้เขาเอาไปหาความสุขยังดีเสียกว่า
เซี่ยหงปิงกำหมัดวาดมือไม้ทำท่าทางเหมือนต่อย “ถ้ากล้าซ่อนเงินจากแม่ฉันอีกล่ะก็ ฉันจะต่อยให้ไม่เหลือ!”
ตอนนี้อยู่ที่เมืองใหญ่ สถานีรถไฟหยางเฉิงมีคนพลุกพล่านอยู่เป็จำนวนมาก เซี่ยหงปิงย่อมไม่กล้าลงมือจริงๆ หยางเฉิงช่างคึกคักเหลือเกิน มีแผงลอยมากมายตั้งอยู่ในสถานีรถไฟ พอได้กลิ่นหอมของอาหาร เซี่ยหงปิงก็ท้องร้องขึ้นมาทันที
เขาสูดจมูกแล้วเดินไปหาแม่เฒ่าเซี่ย “แม่ ตอนนี้ด่าพวกเธอไปก็ไร้ประโยชน์ เราควรหาอะไรมากินให้ท้องอิ่มก่อนดีกว่าไหม”
แม่เฒ่าเซี่ยคิดถึงเงินที่หายไปแล้วก็รู้สึกปวดใจ
“เงินของฉันเอาไปซื้อตั๋วรถไฟหมดแล้ว!”
แม้จะพูดเช่นนั้น แต่สุดท้ายก็ทนการรบเร้าของเซี่ยหงปิงไม่ไหว แม้ลูกสะใภ้จะี้เีตัวเป็ขนเพียงใด แต่ลูกชายก็คือลูกในไส้ เซี่ยหงเซี๋ยเองก็เป็หลานสาวแท้ๆ สุดท้ายแม่เฒ่าเซี่ยก็ยอมควักเงินซื้อก๋วยเตี๋ยวหลอดมาทาน รสชาติของมันไม่เหมือนที่อวี้หนาน แม้แม่เฒ่าเซี่ยจะอายุมากแล้วแต่ก็ติดการกินอาหารรสเค็ม พอกินเสร็จก็อดคิดไม่ได้ว่าซื้อหมั่นโถวยังดีเสียกว่า
เซี่ยหงเซี๋ยวิ่งไปที่ร้านขายบะหมี่เกี๊ยวแล้วกลืนน้ำลาย ที่นี่มีเกี๊ยวไส้หมูกับกุ้ง เธอมองลูกค้าคนอื่นกำลังถือถ้วยกินอย่างเอร็ดอร่อย
“ย่าคะ ฉันยังไม่อิ่ม...”
“ยังไม่อิ่มก็ต้องทน ถ้าไม่รีบหาตัวอารองของแกให้เจอ คนทั้งบ้านคงได้นอนริมถนนแน่!”
ทว่าการเดินทางไปเผิงเฉิงเพื่อตามหาเซี่ยต้าจวินหาใช่เื่ง่ายอย่างที่คิด หลังนั่งรถไฟจากซางตูมาที่หยางเฉิงแล้ว การจะไปเผิงเฉิงยังต้องนั่งรถต่อ และที่สำคัญคือต้องมี ‘บัตรผ่านแดน’
สมาชิกทั้งสี่ของตระกูลเซี่ยไม่มีความรู้ ชาวหยางเฉิงส่วนใหญ่พูดภาษากวางตุ้ง มีคนพูดภาษาจีนกลางได้ไม่มากนัก อยากถามใครสักคนยังลำบาก
ทั้งสี่คนกอดสัมภาระที่เหลือไว้แน่น พวกเขาทั้งมึนงงและรู้สึกหวาดระแวง เดินไปเดินมาอยู่ในสถานีรถไฟเหมือนแมลงวันที่ไร้จุดปลาย
ใครมองก็รู้ทันทีว่าพวกเขามาจากบ้านนอก โดยเฉพาะพวกนักต้มตุ๋นและแก๊งลักพาตัวที่คอยเฝ้าอยู่ตามสถานีรถไฟ แม้เซี่ยหงเซี๋ยจะหน้าตาธรรมดาแต่ถึงอย่างไรก็เป็เด็กสาวคนหนึ่ง หวังจินกุ้ยกับเซี่ยหงปิงก็ดูท่าทางแล้วยังแข็งแรงดี หาก ‘แนะนำ’ ทั้งคู่ให้ไปเป็แรงงานเถื่อนคงได้ค่านายหน้าจำนวนไม่น้อย
สำหรับพวกนักต้มตุ๋น มีเงินก็หลอกเงิน ไม่มีเงินก็หลอกคน แม้แต่ก้อนหินริมทางก็มิวายเอามาหลอกขายชาวบ้าน หากไม่ลองดูหน่อยมีหรือที่พวกเขาจะถอดใจ สถานีรถไฟมีผู้คนพลุกพล่าน และทุกวันก็มักจะมีพวกบ้านนอกเข้าเมืองมาให้หลอกอยู่เป็ประจำ
ไม่ทันไรก็มีชาวท้องถิ่นท่าทางเป็มิตรเดินเข้ามาทักทาย
“พี่สาว ผมเห็นพี่เดินไปเดินมาอยู่นาน มาเยี่ยมญาติหรือ”
คงไม่ได้มาหางานทำอย่างแน่นอน หากชาวไร่ชาวนาออกมาหางานต่างถิ่นคงไม่พายายแก่ปากเบี้ยวมาด้วย เพราะหากพามาด้วยเวลาจะไปไหนมาไหนย่อมไม่สะดวก ดังนั้นถ้าไม่มาหางานทำก็คงมาเยี่ยมญาติ
ช่างมีน้ำใจเหลือเกิน แม่เฒ่าเซี่ยยังคงรู้สึกระแวงอยู่บ้าง แต่หวังจินกุ้ยพอฟังอีกฝ่ายพูดรู้เื่ก็ปริปากเล่าทุกอย่างออกไปจนหมดเปลือก
คนที่เข้ามาทักทายก็รู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ
เป็พวกชาวไร่จากต่างถิ่นมาเยี่ยมญาติตามคาด ทั้งยัง้าไปเผิงเฉิงเพื่อหาญาติคนนั้นอีกด้วย สี่คนนี้ได้ยินคนบนรถไฟบอกว่าต้องทำ ‘บัตรผ่านแดน’ ถึงจะไปเผิงเฉิงได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องไปทำที่ไหน ถ้าอย่างนั้นหากเอาคนทั้งสี่ไปขายก็คงไม่มีใครตามมาเอาเื่สินะ!
