พี่สามลู่นั่งอยู่บนชุดโต๊ะหินกลางลานเรือนสกุลลู่ เขารินสุราไว้สองถ้วย สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดมาพาให้กลิ่นหอมกำจาย เพียงไม่นานประตูเรือนพักฝั่งตะวันออกก็เปิดออก เฝิงเจี่ยนเดินออกมา เขารวบชายเสื้อนั่งลงฝั่งตรงข้าม
พี่สามลู่ไม่ได้ถามว่าเหตุใดถึงรู้ว่าตนกำลังรอเขาอยู่ที่นี่ เขายกถ้วยสุราด้วยสองมือวางลงตรงหน้าเฝิงเจี่ยน
เฝิงเจี่ยนรับสุราถ้วยนั้นมา พี่สามลู่เองก็ยกสุราของตัวเองขึ้นเช่นกัน เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “พี่ใหญ่เฝิง พรุ่งนี้ข้าจะต้องเดินทางกลับสำนักศึกษาแล้ว ไม่ว่าอย่างไร การสอบรับราชการในฤดูใบไม้ผลิปีหน้าข้าจะต้องสอบติด คว้าตำแหน่งมาครองให้ได้เพื่อปกป้องสกุลลู่ แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น...ขอให้ท่านช่วยปกป้องสกุลลู่ ปกป้อง...น้องหญิงของข้าด้วย ลู่เชียนจะซาบซึ้งไม่สิ้นสุด ต่อไปไม่ว่าพี่ใหญ่เฝิง้าให้ข้าทำอะไร ไม่ว่าจะยากลำบากและน่าหวาดกลัวแค่ไหน ข้าก็จะไม่บ่ายเบี่ยง”
พูดจบ เขาก็กระดกสุราฤทธิ์แรงในถ้วยจนหมด จากนั้นก็จ้องเฝิงเจี่ยนตาไม่กระพริบ
เฝิงเจี่ยนเลิกคิ้ว เขาดื่มสุราลงไปเช่นเดียวกัน เสร็จแล้วกลับเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะปกป้องสกุลลู่ ปกป้องเสี่ยวหมี่ แต่ไม่ใช่เป็เพราะเ้าฝากฝัง”
ลู่เชียนหยัดกายขึ้น “ไม่ว่าอย่างไร ลู่เชียนก็ต้องขอบคุณท่านไว้ ณ ที่นี้ บุญคุณที่พี่ใหญ่เฝิงมีต่อสกุลลู่ ข้าลู่เชียนจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน แต่หากว่าน้องหญิงของข้า...ถูกรังแกให้ต้องพบเจอกับความน้อยเนื้อต่ำใจ ข้าไม่ยอมอยู่เฉยๆ แน่”
พูดจบเขาก็หมุนกายกลับเข้าห้องไป เหลือเพียงเฝิงเจี่ยนนั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่รู้ผู้เฒ่าหยางมาถึงที่โต๊ะหินั้แ่เมื่อใด เขายกมือช่วยรินสุราให้เ้านาย กล่าวถามเสียงเบา “นายน้อย เราควรจะกลับเมืองหลวงได้แล้วหรือไม่ขอรับ?”
เฝิงเจี่ยนขมวดคิ้ว ก้มหน้าลงจิบสุรา “ไม่ต้องรีบ รออีกหน่อย”
“นายน้อย ท่านออกเดินทางจากบ้านมาเป็ปีแล้ว ถึงแม้นายท่านจะไม่เร่งรัด แต่คิดว่าในใจก็คงระลึกถึง ท่านคิดว่า...”
“รออีกสักครึ่งเดือน รอข่าวจากพวกเสวียนอีแล้วค่อยไปก็ยังไม่สาย”
“ขอรับ...”
