ขณะกำลังพูดคุยกัน จู่ๆ ชายคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาจากด้านนอก อูิโยวไม่รู้ว่าตอนนี้มีคนอื่นอยู่ ทันทีที่เข้าไปก็ะโบอกหลิ่วไป๋เจ๋อว่า “อาหารมาแล้ว รีบดูสิว่าข้าเอาอะไรมาให้เ้าบ้าง นึกไม่ถึงว่าจิ่วฟาง...กวน...”
เสียงเจื้อยแจ้วพลันหยุดลง ดวงตาทั้งสี่คู่มองไปยังทิศทางเดียวกัน จ้องจนอูิโยวเหงื่อท่วม ชะงักนิ่งอยู่ที่ประตูแล้วลดระดับเสียงลง “คุณชาย ข้านำอาหารมาให้ตามที่สั่งแล้วขอรับ”
หลิ่วไป๋เจ๋อกระแอมไอด้วยใบหน้าเ็า ก่อนจะชี้ไปยังโต๊ะข้างๆ แล้วพูดว่า “วางเอาไว้แล้วออกไปได้”
อูิโยวกลั้นหายใจ กลัวว่าพี่ชายและพี่สาวจะจับได้ เขาวางอาหารลงอย่างระมัดระวัง หันหลังกลับแล้วเดินออกไป โชคดีที่สวมหน้ากากอยู่ ทว่าหลายคนในห้องก็ยังมองมาด้วยแววตาสงสัย โดยเฉพาะอูิเยี่ยซึ่งไม่ละสายตาจากเขาเลยแม้แต่ก้าวเดียวั้แ่ต้น
อูิโยวอยากจะรีบหนีไปให้เร็วที่สุด แต่ย่างก้าวกลับไม่มั่นคงจนเกือบสะดุดธรณีประตู หลิ่วไป๋เจ๋อรีบไอออกมาเพื่อเบนความสนใจของทุกคนมาที่ตนเอง
อูิหลิงรีบรินน้ำแล้วยื่นให้เขา เอ่ยถามอย่างเป็กังวล “เ้าสบายดีแล้วจริงๆ หรือ”
หลิ่วไป๋เจ๋อหยิบถ้วยชา มืออีกข้างก็เอื้อมไปนวดที่หัวคิ้วของนาง “ข้าสบายดี”
ใบหน้าของอูิหลิงแดงก่ำด้วยความเขินอาย ทันใดนั้นก็นึกถึงการกระทำที่หุนหันพลันแล่นก่อนหน้านี้ เมื่อมองดูคนอื่นๆ ก็เอ่ยด้วยท่าทีเคอะเขินว่า “รีบดื่มเร็วเข้า เดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน!”
อูิเยี่ยที่อยู่ด้านข้างถึงกับกุมหน้าผาก น้องสาวคนนี้บางทีก็น่าสับสน น้ำในถ้วยนั้นเย็นอยู่แล้วต่างหาก
จิ่วฟางเทียนฉีก้าวไปยังเบื้องหน้าหลิ่วไป๋เจ๋อ พาดแขนบนไหล่เขาแล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อไรข้าจะได้ดื่มสุรามงคลของเ้าเสียที หืม”
หลิ่วไป๋เจ๋อยัดถ้วยชาใส่มือจิ่วฟางเทียนฉี ก่อนจะดันแขนที่ก่ายตนเองออก แล้วเดินไปหามู่หรูอี้ด้วยท่าทีไม่รีบร้อน เอ่ยพูดด้วยความเคารพว่า
“ฟูเหริน ถึงเวลาที่บุตรชายของท่านควรจะสร้างครอบครัวได้แล้ว”
“เ้า ข้า...” จิ่วฟางเทียนฉีรู้สึกราวกับมีฟ้าฝ่าลงกลางหัว ไม่เคยคิดเลยว่าหลิ่วไป๋เจ๋อจะเป็คนผูกใจเจ็บเช่นนี้ นี่คือคุณชายจากชิงหลิ่วถังผู้ที่เ็าและพูดน้อยที่เขารู้จักจริงๆ หรือ
มู่หรูอี้มองจิ่วฟางเทียนฉีพร้อมรอยยิ้ม นางพยักหน้าแล้วพูดว่า “จริงด้วย ข้าจะพิจารณาอย่างรอบคอบแทนเขาแล้วกัน”
