ชุดผ้าต่วนสีแดงสดรัดแน่นอยู่บนร่างของหลิวจื่อ
บนชุดยังมีลายดอกไม้ดอกใหญ่
วันนี้สีหน้าของหลิวจื่อแช่มชื่นกว่าใคร
บุตรสาวของนางได้เป็ฝั่งเป็ฝาเสียที ท่าทางของนางก็มีแววของสตรีที่ออกเรือนแล้ว
ทั้งยามที่สวมชุดแดงตลอดร่างเช่นนี้ ใครก็ย่อมต้องคิดว่านางเป็ฮูหยินของเรือนใหญ่อย่างแน่นอน
ย่อมไม่มีทางคิดว่านางเป็ฮูหยินของพ่อหม้าย
อีกทั้งนางยังไม่ใช่เพียงแค่ฮูหยินของพ่อหม้าย ยามที่พี่สาวป่วย นางก็เริ่มลอบมีสัมพันธ์กับพี่เขยแล้ว
นางทะเลาะแย่งชิงความเป็หนึ่งกับพี่สาวมาตลอด
กระทั่งเื่บุรุษ นางและพี่สาวก็ดันมาต้องตาคนเดียวกัน
หลัวไป่ซิ่น บุตรชายคนโตตระกูลหลัว
รูปลักษณ์งดงาม การศึกษาโดดเด่น ขี่ม้าทัดดอกไม้ รอยยิ้มอบอุ่นนุ่มนวล
แรกเห็นหลิวจื่อก็นึกรัก ยอมถวายตัวทั้งชีวิต
ร่างนั้นนั่งพิงเตียงอุ่น มองโต๊ะเล็กข้างเตียงที่มีกระถางดอกบัววางอยู่ กระถางใบใหญ่มีดอกบัวสีขาวลอยอยู่
ใต้ดอกบัวสีขาวยังมีปลาตัวน้อยแหวกว่าย
รูปลักษณ์ของพี่สาวก็แทบจะแข่งขันกับดอกบัวดอกนี้ได้
พี่สาวดูหมดจด ส่วนนางดูสะดุดตา
ยามออกจากเรือนไปเป็แขกที่ใด เหล่าผู้าุโก็มักจะพึงใจกับพี่สาวมากกว่า
ในตอนนั้นเพื่อจะยั่วโทสะพี่สาว นางจึงชอบอิงแอบใกล้ชิดกับพี่เขยอยู่บ่อยๆ บางครานางกับพี่เขยก็ร่วมกันชื่นชมดอกบัวที่พี่สาวชอบต่อหน้านาง
ผลลัพธ์คือพี่เขยกลับคิดว่านางชอบดอกบัวขึ้นมาจริงๆ
ไม่ว่าจะฤดูร้อนหรือฤดูใบไม้ผลิในเรือนก็จะต้องมีดอกบัว
เกรงแต่ว่ายังไม่ถึงฤดู ดอกบัวนี่ก็คงกลายเป็ดอกไม้แห้งเสียแล้ว
ยามมองแล้วช่างรู้สึกขัดหูขัดตานัก
เพียงแต่ทั้งที่มันขัดตานางถึงเพียงนี้ นางกลับไม่อาจกล่าวอะไร ได้แต่ยิ้มรับมันเท่านั้น
เมื่อเทียบกับเื่ในอดีตแล้ว เื่นี้ก็เป็เพียงแค่เื่เล็กๆ เท่านั้น
บัดนี้เื่ที่หลิวจื่อเป็ห่วงที่สุดคือเื่บุตรสาวของตน
บุตรสาวนางอยู่ในวัง ไม่รู้ว่าทุกวันนี้เป็อย่างไรบ้าง
ช่างน่าขันนักที่หลิวจื่อผู้งดงามบาดตา และบุรุษรูปงามอย่างหลัวไป่ซิ่นมีบุตรด้วยกัน แม้บุตรของพวกเขาจะหน้าตาพริ้มเพราเกินใคร แต่กลับเป็บุตรสาวของพี่สาวที่หน้าตาคล้ายกับนางเสียยิ่งกว่าบุตรของนางเอง
เมื่อคิดถึงนางเด็กนั่น แววตาของหลิวจื่อก็พลันปรากฏแววเกลียดชัง
