ในยามเช้า พื้นหญ้านอกกระท่อมยังคงปกคลุมไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งแหลมคม ส่วนในกระท่อมนั้นเฉินโย่วน้อยยังคงนอนกางแขนกางขาอย่างสบายอกสบายใจ
กระท่อมใหม่ที่เหล่าปาเพิ่งสร้างบัดนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่น มีกองไฟลุกโชนตลอดคืน
ส่วนอาลู่นั้นออกไปขี่ม้าั้แ่เช้าตรู่ เมื่อขี่ได้ราวหนึ่งรอบจึงกลับมายังกระท่อม
เ้าอินทรีนั้นไม่ค่อยชินกับความอบอุ่นเท่าใด ยามกลางคืนจึงบินขึ้นไปนอนบนหลังคา
เมื่อเห็นอาลู่ออกไปขี่ม้าก็บินตามไปติดๆ
ยามอาลู่ฝึกขี่ม้า เ้าอินทรีก็คอยบินอยู่รอบข้าง บางคราที่อาลู่เป่าวงกลมเงินจากบนหลังม้า เ้าอินทรีก็จะบินปรี่มาหาทันที
อาลู่นั้นเดิมทีก็นับว่าเป็เด็กฉลาดเฉลียว ยามเหล่าปาบอกว่าเ้าอินทรีนั้นมีสติปัญญา อาลู่ทดลองอยู่หลายครั้ง ก็รู้สึกเช่นเดียวกับเหล่าปาว่า เสี่ยวอวี้นั้นฉลาดเฉลียว เทียบกับน้องสาวแล้วก็น่าจะพอๆ กัน ยามเขาพูดคุยกับมัน มันก็ทำท่าราวกับเข้าใจ เพียงแต่มันนั้นพูดไม่ได้...อาโย่วเองก็ยังพูดไม่ได้เช่นกัน
เขาคิดเื่ที่ตัวเองกำลังจะเข้าหน่วยลาดตระเวนเพื่อสืบข่าวคราวจากด้านนอก การเดินด้วยสองเท้านั้นอย่างไรเสียก็ไม่รวดเร็วเท่าการบิน หากว่าเขากับเสี่ยวอวี้เข้ากันได้ดี จะต้องมีประโยชน์ต่อเขาเป็แน่
เขาออกมาขี่ม้าั้แ่ฟ้ายังไม่สว่าง เมื่อเห็นตะวันเริ่มทอแสง จึงได้ขี่ม้ากลับไปยังกระท่อม
เด็กหนุ่มแก้มแดงระเรื่อผลักประตูกระท่อมแล้วเข้าไปด้านใน ใบหน้าวัยแรกรุ่นช่างเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา
น้องสาวนั้นยังนอนหลับอยู่ ส่วนเหล่าปานั้นตื่นมาทำอาหารเรียบร้อยแล้ว ในกระท่อมจึงร้อนไปด้วยไอร้อนจากเตาไฟ อาหารเช้าในวันนี้ยังคงเหมือนเช่นเคย เป็น้ำแกงหมั่นโถวใส่ผักป่า ที่ส่งกลิ่นหอมตลบไปทั้งห้อง
อาลู่เห็นเช่นนั้นก็ดีใจรีบถอดเสื้อคลุมเก่าๆ แขวนไว้หลังประตู แล้วจึงไปนั่งลงข้างเหล่าปา
“ท่านอาปา วันนี้ข้ากับเ้าก้างได้ประลองความเร็วกับเสี่ยวอวี้มา พวกข้าชนะด้วย” อาลู่เมื่อกล่าวจบก็มองหน้าเหล่าปาด้วยแววตาเป็ประกาย
เหล่าปาชายหลังค่อมมองแววตาของเด็กหนุ่ม สีหน้าของเด็กหนุ่มราวกับกำลังรอให้เขาชม จนเขาคิดถึงตอนแรกที่เ้าเด็กนี่กับเขาเพิ่งเจอกัน แววตานั้นเปี่ยมไปด้วยความระแวดระวังภัยทุกย่างก้าว เหล่าปาอดทอดถอนใจไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกดีใจเช่นกัน
“เ้ามีพร์ในการขี่ม้า แต่ถึงอย่างไรเ้าก็ห้ามหลงระเริงเด็ดขาด อีกไม่กี่วันเ้าก็จะออกเดินทางแล้ว จำไว้ว่าต้องตั้งใจเรียนรู้ให้มาก มองให้มาก พูดให้น้อย”