“ท่านแม่!” แม้แต่มารดาของเขาก็ร่วมด้วยหรือนี่ ทันใดนั้นจิ่วฟางเทียนฉีก็รู้สึกถึงความอ้างว้าง ราวกับกำลังโอบกอดความสิ้นหวังแล้วร่ำไห้
เมื่อทุกคนเห็นว่าหลิ่วไป๋เจ๋อสบายดี ไม่เป็อะไรแล้วจริงๆ ก็รู้สึกโล่งใจและขอตัวกลับ สถานการณ์ของเทือกเขาจู่เสียยังไม่สงบ พวกเขายังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องทำ
อูิหลิงอยู่ดูแลหลิ่วไป๋เจ๋อต่อ นางขมวดคิ้วมองอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ
“คนรับใช้ของเ้าท่าทางจะไม่รู้จักวิธีดูแลผู้อื่น เ้ายังอยู่ใน่ฟื้นตัว เหตุใดถึงนำอาหารมันเยิ้มเช่นนี้มาให้กัน แล้วร่างกายจะรับไหวได้อย่างไร เ้ารอก่อน ข้าจะไปทำข้าวต้มมาให้”
หลิ่วไป๋เจ๋อรีบห้ามเอาไว้ “ไม่เป็ไร ข้ากินได้”
“ไม่ได้” อูิหลิงสีหน้าหม่นหมองและไม่พอใจ “เ้ามักไม่ให้ความสำคัญกับร่างกายของตน หากภายภาคหน้าไม่ได้อยู่ข้างกายเ้า ข้าจะวางใจได้อย่างไร”
หลิ่วไป๋เจ๋อไม่รู้จะตอบเช่นไร
อูิหลิงเองก็มีนิสัยไม่ยอมอะไรง่ายๆ หลิ่วไป๋เจ๋อจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมทำตามความ้าของนาง ก่อนออกไป อูิหลิงก็พูดกับหลิ่วไป๋เจ๋อด้วยท่าทีจริงจังว่า “แน่ใจหรือว่าคนรับใช้เมื่อครู่มากับเ้า ไม่ว่าจะมองอย่างไรเขาก็ดูเป็คนบุ่มบ่าม ไม่น่าวางใจเอาเสียเลย”
หลิ่วไป๋เจ๋อกล่าว “ไม่เป็ไร แม้จะดูบ้าบิ่นไปบ้าง แต่เขาอยู่กับข้ามานานและเป็คนที่ข้าไว้วางใจมากที่สุดคนหนึ่ง”
อูิหลิงไม่เคยได้ยินหลิ่วไป๋เจ๋อพูดยกย่องผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเช่นนี้ นางรู้ว่าหากเขาตัดสินใจไปแล้วก็จะไม่ยอมเปลี่ยนใจง่ายๆ ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยักหน้าเห็นด้วย
“ตามใจเ้าแล้วกัน”
อูิหลิงเดินออกจากห้อง เหลือบมองอูิโยวที่อยู่หน้าประตูแล้วพูดว่า “ครั้งหน้าจงทำตนให้สุขุมกว่านี้”
อูิโยวพยักหน้าแล้วเอ่ยรับคำอย่างเร่งรีบ “ท่าน…แม่นางอูไม่ต้องกังวลขอรับ!” เพราะประหม่าเกินไปจึงเกือบทำให้ความแตก
เมื่ออูิหลิงจากไป อูิโยวก็ยกมือขึ้นปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก แล้ววิ่งเข้าไปในห้อง หยิบถ้วยน้ำบนโต๊ะขึ้นมาดื่มหมดในรวดเดียว
“ข้าใแทบแย่!”
“เ้าดื่มน้ำข้า!”
หลิ่วไป๋เจ๋อนั่งอยู่หน้าโต๊ะ กำลังใช้ตะเกียบรับประทานอาหารอยู่ อูิโยวไม่ได้ใส่ใจ แล้วรินน้ำอีกถ้วยวางเอาไว้ข้างมืออีกฝ่าย
“ท่านพี่หญิงไม่ให้เ้ากิน แต่ก็ยังจะกินอย่างนั้นหรือ” ขณะเอ่ยก็หยิบตะเกียบออกจากมือของหลิ่วไป๋เจ๋อ
“อย่าสิ้นเปลือง!”