คนที่บ้านเกิดคงคิดว่าพวกเขามาตั้งรกรากที่เมืองใหญ่แล้ว ส่วนคนที่เผิงเฉิงก็คงได้แต่รอเก้อ แล้วจะสามารถออกตามหาญาติตัวเองได้จากที่ไหน?
หลังการปฏิรูปเศรษฐกิจคนต่างถิ่นนิยมเดินทางลงใต้มากขึ้นทุกวัน ตอนนี้เศรษฐกิจกำลังพัฒนา แต่ขณะเดียวกันพวกนักต้มตุ๋นก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
นอกจากความฉลาดยังต้องโชคดีอีกด้วยถึงจะร่ำรวยอยู่ที่ทางใต้ได้ ดังนั้นหลายคนมักจะล้มเหลวกลางคัน ถูกหลอกเงินยังไม่เท่าไร แต่ถ้าหลอกคนคงลำบากอย่างแน่นอน
สุดท้ายตระกูลเซี่ยทั้งสี่ก็เดินตามสหายผู้หวังดีคนนี้ไป
สหายผู้หวังดีพาทั้งสี่คนไปยังที่พัก ก่อนจะไปปรึกษากับหัวหน้า
“ที่ยังสาวอยู่ก็ขายทิ้งเสีย อีกสองคนแยกกันส่งตัวไปทำงาน ส่วนยายแก่นั่นค่อนข้างยุ่งยาก พามันมาด้วยทำไม”
แก่แล้วขายก็ไม่ได้ราคา แถมยังมีโรคติดตัวอีก หากไม่ระวังแล้วตายขึ้นมาตำรวจคงมาตรวจสอบและสาวมาถึงตัวพวกเขาแน่นอน
ความจริงสหายผู้หวังดีคนนั้นไม่อยากพามาด้วย แต่อีกสามคนช่างมีความกตัญญูต่อยายแก่เหลือเกิน ตามติดยายแก่ไม่ห่างกาย
พวกต้มตุ๋นเหล่านี้ไม่รู้เลยว่าพวกหวังจินกุ้ยไม่ใช่คนกตัญญู แต่พวกเธอต้องเฝ้ากระเป๋าสตางค์ไว้ไม่ให้คลาดสายตา หากไม่มีแม่เฒ่าเซี่ย พวกเขาสามคนก็คงอดตาย
มีคนบอกว่าสามารถช่วยทำ ‘บัตรผ่านแดน’ ให้ได้ ตระกูลเซี่ยทั้งสี่คนจึงมอบจดหมายแนะนำตัวให้เขาอย่างง่ายดาย
หัวหน้ากลุ่มต้มตุ๋นหยิบจดหมายแนะนำตัวขึ้นมาอ่าน ก่อนจะมีสีหน้าบอกบุญไม่รับ
“คนอวี้หนาน แถมยังแซ่เซี่ย? ให้ตายสิ มีสองสิ่งที่ฉันเกลียดครบเลยนะ!”
“พี่หก มีอะไรหรือ”
เฉาลิ่วทำหน้าชั่วร้าย พอเห็นว่าเป็คนแซ่เซี่ยจากอวี้หนาน เขาก็อดคิดถึงคนแซ่เซี่ยอีกคนไม่ได้
ลูกพี่เคอเคยถูกผู้หญิงแซ่เซี่ยหักหน้ามาก่อน แต่เขากลับไม่ยอมตัดใจ จนป่านนี้แล้วยังไม่สามารถลืมเธอได้
“หยุดพูดมาก อะไรที่ไม่ควรถามก็อย่าถาม! รีบพาสี่คนนี้ไปให้คนอื่นซะ อย่าให้ลูกพี่รู้เด็ดขาด”
เคออีสฺยงเดินเข้าประตูมาพอดีจึงได้ยินประโยคนั้น “ลิ่วจื่อ แกไม่อยากให้ฉันรู้เื่อะไรรึ”