“อื้อ ข้าทราบแล้ว” อาลู่ชอบให้เหล่าปาชมเขานัก ทว่ายามเหล่าปาสั่งสอน เขาก็จดจำคำพูดเ่าั้ได้ขึ้นใจ เหล่าปายอมสั่งสอนเขาเช่นนี้ ย่อมต้องนับว่าเป็ผู้าุโของเขา
ยามทั้งสองคนกำลังสนสนทนากับเบาๆ นั้น เฉินโย่วน้อยก็ตื่นพอดี
แท้จริงแล้วยามนี้นางนั้นสามารถปีนป่ายจนพยุงตัวลุกขึ้นนั่งเองได้แล้ว ทว่าโดยนิสัยนางก็นับว่าเป็ตัวี้เีตัวหนึ่ง จึงต้องมีเื่จำเป็เท่านั้น มิเช่นนั้นถึงอย่างไรนางก็ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง
เพียงแค่เพิ่งลืมตา นางก็พลิกกายกลิ้งลงมายังกองหญ้าที่ปูไว้ มือเท้าทั้งสี่เร่งคลานต่อไปหาพี่ชาย เมื่อถึงหน้าพี่ชายแล้วก็ยืดแขนอ้วนๆ ออกมาขอให้พี่ชายอุ้ม
ยามอยู่ในอ้อมกอดพี่ชาย เฉินโย่วน้อยก็เผลอหลับไปพักพักใหญ่ จวบจนความรู้สึกอึดอัดอยากจะถ่ายหนักเข้าจู่โจมจนนางต้องตื่นขึ้น
อาลู่อุ้มน้องสาวออกไปปลดทุกข์ มองแปลงผักเขียวขจีข้างกายตน ทันใดก็รู้สึกอยากจะยิ้มขึ้นมา
เหล่าปาเองก็ไม่รู้ว่านี่คือผักอะไร รู้เพียงว่ามันน่าจะกินได้ เขายังลอบคิดว่ามันอาจจะเป็ผักพระพุทธในตำนาน ด้วยใบยาวๆ สองใบของมันนั้นดูคล้ายกับมือสองมือกำลังโอบกอดกำปั้นเล็กๆ นับสิบ ทว่าดูๆ ไปแล้วก็ไม่เลวนัก
ฤดูหนาวนั้น ต้นไม้ใบหญ้าข้างนอกล้วนกลายเป็สีเหลือง มีเพียงบริเวณกระท่อมน้อยแห่งนี้ที่สร้างไว้ให้น้องสาวปลดทุกข์ที่ยังคงเป็สีเขียวอยู่ ทำให้รอบกระท่อมนี้ดูแล้วมีชีวิตชีวาและโดดเด่นไม่เบา
เฉินโย่วนั้นี้เีตัวเป็ขน ตอนเริ่มถ่ายหนักนั้นนางก็ทำหน้าแดงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลับตาลงเช่นตอนนี้ ทำให้ดูราวกับนางนั้นกำลังหลับอยู่ จากนั้นเื่การจัดการของเสียก็ปล่อยให้พี่ชายเป็คนจัดการ
เมื่อธุระของนางเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางก็ดูกระปรี้กระเปร่าพร้อมจะกินข้าวเช้าต่อทันที
อาหารเช้าแม้จะเป็เพียงน้ำแกงหมั่นโถวใส่ผักป่า ทว่ายามนี้กลับใส่เนื้อเค็มลงไปเพิ่ม ทำให้รสชาตินั้นดีขึ้นไม่น้อย
เกลือนั้นนับว่าเป็ของมีราคา บนเขาแห่งนี้ก็มีไม่มากนัก ทว่าหญ้าเสียนเฉ่านั้นกลับไม่ขาดแคลน เหล่าปาให้อาลู่ไปเก็บหญ้าเสียนเฉ่ามามากสักหน่อย จากนั้นก็นำมาคั้นน้ำ แล้วจึงเอามาทาบนเนื้อ เนื้อเ่าั้เมื่อตากแดดแล้วก็จะเก็บไว้ได้นานโดยไม่ต้องใช้เกลือ
เพียงแต่มันก็จะติดรสขมมาด้วยหน่อย หากชินกับรสชาติแล้วก็นับว่าอร่อยทีเดียว