นางเด็กนั่นโฉมงามเกินใคร ยามที่เด็กนั่นยังอยู่ก็แทบจะบดบังรัศมีของนางไปจนหมด ทั้งยังไม่ใช่เพียงแค่บดบังนาง ลูกๆ ของนางก็พลอยรับกรรมไปด้วย
คนในตระกูลหลัวไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ล้วนแต่สนใจนางหญิงชั่วคนนั้น
ทั้งยังกล้าตั้งนามของนางเด็กนั่นว่าชิงเฉิง งามล่มเมืองเสียยิ่งใหญ่
แดดยามบ่ายสาดลงบนใบหน้าของหลิวจื่อ ใบหน้าของหลิวจื่อยังมีแววหยอกเย้า ทั้งยังเอาแต่ใจ
ทว่ารอยยิ้มนั้น เมื่อได้ยินเสียงผลักประตูดังขึ้นก็พลันสำรวมอาการทันที
“ฮูหยิน ชิงเฉิงกลับมาแล้ว ชิงเฉิงกลับมาแล้วจริงๆ”
บุรุษคนหนึ่งผลักประตูเข้ามาอย่างรีบร้อน ถึงขั้นเพราะด้วยความเร่งรีบจึงทำให้เขาชนเข้ากับโต๊ะเล็กข้างเตียง จนกระถางบนโต๊ะที่มีดอกบัวอยู่สั่นโคลงไปมา
“เ้าว่าใครนะ” สีหน้าของหลิวจื่อเต็มไปด้วยความตื่นใ มิอาจเสแสร้งสำรวมอาการได้อีก โพล่งถามออกมาทันที
“ชิงเฉิง เซี่ยงเอ๋อร์เห็นกับตาตัวเอง จวนหลังที่เพิ่งมีคนย้ายเข้ามาใหม่ก็เป็ของนาง ที่จริงแล้วนางยังไม่ตายแต่กลายเป็เ้าของโรงทอผ้าไปแล้ว” ขณะพูดออกมาสีหน้าของหลัวไป่ซิ่นทั้งตื่นเต้นและปวดใจ
บุตรสาวที่เขาเฝ้าคิดถึงอยู่ทุกเช้าค่ำแท้จริงแล้วยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ปวดใจที่บุตรสาวของขุนนางใหญ่เช่นเขายามนี้ได้กลายเป็แม่ค้าไปแล้ว ทั้งยังต้องออกหน้าด้วยตัวเอง
อีกทั้งนางแม้จะกลับมาเมืองหลวงแล้วก็ยังไม่ยอมติดต่อเขา
หลิวจื่อที่ทำท่าทีใในคราแรกนั้น ยามนี้กลับเปลี่ยนเป็ทำท่าทางดีใจขึ้นมา
รีบแสดงความยินดีไปกับสามีของตนอย่างรวดเร็ว ดูแล้วช่างเปี่ยมไปด้วยความจริงใจและความห่วงใย
ในเวลาเดียวกันพระสนมหรงในวังหลวงก็ได้รับข่าวเื่นี้เช่นกัน
พี่สาวของนางยังมีชีวิตอยู่
แถมยังไม่ใช่เพียงแค่มีชีวิตอยู่ แต่ยังมีจวนเป็ของตัวเอง ทั้งยังกลายเป็คหบดีนางหนึ่งไปแล้ว
ส่วนนางกลับต้องติดแหง็กอยู่ในวังหลวงที่แสนจะหนาวเหน็บ แม้ทุกวันจะมีอาหารสามมื้อให้กิน แต่หากเพิ่มผักสักจานก็ต้องเกรงว่าเนื้อจะหายไปสักก้อนอยู่ร่ำไป
นางที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหาร เมื่อรู้ข่าวนี้ก็พลันยกมือขึ้นปัดชามและตะเกียบบนโต๊ะให้พ้นหูพ้นตา ก่อนจะตะเบ็งเสียงหัวเราะ เมื่อหัวเราะไปสักพัก ดวงตาของนางก็เปลี่ยนเป็แดงก่ำ