อูิโยวเหลือบมองแล้วพูดว่า “ใครบอกว่าจะทำให้สิ้นเปลือง ข้าจะกินเองต่างหาก! ข้าก็หิวเหมือนกัน!”
อูิโยวเดินอยู่ในป่าใต้พิภพมาหลายวัน แม้จะกินของป่าประทังหิวแล้วแต่ก็ไม่เคยอิ่มอย่างเต็มที่ ตอนนี้มีของอร่อยอยู่ตรงหน้ามากมาย จะปล่อยให้สูญเปล่าได้อย่างไร
หลิ่วไป๋เจ๋อดื่มน้ำเงียบๆ ฝั่งอูิโยวเปิดหน้ากากเพียง่ปาก หากถอดมันออกจะเสี่ยงนำเื่วุ่นวายมาให้ได้
ไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากนอกประตู ทั้งคู่รู้ว่าอูิหลิงนำข้าวต้มมาให้ อูิโยวจึงรีบยัดข้าวสองคำเข้าปาก กำลังจะไปยืนอยู่ข้างๆ แต่กลับถูกหลิ่วไป๋เจ๋อกดให้นั่งลงที่เดิม
“กินให้หมด!”
“คนรับใช้ทานอาหารโต๊ะเดียวกับผู้เป็นาย คิดว่าท่านพี่หญิงของข้าโง่นักหรือ”
“กินเสีย!”
เมื่อถูกหลิ่วไป๋เจ๋อเอ่ยขัด เขาจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาด้วยท่าทีลังเล
ทันทีที่อูิหลิงเข้ามาก็เห็นภาพเหตุการณ์นี้ หลิ่วไป๋เจ๋อกำลังนั่งดื่มน้ำอยู่ ขณะผู้ทำหน้าที่อารักขารับประทานอาหารอยู่ข้างกาย
อูิหลิงมีสีหน้าไม่พอใจแล้ววางข้าวต้มลงบนโต๊ะอย่างแรง นางไม่ใช่คนไร้มารยาทและไม่ได้เป็คนถือเนื้อถือตัว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับผู้อารักขาของชิงหลิ่วถังผู้โง่เขลาคนนี้ก็ทำให้รู้สึกโกรธมากจริงๆ
ในขณะที่กำลังจะตำหนิ หลิ่วไป๋เจ๋อก็เอ่ยขึ้นก่อนว่า “เขาไม่รู้จักคุณค่าของอาหาร ข้าจึงลงโทษไม่ให้เขากินทิ้งกินขว้าง ให้รับประทานอาหารให้หมด”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ความโกรธของอูิหลิงก็หายไป แต่ก็ค่อนข้างเป็กังวลเกี่ยวกับพฤติกรรมของคนคนนี้ ทว่าแม้แต่หลิ่วไป๋เจ๋อก็ไม่ได้พูดอะไร ดังนั้นนางจึงไม่สามารถเอ่ยอะไรได้มากกว่านี้ นางขยับชามข้าวต้มไปด้านหน้าเขา “กินสิ”
หลิ่วไป๋เจ๋อหยิบช้อนขึ้นมาตักข้าวต้มซดช้าๆ อูิโยวที่อยู่ด้านข้างตัวสั่นด้วยความกลัว ในที่สุดก็รับประทานอาหารจนหมด จึงรีบเก็บจานและวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
สายตาของท่านพี่หญิงเฉียบคมยิ่งกว่ามีด ราวกับจะทิ่มแทงเขาให้ทั่วร่าง
“เ้าทำเขากลัว” หลิ่วไป๋เจ๋อวางช้อนลง เขากินข้าวต้มจนหมดเกลี้ยง เห็นดังนี้ดวงตาของอูิหลิงก็โค้งลงเป็เสี้ยวสวยงาม
“ข้าไม่เคยเห็นเ้าใส่ใจผู้ใต้บังคับบัญชามากเพียงนี้ ไม่เคยได้ยินิโยวพูดถึงมาก่อน ว่าเ้ามีผู้อารักขาแบบนี้ด้วย”
หลิ่วไป๋เจ๋อได้แต่เอ่ยในใจ ผู้อารักขาคนนี้ก็คือน้องชายของเ้านั่นแหละ