เมื่อกินข้าวเช้าเสร็จ อาลู่ตามเหล่าปาไปทำงาน เดิมทีงานของเขานั้นก็คือการช่วยเหล่าปาคอยดูแลฝูงม้า แม้บัดนี้เขาจะเข้าร่วมกับหน่วยลาดตระเวนแล้ว และไม่จำเป็ต้องทำงานเหล่านี้อีก ทว่าเขานั้นกลับเคยชินกับการตามติดเหล่าปา คอยเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่เหล่าปาสอน
ส่วนเฉินโย่วน้อยเมื่อกินอิ่มก็ชวนเ้าม้าไปเดินเตร็ดเตร่อาบแดดเสียแล้ว ชีวิตนางนั้นนับได้ว่าช่างเอ้อระเหยสบายอกสบายใจนัก
นางพบว่าเ้ามืดนั้นชอบออกวิ่งไปทางถ้ำเมื่อวันก่อนนัก มันพานางออกไปเดินอาบแดด เดินไปเดินไปก็หยุดลงตรงหน้าถ้ำอีกครั้งจนได้
เมื่อวานที่นางอุตส่าห์ทิ้งเนื้อไว้ให้ตั้งสองชิ้นนั้นเป็เพราะนางคิดว่าหากตนได้เจอเลี่ยงเลี่ยง ทว่าเลี่ยงเลี่ยงกลับไม่ให้นางดื่มนม นางก็คงจะปวดใจไม่น้อย ส่วนสองคนนั้นที่จ้องเ้ามืดตาเป็มัน แต่เ้ามืดนั้นมีน้ำนมให้ดื่มเสียที่ไหน นางจึงจงใจทิ้งเนื้อไว้สองชิ้นเพื่อปลอบใจเ้าสองคนนี้
วันนี้ยามมาถึงนางก็พบว่าปากถ้ำไม่มีเส้นด้ายเ่าั้ขึงกั้นไว้อีกแล้ว มีเพียงเด็กหนุ่มสองคนที่ยังคงหมอบซุ่มอยู่เช่นวันก่อน
เมื่อนางมองเข้าไปในถ้ำก็เห็นว่าในมือสองคนนั้นกำลังถือบางสิ่งที่มีประกายวิบวับอยู่ ซึ่งนางนั้นก็นับว่าชอบสิ่งของมีประกายมาโดยกำเนิด เช่นนั้นนางจึงให้เ้ามืดพานางเดินเข้าไปในถ้ำ
เสี่ยวอู่ที่แอบอยู่ในถ้ำเมื่อเห็นเช่นนั้นก็พลันใ
“อาสวิน เ้าพวกนั้นยอมเข้ามาจริงๆ ด้วย” เมื่อพูดจบเขาก็นึกเสียดาย หากเพียงรู้เร็วกว่านี้สักนิด วันนี้ก็จะได้เตรียมกับดักไว้ จะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองหญ้าโหยวหมาของพวกเขาไปเปล่าๆ
หญ้าโหยวหมานั้นแท้จริงก็ไม่นับว่าเป็พืชหายากอะไร เพียงแต่การจะเก็บมันมาได้นั้นช่างเป็เื่ที่ยากนัก หญ้าโหยวหมาพวกนี้จะขึ้นเพียงบนหน้าผาที่สระกระดูก แต่โชคดีที่เสี่ยวอู่นั้นมือเท้าว่องไวราวกับลิง จึงใช้วิธีนำเชือกรัดกับตัวแล้วจึงหย่อนตัวลงไปเก็บขึ้นมา
ทว่าเสียดายนักที่มันกินไม่ได้ หากกินได้จึงจะค่อยนับว่าหายาก
เมื่อก่อนบนเขาแห่งนี้ยังพอมีอะไรกินบ้าง ทว่าปีนี้สภาพอากาศช่างวิปริต อะไรที่เคยกินได้แถวนี้ล้วนถูกรีดไถไปหมด ทางค่ายเดิมทีก็ไม่ค่อยจะแบ่งปันอาหารมาเท่าให้สักเท่าใด ดังนั้นพวกเขาลองคนจึงต้องหิวโหยจนผ่ายผอม แทบไม่เหลือเค้าโครงของมนุษย์
“นางมองเห็นพวกเรา” อาจเป็เพราะว่าใจนเกินไป จึงทำให้อาสวินพูดเื่ไร้สาระออกมา
ไม่จำเป็ต้องพูด เสี่ยวอู่ก็รู้อยู่แล้ว เพราะเ้าเด็กนั้นกำลังขี่ม้ามาตรงหน้าของพวกเขา จากนั้นก็ไถลตัวลงจากศีรษะของเ้าม้า เพียงอึดใจก็มานั่งอยู่ตรงหน้าพวกเขาจริงๆ เสียแล้ว
