ในทุกวันพ่อกับแม่แวะเวียนมาเยี่ยมผมเสมอ ทว่าหมู่นี้เพื่อน ๆ ห่างหายไปผิดสังเกต หรืออาจเพราะเรียนหนัก ผมพยายามคิดในแง่ดี ทว่าอาการหลังจากผ่าตัดค่อย ๆ ดีขึ้นในทุกวัน ผมเริ่มกินอาหารและขยับกายลุกนั่งได้มากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ยังต้องอยู่บนเตียงอันสุดแสนน่าเบื่อ ทีวีก็มีแต่รายการเดิม ๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจ
‘พรรณี มยุรา และก็คุณหมอภูมิพล งั้นเหรอ’ ความเงียบทำให้ผมผุดคิด ถึงเื่ราวความฝันประหลาดที่เกิดขึ้นในภวังค์ ทุกอย่างเหมือนจริง ราวกับว่าไม่ใช่เป็เพียงแค่ความฝันธรรมดาเท่านั้น
‘ตกลงแล้วคุณหมอเลือกใครกันแน่?’ ความคิดยังไม่ทันจางหาย เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น ชายหนุ่มหล่อเหลาในชุดกาวน์สีขาวก็เดินเข้ามาพร้อมแท็บแล็ตในมือเหมือนทุกวัน
“หลายวันมานี้ เคลื่อนไหวได้ดีขึ้นเยอะเลยนะ เก่งมากเลยนะครับ” คำชมของเขา ทำให้ผมเผลอมองหน้า ขณะจับนั่นจับนี่ที่ตัวผม แล้วก้มลงจดบันทึกลงในแท็บแล็ต สายตาผมไม่อาจละจากเขาได้เลย
“วันนี้วันที่เท่าไร รู้ไหมครับ” อยู่ ๆ ก็ถาม ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วตอบกลับ
“ผม..ไม่..รู้” เขาไม่ต่อว่า หากแต่ยิ้มเล็กน้อยแล้วเปลี่ยนคำถาม
“เกิดวันที่เท่าไร จำได้ไหมครับ”
“9 กุม..ภา.. 48” ผมตอบสั้น ๆ ดูเหมือนเขาพยักหน้าพอใจในคำตอบ
“จำชื่อตัวเองได้ไหม ชื่ออะไร” ดวงตาคมเข้มจับจ้องมองผมอย่างมีความหมาย ผมละสายตาจากเขาแล้วตอบ
“อาคิราห์” เขายิ้มแล้วตอบกลับ
“ชื่อเพราะ และมีความหมาย อาคิราห์ หมายถึงรัศมีแห่งดวงตะวัน หากเปรียบกับความรัก ก็เป็รักที่ไม่มีวันดับ รักที่เป็นิรันดร์” ผมแทบจะหยุดหายใจ ให้ตายเถอะ! ขนาดผม ยังไม่เคยรู้ความหมายของชื่อตัวเอง แล้วเขาเป็ใคร เที่ยวรู้ชื่อคนอื่นไปทั่วแบบนี้
“หมอ..รู้..ได้..ไง” ผมเริ่มพูดคำที่ติด ๆ กันได้คล่องขึ้น จึงเอ่ยถาม หากแต่เขายิ้มอบอุ่น แล้วตอบกลับ
“ผมมีเพื่อนเป็สูติ คนไข้ขอให้ตั้งชื่อลูกอยู่บ่อย ๆ ก็จำ ๆ มา” ผมพยักหน้าเข้าใจ ก่อนเขาจะเอ่ยขึ้น
“อาการคุณดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่กว่าจะกลับไปใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ ต้องใช้เวลา หลังจากนี้คุณจะต้องกายภาพอีก เตรียมตัวไว้ด้วยนะครับ” เขาพูดจบก็เบี่ยงตัวเดินออกจากห้อง
“คุณหมอ...ภูมิพล! ผม..จะกลับ...ไปใช้ชีวิต จริง ๆ ได้..ใช่ไหม” เป็หนึ่งสิ่งที่ผมกังวลมาตลอด จึงตัดสินใจเอ่ยถามเขา ก่อนเขาจะขมวดคิ้วชนกัน แล้วหันกลับมามองผมด้วยสายตาประหลาดใจ ครู่หนึ่งจึงตอบกลับ
