ในที่สุดทั้งสามคนก็เดินมาถึงใต้ต้นไม้เก่าแก่ต้นหนึ่งที่เต็มไปด้วยด้ายสีแดง ด้านข้างมีพระภิกษุจำนวนหนึ่ง แต่ละรูปก็ตั้งแผงของตนเองให้คำทำนายเื่เนื้อคู่ให้แก่ประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะ
ในหัวใจของจวินหวงในตอนนี้มีแต่เื่แก้แค้นให้กับแผ่นดินและครอบครัว ไม่มีจิตใจจะมาคิดถึงเื่ความรักใดๆ ทั้งสิ้น นางเดินตรงไปที่หน้าโต๊ะพระภิกษุชราเพื่ออธิษฐานขอพร นางประนมมือขึ้นด้วยศรัทธาแรงกล้า ค่อยๆ หลับตาลง สายลมอ่อนๆ พัดมากระทบใบหน้า เรือนผมที่ปรกลงมาที่ไหล่สยายลอยขึ้นไปคลอเคลียกับปุยขาวของเมล็ดหลิวที่ปลิวอยู่ในอากาศ
พระภิกษุชราประนมมือรับไหว้ เชิญให้จวินหวงนั่งลง "คุณชายมาขอพรให้กับผู้ใด?"
"น้องชายที่พลัดพรากและมิตรสหายขอรับ" จวินหวงตอบเรียบๆ คนที่ในใจนางรำลึกถึงไม่เคยลืมเลือนก็คือน้องชายแท้ๆ ที่แยกจากกันไปนานแล้วและฉีอวิ๋น
พระภิกษุพยักหน้า แล้วหยิบผ้ายันต์คุ้มภัยจากด้านข้างออกมาแล้วส่งให้จวินหวง "นี่คือผ้ายันต์คุ้มภัย จะคุ้มครองให้มีความสงบสุขชั่วชีวิต"
จวินหวงพยักหน้า รับผ้ายันต์คุ้มภัยรูปสามเหลี่ยมสีแดงมา แล้วก็หยิบเศษเงินจำนวนหนึ่งหยอดลงในกล่องบริจาคการกุศลที่ตั้งอยู่ด้านข้าง แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นจากไป หนานจี๋หานที่ตามอยู่ข้างกายมาโดยตลอดรีบเดินตามมา แล้วถามด้วยความอยากรู้ "คุณชายมีน้องชายด้วยหรือ? ทำไมเปิ่นหวางไม่เคยได้ยินมาก่อน?"
สำหรับจวินหวงแล้ว นางไม่อยากคุยอะไรไปมากกว่านี้ เพราะนี่คือแผลในใจของนาง นางหลุบสายตาลง เดินไปอีกด้านหนึ่งโดยไม่พูดอะไรออกมาเลย
หนานสวินไม่ได้ตามจวินหวงเข้าไป แต่กลับไปยังสถานที่ที่ทำนายเื่เนื้อคู่ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่ง พระภิกษุหรี่ตาลงมองพิจารณาหนานสวินั้แ่หัวจรดเท้า ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยปากถามขึ้น "คุณชาย้าสิ่งใด?"
"ย่อมมุ่งหมายถึงเนื้อคู่"
"เนื้อคู่ของคุณชายก็อยู่ข้างกาย ไยต้องมาตามหาอีกเล่า? ผู้มีบุพเพวาสนาอยู่ไกลสุดปลายฟ้า อยู่ใกล้แค่สายตา" พระภิกษุยิ้มอ่อนโยนเปี่ยมไปด้วยความเมตตา
หนานสวินฟังแล้วก็คิ้วขมวด ในเวลานี้เองก็มีลมพัดมาระลอกหนึ่ง พัดพาเอาด้ายสีแดงขึ้นไปบนต้นไม้ หนานสวินมองตามไปอย่างใจลอย แล้วคนที่มายืนอยู่ตรงข้ามเขาก็คือจวินหวง เห็นเพียงจวินหวงยืนอยู่ที่นั่น ด้านหลังตามมาด้วยหนานจี๋หานที่พูดคุยอยู่ตลอดเวลา
หนานจี๋หานสังเกตเห็นป้ายบนโต๊ะด้านหน้าของภิกษุที่ยืนอยู่ข้างกายหนานสวิน ก็เกิดความสนใจ รีบวิ่งตรงเข้าไปทันที เขาบุ้ยหน้าให้หนานสวินหลบทางให้ตน จากนั้นก็ยิ้มให้ภิกษุรูปนั้นแล้วกล่าวว่า
"ท่านเ้าอาวาสช่วยทำนายเื่เนื้อคู่ให้ผู้น้อยด้วยได้หรือไม่?"