เสี่ยวหมี่ตื่นมาแต่เช้าเพื่อปั้นซาลาเปาเต็มสามลังถึง รอจนทุกคนมารวมตัวกันที่โต๊ะอาหาร ได้กินกันจนอิ่มหนำแล้ว นางถึงได้นำซาลาเปาที่ยังครึ่งร้อนครึ่งเย็นที่เหลืออยู่ห่อด้วยกระดาษไข แล้วส่งให้โก่วจื่อขนไป
บนรถม้าของลู่เชียนมีของกินมากมายวางเรียงรายอยู่ ทั้งเป็ไหเป็ห่อ
จากไปครั้งนี้ กลับมาอีกทีคงเป็หลังปีใหม่แล้ว แม้กระทั่งงานแต่งของพี่ใหญ่ลู่เขาก็ไม่อาจกลับมาเข้าร่วมได้
เสี่ยวหมี่ทำใจไม่ค่อยได้ที่พี่ชายจะจากไปอีก นางปล่อยให้เกาเหรินกระทืบเท้าไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย แทบจะยกของกินที่มีทั้งหมดให้พี่สามขนกลับสำนักศึกษาไป ทำให้หลิวปู๋ชี่และเฉิงจื่อเหิงดีใจจนยิ้มแย้มไปถึงดวงตา
ส่วนบิดาลู่แต่ไหนแต่ไรก็เห็นลูกชายเป็เหมือนของแถมที่ได้มา จึงไม่ค่อยใส่ใจมากนัก เพียงกำชับให้บุตรชายตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้ดีแล้วจึงมุดศีรษะกลับเข้าห้องของตัวเองไป
ลู่เชียนเองก็ชินเสียแล้ว เขาสนทนากับพี่ชายทั้งสองและกำชับเื่สำคัญกับพี่รองของตนครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วจึงเข้าไปกอดน้องหญิงที่ผอมลงไปมากเพราะอาการป่วยก่อนหน้านี้
“น้องพี่ เ้าอย่าหักโหมจนเกินไป และอย่าเก็บเื่ทุกข์ใจไว้คนเดียว มีอะไรก็เขียนจดหมายมาหาพี่”
“ได้ พี่สาม คนที่บ้านก็อยู่ด้วยกันหมด ข้าจะมีเื่ทุกข์ใจอะไรได้ ท่านวางใจเถอะ”
เสี่ยวหมี่ขอบตาแดงก่ำ ต่อให้จะตัดใจไม่ได้เพียงใดแต่ก็ต้องหักใจปล่อยพี่ชายไปตามเส้นทางของตนเอง
ที่ตีนเขา ชาวบ้านที่ไม่ได้ขึ้นเขาไปล่าสัตว์กำลังยุ่งอยู่กับการช่วยสกุลลู่เก็บเกี่ยวผลผลิตชุดสุดท้าย
พวกเด็กๆ วันนี้ได้หยุดเรียนจึงเข้าไปช่วยงานที่โรงทำบะหมี่ ช่วยขนย้ายมันฝรั่ง
เนื่องจากตอนนี้ยังต้องเก็บเป็ความลับ คนที่ทำงานอยู่ในโรงทำบะหมี่จึงมีแค่สตรีในหมู่บ้านไม่กี่คน คนภายนอกจะเห็นว่ามีควันสีขาวลอยออกมาจากในนั้นแทบทั้งวัน
ตอนที่รถม้าขับผ่านไป ชาวบ้านก็พากันโบกไม้โบกมือให้
จนเมื่อพ้นจากประตูหมู่บ้านไปแล้วลู่เชียนถึงได้ปิดหน้าต่างลง หลิวปู๋ชี่ที่ปากยังกัดซาลาเปาไม่เลิก อดเอ่ยออกมาไม่ได้ว่า “หุบเขาหมีช่างเป็สถานที่ที่ดีจริงๆ”
“นั่นสิ วันหน้าหากคนที่บ้านไล่ข้าออกมาอีก ข้าก็มาอยู่ที่นี่เสียดีกว่า”
เฉิงจื่อเหิงตอบรับ ทำเอาลู่เชียนหัวเราะออกมา “ได้สิ เพียงแต่พวกเ้าต้องเตรียมเสบียงอาหารมาเอง ไม่อย่างนั้นเสบียงบ้านข้าคงถูกพวกเ้ากินจนหมดแน่”
โก่วจื่อที่เป็คนบังคับม้าได้ยินเข้าก็อดโวยวายไม่ได้ “ซาลาเปาที่คุณหนูสี่ห่อมาให้คุณชายกิน ยังไม่ทันพ้นประตูหมู่บ้านก็หมดไปครึ่งหนึ่งแล้ว”
หลิวปู๋ชี่กลอกตา ยิ้มกล่าวว่า “ใจแคบนัก รอจนถึงสำนักศึกษา ข้าจะเลี้ยงอาหารเลี้ยงสุราพวกเ้าที่หอเสียงเกอก็แล้วกัน”
“ไม่กิน หากว่าอาหารที่หอเสียงเกออร่อยจริง ท่านจะมาแย่งอาหารของคุณชายข้าทำไม”
โก่วจื่อเฉลียวฉลาดยิ่งนัก ไม่ยอมเสียเปรียบเด็ดขาด คำพูดนี้ทำเอาเฉิงจื่อเหิงและลู่เชียนหัวเราะออกมา
บรรยากาศครึกครื้นไปตลอดทางเช่นนี้จนถึงสำนักศึกษา...