“ตอนนี้ยังไม่มีอะไรน่ากังวล อายุคุณยังน้อย ร่างกายสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าคนที่อายุมาก เท่าที่สังเกตอาการ หมอมองไปทางบวกนะครับ ว่าคุณจะกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ หากดูแลตัวเองอย่างดี” ได้ยินแบบนั้น ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ก่อนคุณหมอจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“และหมอ ก็ไม่ได้ชื่อภูมิพลนะ หมอชื่อนาวิน ที่แปลว่า อ้อม ๆ ว่า เริ่มต้นใหม่ หรือ โอกาสใหม่” เขาพูดจบ จึงจับจ้องมายังผม พลันก้าวเท้าเข้ามาใกล้ หรี่ตามองผมด้วยสายตาแปลกใจ ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ใครบอกคุณ ว่าหมอชื่อ ภูมิพล” สายตาคมเข้มมองอย่างจับผิด หากเขารู้ว่าผมจำมาจากความฝัน สายวิทยาศาสตร์อย่างคุณหมอ คงหาว่าเด็กเจน Z อย่างผมเป็เด็กงมงายแน่ ๆ ผมมองหน้าเขา แล้วรู้ตัวว่าอึกอักครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบไปง่าย ๆ
“เดา” พูดจบ หมอหนุ่มในชุดกาวน์ก็เบี่ยงกายเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรออกมา
‘ตอนยิ้มก็ดูอบอุ่นดีหรอก แต่พอหน้านิ่งแล้วดุเหมือนกันแฮะ’ ผมพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ แล้วทบทวนเงียบ ๆ
‘คนในฝันไม่ใช่คุณหมอหรอกเหรอ ทำไมหน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะ’ นั่นเป็สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจที่สุด ในภวังค์แห่งความเป็ความตาย สิ่งเหลือเชื่อมักเกิดขึ้น่เวลานั้น หรือว่าผม....จะเห็นเื่ราวในอดีตชาติ แต่มันควรเป็อดีตชาติของผม มากกว่าเป็อดีตชาติของคุณหมอหรือเปล่า ยิ่งคิดผมก็ยิ่งไม่เข้าใจ...
หลายวันต่อมาผมเริ่มกินอาหารได้หลากหลายมากขึ้น การเคลื่อนไหวต่าง ๆ รวมถึงการพูด ทุกอย่าง เริ่มฟื้นตัวได้ดีตามลำดับ ผมมองออกไปด้านนอก แล้วก้มมองอาหารในจาน เหล่าเพื่อน ๆ หายไปหลายวันแล้ว โคตรคิดถึงเลย! จึงค่อย ๆ หันไปหยิบมือถือที่วางอยู่ด้านข้าง เปิดดูโซเชียลมีเดีย พบว่าพวกมันหายเงียบไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ เกิดขึ้น
‘ผิดปกติ’ ผมผุดรู้ขึ้นมาในทันที ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนหาเบอร์โทรของไอริส ทว่ายังไม่ทันกดโทร เสียงของพวกมันก็ดังขึ้นอยู่หน้าห้อง พร้อมประตูถูกเปิดออกช้า ๆ เจย์คือคนแรกที่ปรี่ตรงมาหาผม พร้อมของเยี่ยมในมือ จะว่าไปแล้วของเยี่ยมครั้งก่อนยังกินไม่หมด ก่อนไอริสจะเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบผลไม้ออกมา