พระภิกษุค่อยๆ หลับตาลง ยามที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ในดวงตายังคงสงบนิ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงประนมมือขึ้นแล้วกล่าวว่า
"ผู้ที่ประสกหมายมาดมิใช่เนื้อคู่ ผู้ที่เป็เนื้อคู่จะมาโดยมิได้คาดหมาย"
คำกล่าวนี้ชวนให้คนรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก แม้แต่หนานจี๋หานเองก็ยังฟังไม่เข้าใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนนอก ในที่สุดเขาก็ได้แต่เบ้ปาก แล้วพึมพำเบาๆ "ใครจะสนว่าเป็เนื้อคู่หรือไม่ ในใจข้ายินดีเป็พอ"
คนอีกสองคนที่เหลือต่างก็ไม่ได้ยิน แต่ภิกษุที่ยืนอยู่ด้านหน้าของหนานจี๋หานกลับได้ยิน ท่านเพียงแค่ส่ายหน้าแล้วถอนใจปลงสังเวช ท่องอมิตตาพุทธออกมา
จวินหวงหัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหน้า พลางคิดในใจ 'พวกเขาสองคนมาวัดเพื่อมาขอคำทำนายเื่เนื้อคู่หรือนี่ ไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาก็ทำเื่ไร้สาระเป็เหมือนกัน'
ในขณะที่เงยหน้าขึ้นมาสายตาก็ถูกดึงดูดเข้าไปในดวงตาสีเข้มของหนานสวิน นางไม่เคยรู้เลยว่าดวงตาของหนานสวินจะงดงามเช่นนี้
ในหัวใจของหนานสวินเกิดความคิดหลากหลาย คำพูดของพระภิกษุเมื่อครู่นี้ยังวนเวียนอยู่ในสมองของเขาไม่ไปไหน คิดอยู่ในใจว่า
'หรือว่าจวินหวงจะเป็คู่บุพเพวาสนาของข้า?'
แต่ในใจของเขากลับมีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
'ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ ข้าก็รู้สึกว่าใช่"
สายตาของหนานสวินรุ่มร้อนเกินไปจริงๆ จวินหวงไอเบาๆ แล้วหลบเลี่ยงสายตาไปทางอื่น "นี่ก็เย็นแล้ว ไหนๆ พวกเรามาถึงที่นี่ ก็ลองกินเจตามธรรมเนียมปฏิบัติของที่นี่กันเถอะ" พูดจบก็หมุนกายเดินไปยังสถานที่ที่ไม่ไกลนัก หนานสวินกับหนานจี๋หานได้แต่ตามไปเงียบๆ
หลังจากรับประทานอาหารเจเสร็จ ฟ้าก็มืดแล้ว เพียงแต่วันนี้มีงานวัด ตอนนี้จึงเป็่เวลาที่คึกคักที่สุด แต่จวินหวงไม่ชอบความคึกคักแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร จึงมุ่นคิ้วพูดกับหนานสวินและหนานจี๋หาน "ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว ผู้น้อยขอตัวกลับก่อน ไม่อยู่ต่อเป็เพื่อนพวกท่านแล้ว"
"เปิ่นหวางก็เบื่อแล้ว เดี๋ยวเปิ่นหวางจะส่งเ้ากลับเอง" หนานจี๋หานรีบพูด คราวนี้จวินหวงย่อมไม่บ่ายเบี่ยง พยักหน้ารับ หลังจากกล่าวอำลาหนานสวินแล้วก็ตามหนานจี๋หานไป
เมื่อกลับไปจึงจวนอ๋อง หนานจี๋หานยังคิดจะตามเข้าไปหาหนานกู่เยว่เพื่อบอกนางว่าตนเองจะต้องกลับหนานมู่แล้ว แต่ใครจะรู้ว่าองครักษ์เงาของเขามาดักรอเขาอยู่ที่นี่นานแล้ว และแจ้งว่าทางหนานมู่ส่งข่าวมา หนานจี๋หานไม่มีทางเลือกจึงต้องเดินทางกลับไปก่อน
