ในความทรงจำชาติที่แล้วของเคอต้ายา ลูกพี่ลูกน้องผู้นี้มีนิสัยใจคอโเี้เต็มทั้งร้อยส่วน
มักอาศัยอิทธิพลของบิดาและสามีกลั่นแกล้งรังแกนางอยู่ไม่น้อย
เคอโยวหรานไม่คุ้นชินกับสถานที่ ทั้งยังมีอาการาเ็ติดตัว หากเผชิญหน้ากับคนผู้นี้ เห็นได้ชัดว่าตนเป็ฝ่ายเสียเปรียบ จึงเอ่ยด้วยความหลักแหลมว่า
“ท่านย่าสั่งให้ข้าเข้าเมืองมาหาท่านอารองเพื่อขอเงินกลับไป ต้นฤดูใบไม้ผลินางอยากจะนำลูกหมูสองตัวมาเลี้ยงเ้าค่ะ
ทว่าผู้ใดจะรู้ ภายในเมืองกว้างขวางเกินไป ข้าจึงหลงทางเสียแล้ว ยามนี้ได้พบกับพี่หญิงช่างถือเป็เื่ดียิ่งนัก ขอเงินจากท่านก็ไม่ต่างกันเ้าค่ะ”
เคอเสี่ยวหรูจดจ้องเคอโยวหรานด้วยสายตาดุดัน นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางเอ่ย
“ข้าออกเรือนแล้ว เื่ของท่านย่าไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้า และเ้าก็ไม่ต้องไปหาท่านพ่อของข้าด้วยเช่นกัน เขาไม่มีเวลามาสนใจเ้าหรอก
ยังไม่รีบไสหัวกลับซอกเขาของเ้าไปเสีย อย่าได้มาเดินเตร่อยู่ในตัวเมือง เห็นท่าทีไส้แห้งเช่นนี้ของเ้า ช่างน่าอับอายนัก!”
เคอโยวหรานลูบจมูก นางเองก็มิได้แก้ต่างให้มากความ เพียงหลีกทางให้เคอเสี่ยวหรู ฉวยโอกาสนี้เดินหายไปอย่างไร้ร่องรอยในฝูงชน
เคอเสี่ยวหรู “?”
“ไม่ถูกต้อง! เมื่อวานคือวันที่ท่านย่าวางแผนเปลี่ยนตัวเ้าสาวเป็เคอต้ายา เหตุใดวันนี้ท่านย่าถึงยังให้นางมาหาท่านพ่อเพื่อขอเงิน?
ข้าหลงกลเสียแล้ว นังตัวดีเคอต้ายา นึกไม่ถึงว่าจะกล้าหลอกข้า”
เคอเสี่ยวหรูกัดฟันกรอดก่อนออกคำสั่งเสียงเหี้ยม “ชุ่ยเอ๋อร์ เ้าไปหาพวกอันธพาลมากลุ่มหนึ่ง ตามคนเมื่อครู่ไป คิดอยากจะเคี่ยวกรำเช่นไรก็ย่อมได้ หากเล่นสนุกจนนางตายก็แค่โยนทิ้งไว้ในเนินป่าช้าเป็พอ”
“เ้าค่ะ บ่าวรับคำสั่งเ้าค่ะ” หญิงรับใช้ชุดเขียวข้างกายนางย่อกายทำความเคารพ มุมปากยกยิ้มชั่วร้ายและถอยออกไปเพื่อทำตามคำสั่ง
รอจนกระทั่งเคอเสี่ยวหรูพาคนจากไป เคอโยวหรานพลันเดินออกมาจากมุมมืด นางหรี่ดวงตาลงพลางเอ่ยกับตนเองว่า
“ช่างประเสริฐนักเคอเสี่ยวหรู ข้ามิได้ทำอันใดเ้า เ้ากลับคิดจะสังหารข้าให้ตายเชียวหรือ? ความแค้นครั้งนี้ข้าจดจำเอาไว้แล้ว!”
กล่าวจบก็เหลือบมองท้องฟ้า เวลาล่วงเลยไปมากแล้ว นางจึงหลบเลี่ยงหญิงรับใช้ชุดเขียวผู้นั้นและรีบเดินทางออกจากเมือง
...