เสี่ยวหมี่เพิ่งส่งพี่ชายจากไป ในใจยังอาวรณ์อยู่มาก ดีที่ยังมีงานที่โรงทำบะหมี่ให้นางไปดูแล
ตุ๊กตาชุดใหม่ก็กำลังเร่งมือเย็บกันอย่างเต็มที่ ซึ่งนางก็ต้องเข้าไปตรวจสอบความเรียบร้อยอยู่เนืองๆ เมื่อมีอะไรให้ทำก็พอจะบรรเทาความเศร้าในใจไปได้บ้าง
ไม่เพียงแค่นาง ตอนนี้บรรดาสตรีในหุบเขาหมีต่างก็ยุ่งกันอย่างยิ่ง
คนที่มีฝีมือเย็บปักก็ยุ่งอยู่กับการเย็บตุ๊กตา คนที่ฝีมือเย็บปักไม่ดีเท่าไหร่ก็ไปช่วยงานที่โรงทำบะหมี่ ที่เหลือก็ไปช่วยทำกับข้าวที่เพิงทำอาหาร
เอาเป็ว่ายุ่งวุ่นวายเสียยิ่งกว่าผู้ชายในบ้านเสียอีก
พวกผู้ชายเมื่อเห็นว่าพวกผู้หญิงยุ่งกันตลอดทั้งวัน ทั้งยังหาเงินเข้าบ้านได้เป็กอบเป็กำ ก็เริ่มรู้สึกถึงอันตรายขึ้นมา
บรรดาสัตว์น้อยในป่าลึกจึงโชคร้ายไปตามๆ กัน
พวกผู้ชายลงแรงกันอย่างเต็มที่ทั้งยังแข่งขันกันเองอีก ถ้าคนหนึ่งล่าหมูป่ากลับมาได้ อีกคนจะต้องล่าจิ้งจอกให้ได้ ตอนหลังยังร่วมมือกันล้มหมาป่าทั้งฝูงได้อีก
เมื่อล่ามาได้แล้ว บรรดาหนังสัตว์ก็จะถูกส่งมาที่สกุลลู่ก่อน หากว่าเสี่ยวหมี่ต้องใช้ก็จะเก็บไว้ หากเสี่ยวหมี่ไม่้าก็ค่อยส่งไปขายในเมือง
แน่นอนว่าทุกคนยังคงไม่ลืมจับกวางน้อยกลับมาให้เสี่ยวหมี่ด้วย
เพราะทุกคนร่วมมือกัน รวมทั้งเกาเหรินที่มีวรยุทธ์สุดยอด ซูอีที่ฝีเท้าเงียบเชียบสมเป็นักล่า พี่รองลู่ที่จิตใจยังเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด และชาวบ้านนายพรานหนุ่มคนอื่นๆ ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน ลานด้านข้างสกุลลู่ที่ล้อมไว้เป็คอกกวางชั่วคราวก็มีกวางลายจุดยี่สิบกว่าตัววิ่งอยู่ แต่ละตัวใช้ดวงตากลมโตไร้เดียงสามองคนที่เดินผ่านไปมา เสี่ยวหมี่เห็นแล้วก็ชอบใจนัก ยามที่มีเวลาว่างนางมักจะต้องแวะเวียนไปเยี่ยมพวกมัน
แต่เพราะอากาศยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ พอถึงฤดูหนาวพวกมันคงจะทนไม่ไหว