หลังส่งหนานจี๋หานกลับไปด้วยสายตา จวินหวงถึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดในใจถึงสับสนวุ่นวายโดยไม่มีสาเหตุ ตอนที่อยู่ในงานวัดที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนและความเจริญ นางไม่ทันสังเกต ตอนนี้พอมองไปยังถนนที่อยู่อยู่ไกลๆ กลับรู้สึกได้ถึงความอึกทึกครึกโครมนั้นอย่างชัดเจน
วันนี้นางกับหนานสวินเดินเที่ยวชมสถานที่ที่มีทิวทัศน์งดงามหลายแห่ง ทั้งสองคนมีเื่คุยกันเยอะมากราวกับคุยกันได้ไม่จบไม่สิ้น จนลืมทิ้งหนานจี๋หานไว้ด้านข้าง ความจริงนางก็จงใจทำเช่นนี้ เพราะสายตาของหนานจี๋หานที่มองนางทำให้นางรู้สึกอึดอัดจริงๆ คิดว่าหลังจากที่ถูกนางกระทำเ็าใส่แบบนี้ หนานจี๋หานก็คงจะถอดใจแล้ว
เมื่อหวนนึกถึงสายตาของหนานสวินเมื่อกลางวัน แววตาที่คลุมเครือคาดเดาไม่ออกแบบนั้นกลับทำให้หัวใจของนางเต้นแรง นางจำไม่ได้ว่าตนเองไม่มีความรู้สึกในแบบหญิงสาวเช่นนี้มานานแค่ไหนแล้ว ครั้งนี้เมื่อได้ััก็รู้สึกหวานล้ำในหัวใจ ไม่ถึงขนาดทำให้นางรู้สึกรังเกียจตนเอง
เมื่อเข้ามาในจวนเฉินอ๋อง เดินผ่านระเบียงทางเดินที่คดเคี้ยว ก็เห็นฉีเฉินกับหนานกู่เยว่กำลังหัวร่อต่อกระซิกกันอยู่ข้างสระบัว ฉีเฉินกำลังสอนหนานกู่เยว่ดีดพิณ เขานั่งซ้อนอยู่ด้านหลังของหนานกู่เยว่ ส่วนนางก็เอียงหน้าหันไปมองฉีเฉิน
แต่อีกด้านหนึ่ง เว่ยหลานอิ๋งซึ่งถือขนมกล่องหนึ่งอยู่ในมือ ยืนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันมองดูคู่ชายหล่อหญิงงามที่นั่งอยู่ในศาลาด้วยสายตาอึมครึมเย็นเยียบน่ากลัว ราวกับจะสับร่างหนานกู่เยว่ให้ละเอียดเป็หมื่นชิ้นให้ได้
แต่นางถือสิทธิ์อันใดมาทำท่าทางไม่พอใจเช่นนั้น? นางเป็เพียงแค่ชายารอง ไม่อาจเสนอหน้ามาปรากฏตัวต่อหน้าหนานกู่เยว่ได้ด้วยซ้ำ
จวินหวงคิดมาตลอดว่า ถึงแม้หนานกู่เยว่จะดื้อรั้นเอาแต่ใจอยู่บ้าง แต่นางมีจิตใจดีงาม ไม่ทำร้ายคน แต่เว่ยหลานอิ๋งไม่ใช่ นางเป็สตรีที่เต็มไปด้วยเหลี่ยมเล่ห์เพทุบาย จิตใจของนางก็น่าเกลียดเหมือนกับที่นางแสดงออกทางสีหน้า มองแล้วรู้สึกว่าน่ากลัว นางชอบไม่ลงจริงๆ
คิดว่าฉีเฉินก็คงคิดแบบนี้เหมือนกันกระมัง ตอนแรกที่เว่ยหลานอิ๋งเข้ามาในจวนใหม่ๆ เอาอกเอาใจสารพัด แต่มาตอนนี้ล่ะ? แม้แต่หน้าของเว่ยหลานอิ๋งเขายังไม่อยากชายตามองสักนิด
คนที่น่าเวทนามักจะมาจากสถานที่ที่น่าชังเป็ธรรมดาเช่นนี้เอง
จวินหวงไม่รีบร้อนเข้าไป เพียงแค่ยืนมองห่างๆ หัวเราะเยาะหยันในใจ เว่ยหลานอิ๋งเป็สตรีที่เย่อหยิ่งยะโสโอหัง สูญเสียบุรุษไปก็เพียงเพราะเหตุนี้ น่าสังเวชจริงๆ
ในระหว่างที่จวินหวงดำดิ่งอยู่ในห้วงอารมณ์อันหลากหลาย เว่ยหลานอิ๋งก็หันมาแล้ว ปิ่นระย้าที่ปักอยู่บนมวยผมของนางไหวริกๆ ลูกปัดและอัญมณีสะท้อนแสงวิบวับภายใต้แสงเทียนราวกับจะแข่งความงามกับดวงดาราบนท้องฟ้า
นางหันมาเห็นจวินหวงใช้สายตาเยือกเย็นมองนางอยู่ สีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึกใดๆ ยิ่งเป็การกระตุ้นให้ไฟโทสะของเว่ยหลานอิ๋งลุกโชน เหมารวมเอาทุกสิ่งทุกอย่างโทษว่าเป็ความผิดของจวินหวง
'หากไม่ใช่เฟิงไป๋อวี้ ฉีเฉินจะแต่งหนานกู่เยว่เข้ามาได้อย่างไร?'