“ขอโทษนะที่ไม่ค่อยได้มาเยี่ยม พวกเราเรียนหนักน่ะ วันนี้อยู่คนเดียวเหรอ?” เธอหันมาถาม ก่อนผมพยักหน้า
“งั้นแสดงว่าวันนี้ยังไม่ได้กินผลไม้ เราปอกให้ไหม?” คิดเหรอว่าผมจะทิ้งโอกาสนี้ไปง่าย ๆ จึงทำทีพยักหน้าเบา ๆ ไอริสที่อยู่ในชุดนักศึกษารัดรูป ทำให้ผมไม่อาจละสายตาจากเธอได้ ก่อนเสียงกระแอมของเจย์ดังขึ้น
“ไหนดูดิ๊ ขยับขาได้ไหม” มันใช้นิ้วจิ้มที่ไปขาผมเบา ๆ ก่อนผมจะขยับให้มันดู
“แล้วแขนล่ะ” จริง ๆ มันก็ไม่ใช่หมอ แต่มันกำลังเลียนแบบ และอยากล้อเลียนผมมากกว่า ผมก็ขยับให้มันดูหวังว่ามันจะสบายใจ
“ใช้ได้!” มันพยักงึกงัก แล้วพูดต่ออย่างกวน ๆ
“อีกหน่อย ก็วิ่งแข่งกับกู ไปจีบสาวได้แล้ว” ผมหันมองไปยังไอริส เธอยังคงยืนนิ่งปอกผลไม้โดยไม่พูดอะไรออกมา กระทั่งธันน์ที่ยืนนิ่งอยู่นานเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“เอาจริง ๆ พวกกูไม่ได้เรียนหนักหรอก”
“ธันน์!” ไอริสหันขวับแล้วเอ่ยปราม ผมรู้ทันทีในตอนนั้นว่าต้องมีบางอย่างที่พวกมันกำลังปกปิด
“ตอนนี้มันอาการดีขึ้นแล้ว ไม่เป็ไรหรอกน่า”
“แต่เราตกลงกันแล้วว่าจะไม่พูดเื่นี้” ไอริสมองค้อนธันน์ เจย์มันเห็นท่าไม่ดีจึงพยายามห้ามศึก
“เกริ่นมาขนาดนี้แล้ว ปิดมันไม่ได้แล้วล่ะมั้ง” ผมจับจ้องมองไปยังธันน์ แล้วพยายามอ้าปากพูด
“มีอะไร..ปิดบังกู” ธันน์ถอนหายใจแล้วหยิบเก้าอี้เลื่อนเข้าใกล้ ๆ พลันย่อตัวลงนั่ง
“พวกกูไปตามสืบมาแล้ว ว่าลูก สส.พิชัยที่ขับรถชนมึงคือใคร” ผมขมวดคิ้ว ไม่คิดว่าพวกมันสามคน จะบ้าระห่ำไปยุ่งกับ สส.พิชัยที่มีอำนาจมากมายล้นมือ ขนาดพ่อกับแม่ผมยังแทบสู้ไม่ได้ แล้วพวกมันเป็แค่นักศึกษาตัวเล็ก ๆ หากถูกสั่งเก็บขึ้นมา มีหวังหาศพไม่เจอ
“มึงไม่ต้องมองหน้า เหมือนกำลังด่าพวกกูแบบนั้น” ไอ้เจย์รู้ทันจึงยกมือขึ้นแล้วพูดดัก ไอริสที่ปอกผลไม้เสร็จเดินเข้ามาสมทบ พลางวางผลไม้ไว้ด้านข้าง ก่อนมือของเจย์จะคว้าหมับแล้วหยิบผลไม้เข้าปากหน้าตาเฉย
“ฉันปอกให้คีย์” ไอริสมองไปยังเจย์ตัวแสบ หากแต่เขายักไหล่แล้วตอบกลับ
“แล้วไง? ก็ซื้อมาด้วยกันแท้ ๆ กินได้” ก่อนจะหยิบผลไม้ป้อนใส่ปากผม ผมค่อย ๆ หยิบแล้วเคี้ยวอย่างระวัง ก่อนธันน์จะเอ่ยขึ้น
“เดิมที พวกกูอยากรู้ว่าลูก สส.พิชัยมันเป็คนขี้เหล้าไหม บางที วันที่มันขับรถชนมึง มันอาจเมาอยู่ก็ได้ มันหนีก็เพื่อให้ตัวสร่างเมาโทษจะได้ลดน้อยลง หรือไม่ มันก็อาจจะไม่ได้แค่เมาเหล้า แต่เมายา อะไรก็ได้ที่...”