เสี่ยวหมี่จึงไปหานายท่านเฝิง ให้เขาช่วยเป็หัวเรี่ยวหัวแรงรวมทุกคนมาช่วยกันสร้างสนามกวาง ส่วนพวกคนมีอายุก็ให้ช่วยตัดหญ้ามาเป็อาหารกวางทุกวัน ให้ค่าแรงเท่ากับพวกผู้หญิงที่ลงไปช่วยในเพิงทำอาหาร
ฤดูหนาว เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทุกคนรู้สึกว่างและเซื่องซึมโดยเฉพาะพวกคนสูงอายุ หากมีงานให้ทำพวกเขาย่อมยินดี สุดท้ายจึงตกลงกันว่าจะสลับกันรับผิดชอบ
พวกเด็กๆ ยังคงแบกดินและเห็ดขึ้นหลังมาให้เสี่ยวหมี่ไม่ขาด ค่าตอบเทนที่ได้รับไม่เคยเหลือกลับไปถึงบ้านเลยสักครั้ง
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังยุ่งอยู่นี้เอง ในที่สุดเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็มาถึง
ทุกคนในหมู่บ้านได้รับขนมไหว้พระจันทร์คนละสองจิน พวกผู้หญิงในหมู่บ้านตอนนี้มีหน้ามีตามากเพราะหาเงินเข้าบ้านได้เป็กอบเป็กำ เป็ลูกมือช่วยเสี่ยวหมี่ทำอะไรตั้งมากมาย พวกนางแบ่งขนมไหว้พระจันทร์หนึ่งจิน เนื้อหนึ่งชิ้น สุราหนึ่งไห และหนังสัตว์หนึ่งผืนนำกลับไปที่บ้านเดิม พาให้บ้านเดิมได้มีหน้ามีตาไปด้วย
ส่วนสกุลเฉินนั้นได้มากกว่าใคร ได้ขนมไหว้พระจันทร์ไปทั้งสิ้นสิบแปดจิน แต่ละลูกห่อไว้ด้วยกระดาษไขอย่างงดงาม ใส่ลงในกล่องอาหารนำส่งให้เป็ของขวัญเทศกาลไหว้พระจันทร์
เถ้าแก่เฉินดีใจอย่างยิ่ง แบ่งไปให้ลูกชายที่อยู่เมืองหลวงด้วย ส่วนที่เหลืออีกจำนวนมากก็ทยอยแจกจ่ายญาติสนิทมิตรสหาย จึงเป็ที่ฮือฮาอีกครั้งในเมืองหลวง เนื่องจากขนมไหว้พระจันทร์นี้ดูงดงามแปลกตากว่าที่เคยซื้อหากันตามร้านมากนัก และยังอร่อยกว่าด้วย
เพียงไม่นานบรรดาร้านขายขนมก็พากันมาขอพบเถ้าแก่เฉินถึงบ้านด้วยเื่นี้ เถ้าแก่เฉินจึงส่งจดหมายไปหาเสี่ยวหมี่
เสี่ยวหมี่กำลังสั่งสอนเกาเหรินอยู่ ขนมไหว้พระจันทร์กว่าครึ่งถูกแจกจ่ายออกไปแล้ว ที่บ้านก็มีเหลืออยู่ไม่มาก ในจำนวนไม่มากนั้นกลับถูกเกาเหรินเอาไปซ่อนเสียส่วนหนึ่งด้วย ทำให้คืนวันที่สิบห้าค่ำทุกคนจึงมีขนมไหว้พระจันทร์กินกันแค่คนละสองชิ้นเท่านั้น...