ยามเขามองไปด้านนอก ก็พอจะมองเห็นอยู่รางๆ แต่ด้วยระยะทางนั้นไกลเกินไปจึงมองเห็นไม่ชัดนัก ทว่าบัดนี้กลับได้เห็นเต็มตาแล้วว่าเ้าทารกน้อยตรงหน้านั้นจ้ำม่ำเพียงใด ดูแล้วช่างคล้ายกับลูกกลมลูกหนึ่ง ซ้ำยังเป็ลูกกลมๆ ที่งดงามนัก ดวงตาคู่โตของนางช่างงดงาม กระทั่งขนตาก็ยังยาวเป็แพ
เพราะความมืดมิดในถ้ำ ทำให้เด็กหนุ่มมองไม่เห็นว่าทารกตรงหน้านั้นตัวดำคล้ำ จึงได้แต่คิดว่านางนั้นงดงามเกินบรรยาย
เสี่ยวอู่และอาสวินนั้นพากันตะลึงจนตัวแข็งค้าง
ทั้งสองไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี กระทั่งคนที่ฉลาดมาตลอดอย่างอาสวินก็ยังไร้ความเคลื่อนไหว
เฉินโย่วมองเด็กหนุ่มทั้งสองตรงหน้า แล้วจึงล้วงกระเป๋านำเนื้อแห้งออกมาชิ้นหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยปาก “แลก หิน”
เสี่ยวอู่นั้นใจนผงะถอยหลัง นี่ไม่ใช่แค่ทารก ซ้ำยังเป็ทารกหญิง เสียงอ้อแอ้ของนางนั้นมีความหมายว่าอะไรเขาก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก
อาสวินยื่นก้อนหินในมือที่ตนถือเล่นให้กับทารกน้อยตรงหน้า ทว่าความจริงแล้วมันกลับไม่ใช่ก้อนหิน แต่เป็สิ่งที่เขาเก็บได้จากสระกระดูกเล็กข้างถ้ำเชลย หากเขาคาดไม่ผิดมันก็น่าจะเป็กระดูกชิ้นหนึ่ง ลักษณะกลมเกลี้ยงของมันนั้นดูคล้ายไข่มุก ยามเขาครุ่นคิดบางอย่าง ก็มักจะนำมันมาถือเล่นในมือ
เสี่ยวอู่เมื่อเห็นเนื้อแห้งในมือนาง ก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่พร้อมดวงตาที่แทบถลน เพราะเขานั้นเพิ่งจะเห็นว่าในกระเป๋าเ้าทารกนั้นยังดูเหมือนจะมีเนื้อแห้งอยู่อีกหลายชิ้น
“อาสวิน เ้าดูสิ” เสี่ยวอู่ดึงอาสวินให้มาดู เนื้อแห้งในกระเป๋าของเฉินโย่ว
อาสวินส่ายหน้าเบาๆ
เมื่อครู่เขาก็เห็นแล้วว่าในนั้นยังมีเนื้ออยู่อีกราวสี่ถึงห้าชิ้น หากเขากับเสี่ยวอู่ดึงดันจะปล้นกลับไปให้ได้ เ้าเด็กนี่ในวันหลังก็คงจะไม่กลับมาอีกแล้ว ทว่าหากไม่ปล้นก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่าเ้าเด็กนี่จะกลับมาหรือไม่ แต่เช่นนี้ก็ย่อมจะดีกว่าการได้ปล้นเพียงครั้งเดียว
อีกทั้งถ้าหากเ้าเด็กนี้เกิดไปฟ้องใครขึ้นมา เนื้อแห้งเช่นนี้ก็คงจะไม่ได้ตกถึงท้องพวกเขาอีก
อาสวินจึงตัดสินใจยกกระดูกที่เขาถือเล่นในมือให้นาง
ทว่าทารกน้อยนั้นกลับส่ายหน้า
จากนั้นจึงเห็นนางวางเนื้อแห้งชิ้นนั้นไว้บนพื้น ต่อด้วยเรียงก้อนหินอีกสี่ก้อนไว้ข้างเนื้อแห้ง
เสี่ยวอู่ไม่เข้าใจสิ่งที่นางจะสื่อ ได้แต่งงเป็ไก่ตาแตกมองไปทางอาสวิน
อาสวินที่พอจะเดาสิ่งที่นางจะสื่อได้ ก็ยิ่งงุนงงเสียยิ่งกว่าอาอู่
“นางกล่าวว่า เนื้อแห้งหนึ่งชิ้นแลกลูกปัดกระดูกสี่เม็ด”