เที่ยงวัน หมู่บ้านเถาหยวน จวนสกุลต้วน
หมอเทวะกับเซียนพิษอยู่ในห้องทานอาหารของจวนสกุลต้วน กำลังเขี่ยกับข้าวบนโต๊ะพลางเผยสีหน้าหยามเหยียด
หมอเทวะพลันโยนตะเกียบในมือลง ลูบหนวดเขี้ยวและเอ่ยกับหยวนซื่อที่กำลังจัดวางสำรับว่า
“เ้าลองชิมอาหารของตนเองดูเถิดว่ากินได้หรือไม่?”
เซียนพิษยืนขึ้นทันใด ไม่แม้แต่จะมองเนื้อตุ๋นบนโต๊ะก็ลูบเคราแพะพร้อมกับเดินออกไปด้านนอก เอ่ยว่า
“ตาหมอเฒ่า เ้าจะถามนางด้วยเหตุใด กระทั่งนางยังไม่กินจึงได้นำมาให้พวกเราสองคน ด้วย้าหยามเหยียดว่าพวกเราฟันไม่ดีอย่างไรเล่า”
หมอเทวะสะบัดชายเสื้อเพื่อลุกขึ้นเช่นกัน เขาเอ่ยพลางเดินไปทางประตูโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับ “ทันทีที่แม่นางน้อยได้เข้าเมืองก็หลงลืมตาเฒ่าทั้งสองเช่นพวกเราเสียแล้ว อย่างน้อยก่อนไปก็น่าจะทำข้าวปลาอาหารเอาไว้สักหน่อย เ้าเด็กไร้มโนธรรมเอ๋ย”
เซียนพิษเองก็เอ่ยด้วยความขุ่นเคือง “ใช่แล้ว ทิ้งวัตถุดิบเอาไว้จะไปมีประโยชน์อันใด? ปล่อยให้ผู้อื่นทำอาหารเช่นนี้ เรียกได้ว่าสิ้นเปลืองโดยแท้”
หากเคอโยวหรานอยู่ที่นี่จะต้องจิ๊ปากอุทานเป็แน่ นึกไม่ถึงว่าวันนี้ผู้เฒ่าทั้งสองจะไม่วิวาทกันและมีความเห็นตรงกันอย่างน่าประหลาด กล่าวได้ว่าราวกับเห็นภาพมายาก็มิปาน
หยวนซื่อยืนกำหมัดแน่นอยู่ข้างโต๊ะอาหาร กระทั่งเล็บยังจิกลงในเนื้อ
ตลอดการร่อนเร่พเนจรกว่าสองปี ภายในจวนมีเพียงใบชาหยาบอาหารรสจืด เช้าวันนี้ตอนเคอโยวหรานออกไปข้างนอกได้เหลือเนื้อหมูสามชั้นสองจินไว้ในห้องครัว
นางมิอาจหักใจเอาให้แม่สามีกับสามีกิน จึงนำเนื้อทั้งหมดมาทำอาหารเพื่อแสดงความกตัญญูต่อท่านปรมาจารย์ทั้งสอง กลับไม่คาดคิดว่าจะถูกรังเกียจเช่นนี้
มารดาสกุลต้วนมองปรมาจารย์ทั้งสองที่โมโหจนจากไป ชั่วขณะนั้นถึงขั้นไม่รู้จะทำอย่างไร พิษของบุตรชายทั้งสองยังต้องขจัดอีกหนึ่งวันจึงจะหมดสิ้น
แม้เส้นลมปราณของซานหลางจะถูกเปิดแล้ว แต่หาก้าฝึกวรยุทธ์ต่อ ยังต้องปรับสมดุลอีกหนึ่งวันเพื่อที่เขาจะได้ควบคุมกำลังภายในให้เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
หากท่านปรมาจารย์ทั้งสองทิ้งภาระแล้วจากไปเพราะอาหารกลางวันมื้อนี้ เช่นนั้นนางจะไปร้องไห้กับผู้ใดได้?