……
เฉินโย่วที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะ เริ่มลงมือกินข้าวอย่างเรียบร้อย
ในระหว่างนั้นก็ทำทีประจบประแจง คีบเนื้อใส่ชามให้น้าหลัวของนางเสียหลายครั้ง
“น้าหลัวต้องกินเยอะๆ ท่านลุงสามชอบแม่นางเนื้อเยอะๆ” เมื่อเฉินโย่วพูดจบก็พลันถูกตะเกียบเคาะหัวทันที
นายท่านสามก็ไอย่างเอาเป็เอาตายจนทั้งหน้าทั้งหูแดงไปหมด
“ข้าว่าคนที่ควรจะกินเยอะๆ ควรจะเป็เฉินโย่ว…ส่วนอู๋เลี่ยงไม่ว่าจะอ้วนหรือผอมก็ล้วนงดงาม”
อาลู่รู้ความดี แม้ได้ยินแล้วก็ไม่คิดจะเข้าไปพัวพันในาครั้งนี้ เขายังคงก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างเคร่งขรึม
ทว่าเ้าเด็กอ้วนกลับไม่สนใจอะไร ยกมือขึ้นกล่าว “กินจนอ้วนนั้นไม่ดี ท่านแม่ชอบบอกว่าท่านพ่อของข้าอ้วนเกินไปจนแทบจะเดินไม่ไหวอยู่แล้ว”
ขุนนางชราที่ไม่ยอมร่วมโต๊ะกินข้าวกับคนอื่นๆ ยืนอยู่ด้านข้างพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ท่านพ่อของเ้าอ้วนเพียงใด” เฉินโย่วถามขึ้นด้วยความสงสัย
เด็กชายที่กำลังกินข้าวคำโต มุมปากยังมีเม็ดข้าวติดอยู่ ค่อยๆ ยกมือขึ้นแสดงท่าทางให้ดู
มือทั้งสองกางออกกว้างขึ้น...กว้างขึ้น
“ท่านพ่อของข้าน่าจะตัวใหญ่เท่ากับข้าสี่คนรวมกัน”
เฉินโย่วรู้สึกทึ่งนัก บนโลกนี้มีคนตัวใหญ่ถึงเพียงนี้ด้วยหรือ
กระทั่งเสี่ยวอู่ก็ยังนึกสงสัย จึงได้ถามขึ้นอย่างอยากรู้ “ท่านพ่อของเ้าปกติแล้วไม่ค่อยเดินหรือ เช่นนั้นบ้านเ้าทำอาชีพอะไรกัน”
อาสวินก็ประสมโรงถามขึ้น “ครอบครัวเ้าจะต้องรวยมากเป็แน่”
“ท่านพ่อของข้าไม่จำเป็ต้องเดิน ยามอยากจะไปไหนก็มีคนคอยแบก ปกติก็ไม่ได้ทำงานอะไร ท่านปู่ทวดของข้าก่อนจะจากไปทิ้งทรัพย์สมบัติไว้มากมาย ท่านพ่อของข้าก็เพียงแค่ใช้เงินเ่าั้”
ขันทีชราเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ก้มหน้าลงไว้อาลัยให้กับฮ่องเต้และฮองเฮา
คนอื่นๆ เมื่อได้ยินแล้วก็คิดภาพชายร่างอ้วนผู้มั่งคั่งเงียบๆ
คงจะมีแต่เพียงชายผู้มั่งคั่งเช่นนั้นที่สามารถเลี้ยงเด็กชายร่างอ้วนคนนี้ให้ไร้เดียงสาได้เพียงนี้
ยามที่ทุกคนกำลังสนทนากันอยู่ ก็แอบคีบผักใส่ถ้วยของเฉินโย่ว