“เ้านี่นะ คนเราจะตะกละก็ต้องมีขอบเขตบ้าง หากว่าชอบกินมากจริงๆ ก็บอกข้า เตาอบก็ยังตั้งอยู่ ข้าอบให้ใหม่ก็ใช้ได้แล้ว”
เกาเหรินไม่ได้ตอบอะไรแต่สีหน้ามีความขุ่นเคือง สายตาสอดส่องไปทั่วเรือน ทั้งในที่ลับที่แจ้ง เหมือนกำลังมองหาโจรตัวจริงที่ทำให้เขาต้องมารับเคราะห์ในความผิดที่ไม่ได้ก่ออยู่เช่นนี้
ในตอนนี้เอง เด็กรับใช้สกุลเฉินก็นำจดหมายของเถ้าแก่เฉินมา เสี่ยวหมี่จึงยกน้ำชาและของว่างไปรับแขก เมื่ออ่านจดหมายจบก็ถลึงตาใส่เกาเหรินแล้วยิ้มเอ่ยว่า “ร้านทำขนมในเมืองอยากจะซื้อสูตรทำขนมไหว้พระจันทร์ วันหน้าหากเ้าอยากกิน ต่อให้ที่บ้านเราไม่ทำ เข้าเมืองก็สามารถซื้อหาได้แล้ว”
เกาเหรินเบะปาก “ต่อให้ร้านค้าพวกนั้นตั้งใจทำอย่างดีแค่ไหน ก็ไม่มีทางอร่อยไปกว่าที่บ้านเราทำ”
ไม่รู้ว่าเพราะเห็นด้วยหรือเปล่า จู่ๆ ซูอีก็พยักหน้าด้วยเช่นกัน
เด็กรับใช้ได้ยินเสี่ยวหมี่พูดเช่นนี้ก็รู้ว่าเื่สำเร็จแล้ว เขายิ้มเอ่ยว่า “แม่นางลู่ ท่านไม่รู้หรอกว่าขนมไหว้พระจันทร์ที่นายท่านของเราส่งไปให้สหายทั้งหลายนั้นได้รับคำชื่นชมมากขนาดไหน บางครอบครัวที่สนิทสนมกันมากๆ ถึงกับมาขอเพิ่มเชียวนะขอรับ”
“แค่ของที่ทำขึ้นในยามว่าง จะมีก็แค่ความแปลกใหม่เท่านั้น ในตัวขนมไหว้พระจันทร์มีน้ำตาลผสมอยู่เยอะ จริงๆ กินมากก็ไม่ดีหรอก”
เสี่ยวหมี่ไม่มีท่าทีโอ้อวดแต่อย่างใด อย่างไรเสียนางก็ไม่คิดจะทำธุรกิจขายขนมไหว้พระจันทร์ ขายสูตรไปก็ดี
อีกทั้งเื่นี้ยังเหมือนเป็การเตือนสตินางว่าหากจะขายเส้นบะหมี่และแป้งมันฝรั่งออกไปให้ได้ราคาดี จำเป็ต้องมีการโฆษณาและการเตรียมการให้ดีก่อน ไม่เช่นนั้นคงจะยาก
วิธีที่ดีก็น่าจะเป็การส่งต่อสูตรทำอาหาร
รอจนเด็กรับใช้คนนั้นจากไปพร้อมสูตรทำขนมไหว้พระจันทร์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแล้ว เสี่ยวหมี่ก็เริ่มไล่เขียนสูตรอาหารที่เกี่ยวข้อง
เกาเหรินเสนอตัวช่วยฝนหมึก แต่เพราะเป็คนอยู่ไม่นิ่ง มือเขาฝนจนหมึกเลอะเทอะไปหมดเกือบจะเลอะกระโปรงสีงาช้างตัวโปรดของเสี่ยวหมี่ด้วย
ดีที่เฝิงเจี่ยนเสร็จงานแล้วเดินเข้ามาพอดี เมื่อเห็นเช่นนี้จึงไล่เขาออกไป ก่อนจะรับหน้าที่ฝนหมึกแทน
เสี่ยวหมี่เงยหน้ามองเขาพลางคลี่ยิ้มสดใส
ทั้งสอง คนหนึ่งฝนหมึกคนหนึ่งเขียนพู่กันแลดูเหมาะสมกันอย่างยิ่ง เพียงไม่นานสูตรอาหารสิบกว่ารายการก็ถูกเขียนออกมาจนเสร็จ
เมื่อเขียนเสร็จแล้วเสี่ยวหมี่จึงสะบัดข้อมือที่ปวดร้าวน้อยๆ นางคิดถึงพวกปากกาขนห่านที่เคยเห็นมาในชาติก่อน จริงๆ คิดจะลองทำขึ้นบ้าง แต่นึกขึ้นได้ว่าที่บ้านไม่มีห่าน จึงต้องพับโครงการนี้ไป
“เมื่อวานท่านลุงกัวส่งหมูป่ามาให้ตัวหนึ่ง พี่ใหญ่แยกชิ้นส่วนมันเรียบร้อยแล้ว บ้านเราไม่ขาดเนื้อ วันนี้เราก็ลองทำอาหารตามสูตรนี้กันให้หมดเถอะ คนที่บ้านจะได้กินมื้อใหญ่กันด้วย”
“ดีสิ”