ครั้นนึกถึงเื่นี้ นางก็หันไปมองตำหนิหยวนซื่ออย่างมิอาจอดทน เพราะเดิมทีนางบอกให้ไป๋ซื่อเป็คนจัดเตรียมอาหารกลางวันของวันนี้
ทว่าหยวนซื่อกลับบีบบังคับไป๋ซื่อจนสำเร็จ กล่าวว่านางทำอาหารอร่อยกว่าเคอโยวหราน จริงๆ เดิมทีวันนี้นางก็ควรจะเป็คนที่ได้เข้าครัว แต่ไป๋ซื่อกลับโผล่หน้ามาแย่งชิงโอกาสแสดงความสามารถต่อหน้าท่านปรมาจารย์ทั้งสองของนางไปอีกคน
ยามนี้ประเสริฐนัก ท่านปรมาจารย์ทั้งสองไม่ชอบอาหารที่หยวนซื่อทำ ไม่รู้ว่ารอจนกระทั่งโยวหรานกลับมายังจะรั้งท่านผู้เฒ่าทั้งสองเอาไว้ได้หรือไม่
ขณะกำลังคิดเช่นนั้น พลันได้ยินเสียงร้องด้วยความประหลาดใจของหมอเทวะที่อยู่นอกห้องอาหาร “ปรากฏตัวแล้ว...”
“ไป” เซียนพิษชิงหายลับไม่เห็นเงา จากไปก่อน
รอจนกระทั่งมารดาสกุลต้วนวิ่งออกมา มีหรือจะยังได้เห็นร่างเงาของท่านปรมาจารย์ทั้งสอง
ครั้นเงยหน้าขึ้นก็พบเพียงเงาเลือนรางสีขาวเงินบนขอบฟ้า ทันทีที่กะพริบตาพลันเลือนหาย ทุกสิ่งกลับคืนสู่ความปกติ
ราวกับภาพที่เห็นเป็เพียงการจินตนาการไปเองของนาง
มารดาสกุลต้วนคิดใคร่ครวญ เป็ไปได้หรือไม่ว่าท่านปรมาจารย์ทั้งสองมายังเขาต้าชิงแห่งนี้เพื่อตามหาบางสิ่ง?
คือสิ่งใดกัน จำเป็ต้องให้ผู้เฒ่าทั้งสองเดินทางมาด้วยตนเองเชียวหรือ?
เมื่อครู่ท่านหมอเทวะกล่าวว่าสิ่งใดปรากฏตัวแล้วกัน?
มารดาสกุลต้วนคิดไม่ตก และมิได้แตะต้องอาหารกลางวันด้วยเช่นกัน เพียงเดินเข้าไปในห้องนอนของตนด้วยความสับสนมึนงง
ท่านปรมาจารย์ทั้งสองกับมารดาสกุลต้วนล้วนแต่ไม่ทานอาหาร นอกจากนี้ปรมาจารย์ทั้งสองยังจากไปด้วยความขุ่นเคือง
ชั่วขณะนั้นจวนสกุลต้วนพลันเข้าสู่ความเงียบงัน
ครั้นเคอต้าส่าได้สติก็ร้องโวยวายจะกินข้าว ถงซื่อต้องเอ่ยปลอบโยนเสียงละมุนอยู่นานกว่าเขาจะสงบลง
ต้วนเหลยถิงได้ยินเสียงจึงสวมรองเท้าเข้าไปในห้องครัว อุ่นหมั่นโถวนุ่มทำจากแป้งข้าวโพดซึ่งเหลือจากมื้อเช้าแล้วเดินไปส่งให้ที่ห้องทิศตะวันตก
เมื่อถงซื่อเห็นบุตรเขยที่ขาหัก ทันใดนั้นนางถึงกับเอ่ยคำใดไม่ออก
มีเพียงเคอโยวเยวี่ยซึ่งมีอายุน้อยที่สุดเป็ผู้เปิดปากถามด้วยความใคร่รู้ “ท่านคือพี่เขยของข้าใช่หรือไม่เ้าคะ? คนในหมู่บ้านต่างบอกว่าท่านขาหัก เป็คนพิการมิใช่หรือเ้าคะ?”
“ซานยา...” ถงซื่อตำหนิ
นางรีบดึงซานยาเข้าสู่อ้อมแขนแล้วกล่าวขออภัยว่า “ซานหลางอย่าได้ถือสา เด็กพูดไปโดยมิได้มีเจตนา...”