'เว่ยหลานอิ๋งก็เป็เพียงแค่คนที่ถูกความหลงครอบงำจนเลอะเลือนคนหนึ่งเท่านั้น' จวินหวงคิดอยู่ในใจเงียบๆ เช่นนี้ เว่ยหลานอิ๋งค่อยๆ เดินมาที่จวินหวง ในที่สุดก็หยุดยืนอยู่ห่างจากนางเพียงหนึ่งก้าว และจ้องมองนางด้วยสายตารุนแรง
"ผู้น้อยคารวะฟูเหริน" จวินหวงยังคงมีสีหน้าเ็าเหมือนเดิม น้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับฟังไม่ออกว่ามีความเคารพยำเกรง
เว่ยหลานอิ๋งไม่พูดไม่จาก็สะบัดฝ่ามือตบหน้าจวินหวงทันที ตบฉาดนี้จวินหวงไม่ได้คาดคิดมาก่อน นางไม่คิดว่าเว่ยหลานอิ๋งจะกล้าตบตนเองต่อหน้าฉีเฉิน
ตบนี้ทำให้คนสองคนที่กำลังดีดพิณใอย่างไม่ต้องสงสัย ฉีเฉินลุกพรวดขึ้นมาทันที แล้วมองมาทางนี้ ท่ามกลางแสงเทีบนริบหรี่ใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลาของจวินหวงมีรอยมือประทับ หัวคิ้วของเขาขมวดเข้าทันที
ฉีเฉินเองก็ไม่รู้ว่าตนเองจะให้ความสำคัญกับจวินหวงมากขนาดนี้ เขาเดินตรงมาทางนี้ หนานกู่เยว่ก็หน้ามุ่ยเดินตามมา ยังไม่เข้าใจนักว่าเกิดอะไรขึ้น
"เว่ยหลานอิ๋ง นี่มันเกิดอะไรขึ้น?" ฉีเฉินเอ่ยปากถามอย่างเ็า
เว่ยหลานอิ๋งได้สติกลับมาทันที มือของตนเองยังเจ็บแปลบๆ นางยังไม่มีทีท่าตอบสนองอันใด มองไปที่จวินหวง จวินหวงเบนหน้าหันไปมองดอกบัวในสระ ไม่เห็นความสุขบนสีหน้า
เมื่อครู่นางถูกความเกลียดชังบังตาทำให้ขาดความยั้งคิด มาตอนนี้ก็เริ่มนึกเสียใจในสิ่งที่กระทำลงไป ยิ่งเจอกับคำถามของฉีเฉินก็ยิ่งพูดอะไรไม่ออก ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ค่อยๆ เดินเข้าไปจับยึดแขนเสื้อของฉีเฉินไว้ อีกมือก็ยกกล่องขนมขึ้นมา แล้วกล่าวกับฉีเฉินว่า "ฝ่าพระบาท ขะ... ข้านำขนมมาให้ท่าน ไม่ได้..."