“ตกลงเจอมันไหม?” ผมตัดบท ทุกคนหยุดชะงัก แล้วมองตรงมายังผม ก่อนเจย์จะตอบอ้อมแอ้ม
“เจอ..แต่แม่งไม่ใช่ผู้ชายว่ะ เป็ผู้หญิง” ถึงตอนนั้น ที่ผมเคยคิดอยากจะต่อยหน้ามันสักหมัด ก็คงต้องหยุดคิดไปก่อน
“ชื่อว่า...พรรณี ทวีทรัพย์ เรียนอยู่อีกมหาลัย ที่สำคัญหน้าตาดีด้วย”
“หน้าตาดีก็ใช่ว่าจิตใจจะดีซะหน่อย ทำผิดยังไม่กล้ารับ แบบนี้ยังจะเข้าข้างอีก เห็นเป็ผู้หญิงหน่อยไม่ได้เลยพวกนายน่ะ” ไอริสชักสีหน้าใส่เจย์
“เอ้า! แล้วมาโกรธกันทำไม แค่บอกว่าหน้าตาดี ไม่ได้บอกว่าจะให้อภัยซะเมื่อไร?”
ผมได้ยินชื่อนี้ ภาพในภวังค์ก็ลอยเข้ามา หญิงสาวในชุดสีขาวลายลูกไม้บาน ๆ คนรักของคุณภูมิพล ทุกอย่างต้องไม่ใช่เื่บังเอิญแน่ ๆ
“คีย์ เป็ไรวะ” ธันน์เอ่ยขึ้นทำให้ผมได้สติ
“ปะ..เปล่า”
“เรียกตั้งนานไม่ขาน มีอะไรหรือเปล่า เจ็บตรงไหนไหม” ไอริสถามด้วยความเป็ห่วง ผมจึงรวบรวมสติแล้วหันมายังพวกมัน
“ให้เป็...หน้าที่ของ..แม่กับพ่อกู พวก มึงไม่ต้องเสี่ยง” ผมบอกพวกมันไป แต่ไม่รู้ว่าจะเชื่อกันไหม ทว่าอยู่ ๆ เจย์ก็เอียงศีรษะแล้วถามผมด้วยสีหน้าจริงจัง
“มึงเห็นหน้ามันไหมวะ ว่าเป็ผู้หญิงหรือผู้ชายขับ พรรณีอาจจะรับผิดแทนแฟนก็ได้นะ” ผมพยายามทบทวน ทว่าทำยังไงก็จำไม่ได้ เพราะรถคันนั้นวิ่งมาด้วยความเร็วสูง ผมมองไม่ทันจริง ๆ ว่าใครเป็คนขับ
“จำไม่ได้..ว่ะ” ผมตอบมันไป ก่อนธันน์จะถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น
“เห็นว่า สส.พิชัยจะพาลูกสาวเข้ามาเยี่ยมมึงด้วยล่ะ แต่แม่มึงไม่ยอม” ผมพยักหน้าช้า ๆ ดูจากกิริยาของแม่แล้ว ก็เป็อย่างนั้นจริง ๆ
“เป็กู กูก็ไม่ยอม” เจย์เอ่ยขึ้นตามหลัง ก่อนไอริสจะเอ่ยขึ้น
“บางทีนายอาจจะจำได้ แต่เพราะสมองกำลังาเ็ รอให้พักฟื้นหายดีก่อน ความจำบางส่วนที่ขาดหายไปอาจกลับคืน” ผมมองหน้าไอริสแล้วพยักหน้ารับเบา ๆ
หลังจากนั้นพวกมัน ก็อยู่เป็เพื่อนผมทั้งวัน ช่วยพยุงผมลุกขึ้นนั่ง เปลี่ยนท่า และพูดถึงเื่ราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัย ชีวิตของผมนับจากเด็กจนโต เรียนในโรงเรียนชั้นนำของประเทศมาตลอด พ่อกับแม่ไม่เคยเกี่ยงเื่เงินค่าเทอม ดังนั้น ไอ้เจย์ที่พ่อมันเป็ถึงผู้บริหารระดับสูงของธนาคาร จึงอยู่ในชีวิตของผมมาตลอด รู้จักนิสัยผมดีกว่าเพื่อนคนอื่น ๆ และอยู่ ๆ มันก็มองหน้าผมแล้วเอ่ยขึ้น