ครั้นเห็นท่าทีสำรวมตนของถงซื่อ ต้วนเหลยถิงก็เอ่ยขัดขึ้นว่า “ท่านแม่ไม่ต้องอธิบายอันใดขอรับ ซานยาตรงไปตรงมา นางเป็เด็กดีที่ห่วงใยพี่สาว หมั่นโถวนุ่มเหล่านี้ข้านำมาให้พวกท่านรองท้องก่อนขอรับ”
เบ้าตาของถงซื่อเปียกชื้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางต้องพบเจอกับสายตาหยามเหยียดตั้งไม่รู้เท่าใด ถูกคนสกุลเคอรังแกจนมิอาจแม้แต่จะเงยหน้า
นอกจากบุตรสาวของตน นี่นับเป็ครั้งแรกที่นางได้รับความห่วงใยจากผู้อื่น ชั่วขณะนั้นถงซื่อมีหลากความรู้สึกผสมปนเป นางพึมพำเสียงอ่อนถามว่า “ซานหลาง ขาของเ้าเป็อย่างไรบ้าง?”
ต้วนเหลยถิงไม่ปิดบัง เอ่ยด้วยความยินดีว่า “โชคดีที่โยวหรานเชิญท่านหมอเทวะมารักษา วันนี้เพิ่งฝังเข็มเสร็จ ยังเดินได้ไม่สะดวกนัก จำต้องนอนพักอีกหนึ่งวัน วันพรุ่งก็จะเดินเหินได้ตามใจแล้วขอรับ”
ถงซื่อหลั่งน้ำตาแห่งความปีติพลางเอ่ย “เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดีแล้ว ในเมื่อเป็เยี่ยงนี้เ้าก็รีบกลับไปนอนพักเถิด การรักษาสุขภาพให้ดีย่อมเป็เื่สำคัญที่สุด”
ต้วนเหลยถิงขานรับและวางหมั่นโถวเอาไว้ จากนั้นหันกายเดินออกจากห้องเพื่อกลับไปนอนพักผ่อนที่เรือนตน
......
หมอเทวะกับเซียนพิษไล่ตามแสงสีขาวที่ส่องผ่านูเาต้าชิงไปอย่างกระชั้นชิด ยิ่งไล่ตามยิ่งห่าง ยิ่งเข้าไปยิ่งลึก
ร่องรอยของแสงสีขาวค่อยๆ เลือนหายไป เหลือไว้เพียงกลิ่นอายบางเบา
หมอเทวะเอ่ยด้วยความร้อนรนใจ “ไล่ตามมาค่อนปีแล้ว เหตุใดจึงวิ่งเร็วขนาดนี้ ตามหาพวกมันจนแทบจะพลิกทั้งแผ่นดินแคว้นฉีฉู่แล้ว มิใช่เื่ง่ายกว่าจะพบว่าที่อยู่อาศัยของพวกมันคือบริเวณใกล้เคียงูเาต้าชิง แต่เหตุใดกลับหาไม่พบเล่า?”
เซียนพิษเอ่ยด้วยความขุ่นเคือง “ล้วนเป็เพราะตาหมอเฒ่าเช่นเ้า ชักช้าถึงเพียงนั้น เห็นทีว่าครานี้ก็คงไล่ตามไม่ทันอีกแล้วกระมัง”
หมอเทวะพลันไม่พอใจ ดวงตาเรียวเล็กถลึงมองอีกฝ่ายพลางเอ่ย “เหตุใดมาโทษข้าเล่า? มิใช่เพราะเ้านำทางผิดหรอกหรือ? เ้าดู กลิ่นอายห่างออกไปเรื่อยๆ แล้ว ยังกล้าบอกว่าจมูกของเ้าประสาทััไวที่สุด”
เซียนพิษถึงกับพองขนในทันใด “นี่ ข้าว่านะตาหมอเฒ่า หากเ้าจมูกดีนัก ไยไม่นำทางเสียเล่า? จะไล่ตามข้ามาด้วยเหตุใด?”
เ้าพูดหนึ่งประโยค ข้าก็เถียงหนึ่งประโยค คนทั้งสองทะเลาะกันจนเริ่มลงไม้ลงมืออีกครั้ง ฉับพลันนั้นก้อนหินดินทรายภายในป่าก็ลอยคลุ้ง ทำเอาสัตว์ป่าจำนวนนับไม่ถ้วนพากันแตกตื่น
ทั้งสองยิ่งต่อยตียิ่งหลงลืมตน เป็เช่นนี้ตลอดทางที่มุ่งหน้าเข้าไปยังส่วนลึกของป่า
......
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้