เมื่อเฉินโย่วเห็นว่าถ้วยของตนมีผักสีเขียวเพิ่มขึ้นมา ก็อาศัยจังหวะที่พี่ชายไม่สนใจ รีบคีบผักไปใส่ไว้ในชามของพี่สวินแทน แล้วรีบก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ
อาลู่ยังทำเหมือนว่าเขาไม่เห็นอะไร
ราชครูที่เห็นเหตุการณ์นี้ก็พลันคิ้วกระตุก
องค์หญิงใหญ่ชอบอาสวินหรือ เด็กหนุ่มคนนี้นับว่าสติปัญญาเป็เลิศ มีเพียงเื่เดียวที่ดูจะไม่เหมาะสมคือร่างกายอ่อนแอเกินไป หากว่าได้เป็ราชบุตรเขยขึ้นมาจริงๆ แค่คิดภาพองค์หญิงใหญ่ขี่หลังอาสวินที่ไร้ทางสู้ ราชครูก็รู้สึกเย็นะเืขึ้นมา
“วันนี้เ้าไปเล่นที่ใดมา ที่นี่ไม่เหมือนกับบนทุ่งหญ้า ไม่อาจก่อเื่ได้ ถึงเวลาต่อให้เป็อาจารย์ก็ช่วยเ้าไม่ได้”
ราชครูมองแม่นางหลัวสั่งสอนเด็กหญิง ทว่าดูท่าก็ยังจะล้มไม่เป็ท่าอีกเช่นเคย แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่เ้าเด็กคนนี้ช่างรู้จักออดอ้อนเอาใจเหลือเกิน จึงไม่มีใครกล้าตัดใจตำหนินางแรงๆ ได้สักที
เขาในฐานะอาจารย์ก็ได้แต่ทำหน้าดำคร่ำเครียดตามน้ำไป
เฉินโย่วคีบข้าวขึ้นมากินด้วยท่าทางเรียบร้อย จากนั้นจึงดื่มน้ำแกงตรงหน้าต่อ ท่าทางดูเจริญอาหารยิ่ง
เมื่อดื่มน้ำแกงหมดแล้วก็กล่าวขึ้น “ท่านอาจารย์ ข้ารู้แล้ว ข้าเรียบร้อยออกจะตาย ไม่ได้ไปเล่นซนอะไร เพียงออกไปวิ่งเล่นกับเสี่ยวซีเท่านั้น”
เมื่อเด็กชายได้ยินพี่โย่วกล่าวถึงตน ก็รีบยกมือออกความเห็น
“พวกเราเรียบร้อยมาก ไม่ได้สร้างเื่อะไร พี่โย่วแค่ให้ข้าช่วยดูต้นทาง ข้าก็ช่วยดูต้นทางให้ พี่โย่วช่างเก่งกาจนัก เพียงครู่เดียวก็ปีนเข้าไปหลังกำแพงวังได้แล้ว”
เฉินโย่ว “…”
ทุกคนพลันตื่นใ “กำแพงอะไรนะ”
เด็กชายจึงยกมือขึ้นทำท่าทางสาธิต “กำแพงวังอย่างไรเล่า พี่โย่วะโแค่สองสามครั้งก็เข้าไปในวังได้แล้ว”
เฉินโย่วพลันฟุบหน้าลงกับถ้วย ชีวิตนางจบเห่แล้ว!
ทว่าขันทีชราที่ยืนอยู่ข้างหลังเด็กชายกลับขมวดคิ้วเป็ปมยิ่งกว่าใคร
แม่นางหลัวกล่าวย้ำขึ้นทีละคำ “ลู่ เฉิน โย่ว!”
เฉินโย่วแทบจะหลั่งน้ำตา เ้าเด็กอ้วนเป็เพื่อนสมองหมูโดยแท้
“ข้าเพียงแค่ปีนขึ้นไปดูสักหน่อย ทว่าไม่พบอะไรทั้งสิ้น ด้านในมีแค่คนทึ่มคนหนึ่งเท่านั้น เขาทึ่มเสียจนแทบจะกินดอกไม้พิษเข้าไปแล้ว เคราะห์ดีที่ข้าไปช่วยเขาไว้ทัน”
เฉินโย่วแสร้งกล่าวขึ้นด้วยท่าทางโง่งม