“ถ้าหากว่ามึงไม่ได้รับความเป็ธรรม ให้กูขุดการเงินของ สส.พิชัยไหม? ส่วนใหญ่นักการเมืองไม่ค่อยโปร่งใสเท่าไรหรอก ตามเส้นทางการเงินก็รู้แล้วว่าได้มายังไง เอาเื่นี้มาต่อรองให้ลูกสาวมันยอมรับผิด อันที่จริงกูกะว่าจะปรึกษาแม่มึงด้วย กูคิดว่าเื่นี้แม่มึงไม่ปล่อยแน่ ๆ” เป็ครั้งแรกที่ผมเห็นสีหน้าจริงจังของมัน และทุกคนในที่นั้นต่างมองหน้าผมเป็สายตาเดียวกัน
“รอ..กู..หายดีก่อน” คำตอบของผมทำให้เจย์นิ่งเงียบ แล้วพยักหน้าเบา ๆ
“คีย์...มึงมีอะไรในใจ มึงบอกพวกกูได้ตลอดนะ วันนี้เหมือนมึงมีอะไรในใจแปลก ๆ มีอะไรหรือเปล่า?”
“พวกมึง...คิดว่า..ชาติภพ มี จริงไหม” หลังจากผมถามออกไป พวกมันทั้งหมด ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เป็ครั้งแรกที่ภายในห้องพักฟื้นเงียบสนิทเกินห้าวินาที ก่อนธันน์ที่มีสติที่สุดเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“มึงรู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา?”
“มึงจะให้กูเรียกหมอมาตรวจอีกครั้งไหม?” เจย์เอ่ยขึ้นแล้วเตรียมเดินออกไปหาหมอ หากแต่ไอริสดึงมือไว้ได้ทัน ผมสังเกตเห็นกิริยาพวกมันแล้ว จึงตัดสินใจได้ว่า ควรเก็บเื่นี้ไว้เงียบ ๆ ดีกว่า
“กูแค่..คิดเล่น ๆ เฉย ๆ ไม่เห็นต้องจริงจัง” เท่านั้นแหละ ท่าทางของทุกคนก็ดูผ่อนคลายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เว้นเจย์ ที่เดินหน้านิ่งเข้ามาแล้วเอ่ยขึ้น
“นิสัยมึงแท้จริงแล้วคิดอะไรอยู่ทำไมกูจะไม่รู้ แต่เื่ชาติภพ เื่การสวดอ้อนวอนขอพรต่าง ๆ เลิกคิดได้เลย ที่มึงรอดมาทุกวันนี้ ไม่ใช่เพราะเื่อัศจรรย์ แต่เพราะฝีมือคุณหมอที่รักษามึง” ผมรู้สึกว่าตัวเองคิดถูกแล้ว ที่ไม่พูดเื่ประหลาดพวกนั้นออกไป ทั้งที่ใจอยากบอกเลยว่า พรรณี คือชื่อผมได้ยินมาก่อนแล้วในความฝันประหลาดหลังจากนั้นผมกับพวกมันก็เปลี่ยนเื่คุย เราอยู่ด้วยกันอีกไม่ประมาณสองสามชั่วโมง พวกมันก็พากันกลับ