"ปัง"
กล่องขนมที่อยู่ในมือของเว่ยหลานอิ๋งก่อนหน้านี้ถูกฉีเฉินยกมือปัดคว่ำลงไปอยู่ที่พื้น ขนมที่อยู่ด้านในกลิ้งหล่นออกมากระจายเต็มพื้น
เว่ยหลานอิ๋งไม่คิดมาก่อนว่าฉีเฉินจะแล้งน้ำใจถึงเพียงนี้ เพียงเพื่อแขกผู้อาศัยธรรมดาๆ คนหนึ่งถึงกับเหยียบย่ำความรักความจริงใจของตนเอง นางจ้องขนมที่เกลื่อนกระจายอยู่บนพื้นอย่างตื่นตะลึงไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร
ผ่านไปชั่วครู่จึงเงยหน้าขึ้นมองฉีเฉิน แล้วถามด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น "ฝ่าพระบาทตอบแทนความรักความจริงใจของอิ๋งเอ๋อร์ด้วยการกระทำเช่นนี้หรือ?"
ฉีเฉินเดิมทีก็เป็คนเ็าไร้หัวใจอยู่แล้ว ความถ้อยทีถ้อยอาศัยที่เมื่อก่อนเคยมีให้ก็หายไปไม่เหลือร่องรอย ตอนนี้เขาเป็รัชทายาทที่เต็มไปด้วยเย่อหยิ่งไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา มีหรือจะมาใส่ใจความรู้สึกของเว่ยหลานอิ๋ง นางเป็เพียงอนุชายาคนหนึ่ง ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรควรค่าแก่การกล่าวถึงด้วยซ้ำ
อาจเป็เพราะท่าทีของฉีเฉินยั่วให้เว่ยหลานอิ๋งเกิดโทสะ นางพุ่งเข้าไปดึงสาบเสื้อด้านหลังของฉีเฉินอย่างบ้าคลั่ง ร้องห่มร้องไห้อย่างน่าเวทนา "ฉีเฉิน เ้าลืมไปแล้วหรือว่าใครช่วยให้เ้าได้ขึ้นครองตำแหน่งรัชทายาท? หากไม่ใช่ข้า เ้าก็เป็เพียงแค่หนึ่งในบรรดาองค์ชายที่ไม่มีความสำคัญ..."
คำกล่าวแบบนี้ยั่วยุโทสะคนอย่างแท้จริง ฉีเฉินไม่พูดมากดึงมือของเว่ยหลานอิ๋งออก แล้วออกแรงสลัดเว่ยหลานอิ๋งออกไปอย่างแรง เว่ยหลานอิ๋งเสียหลักพลัดตกลงไปในสระบัวที่อยู่ด้านข้าง น้ำในสระสาดกระเซ็นไปทั่วทุกบริเวณ
จวินหวงเองก็ไม่คาดคิดว่าสถานการณ์จะออกมาเป็รูปแบบนี้ หนานกู่เยว่สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง นิ่งงันอยู่กับที่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรไปชั่วขณะ
ความจริงแล้วน้ำในสระบัวไม่ลึก แต่เว่ยหลานอิ๋งไม่เคยตกลงไปนางจะรู้ได้อย่างไร ตกตูมลงไปอยู่นานก็ไม่ยอมลุกขึ้นมา สำลักน้ำเข้าไปในปากอยู่หลายอึกร้องะโให้คนช่วย จวินหวงทนเห็นไม่ได้จริงๆ จึงเดินเข้าไปแล้วเอื้อมมือไปหาหมายจะดึงเว่ยหลานอิ๋งให้ยืนขึ้น แต่เว่ยหลานอิ๋งกลับปัดมือทิ้งไม่ยอมรับน้ำใจ
ผ่านไปสักพักเว่ยหลานอิ๋งก็ลุกขึ้นมาเองในที่สุด ชุดกระโปรงสีสดใสเปียกโชก แนบติดกับเรือนร่างทำให้ดูอวบอ้วนเล็กน้อย เรือนผมสีดำของนางยุ่งเหยิงดูราวกับคนจนตรอก
นางยืนขึ้นให้พ้นจากน้ำ กัดฟันประคองตนเองอาศัยปีนป่ายก้อนหินที่อยู่ข้างสระขึ้นมา นางจ้องจวินหวงด้วยสายตาดุร้าย ก่อนจะไปยังตั้งใจเดินชนจวินหวงอย่างแรง จวินหวงเสียหลักเกือบจะล้มลงไป