ในใจคิดเช่นนั้น แต่ปากกลับเอ่ยอย่างอื่น เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามอย่างไม่แน่ใจ
“เ้าหึงหวงหรือ” คำถามนี้อาจถามด้วยท่าทีจริงจัง แต่เมื่อออกมาจากปากของหลิ่วไป๋เจ๋อก็ทำให้นางมีความสุข
อูิหลิงใจนเกือบทำชามและช้อนหล่น นางรู้ว่าหลิ่วไป๋เจ๋ออาจไม่ได้คิดให้มากความ การที่เขาถามเช่นนี้จึงทำให้นางรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“เ้าเรียนรู้คำพูดเช่นนี้มาจากใครกัน ปกติเ้าไม่พูดแบบนี้สักเท่าไร”
หลิ่วไป๋เจ๋อพยักหน้าเห็นด้วย
“ิโยวสอนข้ามา”
“เ้าเด็กคนนั้นไม่เคยสอนอะไรดีๆ ให้เ้าเลย เอาแต่พูดเรื่อยเปื่อยทั้งวัน เ้าจะไปเรียนรู้จากเขาทำไมกัน คอยดูเถอะ ครั้งหน้าถ้าเจอเขาข้าจะสั่งสอนให้เข็ด!”
อูิโยวที่อยู่ด้านนอกกำลังก้มศีรษะไว้ทุกข์ให้ตนเองล่วงหน้า คุณชายหลิ่วผู้นี้เหตุใดถึงได้ซื่อสัตย์เช่นนี้นะ ครั้งนี้ทำเอาเขาสาหัสเลยทีเดียว
ในเทือกเขาจู่เสียยังมีผู้าเ็อีกมาก ทำให้อูิหลิงไม่สามารถอยู่ได้นานนัก หลิ่วไป๋เจ๋ออยากไปกับนาง แต่ก็ถูกห้ามเอาไว้
“เ้าไม่ใช่หมอ ถึงไปก็ไม่สามารถช่วยอะไร ตอนนี้การรุกรานของเหล่าสัตว์ร้ายสงบลงแล้ว เ้าควรใช้โอกาสนี้พักผ่อนให้เต็มที่ รอให้การรุกรานอีกระลอกมาถึงค่อยออกไปก็ยังไม่สาย”
อูิหลิงเอ่ยอย่างอ่อนโยน หลิ่วไป๋เจ๋อจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ก่อนออกไปนางก็กำชับกับอูิโยวที่อยู่หน้าประตูด้วยความกังวล
ทันทีที่อูิหลิงจากไป อูิโยวก็ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ราวกับคนหมดหวัง
“ข้าไม่เคยรู้เลยว่าท่านพี่หญิงจะจู้จี้จุกจิกได้ถึงเพียงนี้ สตรีเป็แบบนี้ทุกคนหรือไม่”
หลิ่วไป๋เจ๋อยิ้มและไม่พูดอะไร
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ อูิโยวก็โพล่งขึ้น
“ไป๋เจ๋อ ข้าขอโทษ!”
หลิ่วไป๋เจ๋อไม่รู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายต้องขอโทษ จึงรู้สึกแปลกใจ
“เหตุใดต้องขอโทษ”
“เพราะว่า...” อูิโยวไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เห็นได้ชัดว่ารู้สึกไม่สบายใจ แต่เขาก็ไม่รู้จะแสดงออกมาอย่างไร
“เป็เพราะดวงตาของข้าใช่หรือไม่” หลิ่วไป๋เจ๋อพอจะเข้าใจเหตุผล ในป่าใต้พิภพเขาได้ให้อีกฝ่ายมองเห็นโลกจากมุมมองของตน เขาไม่เคยคิดจะให้คนคนนี้รับรู้ว่าสิ่งที่เขาต้องเผชิญนั้นเป็อย่างไร เพราะรู้จักกันเป็อย่างดี อูิโยวเป็ห่วงเขาจากใจจริง จึงไม่อยากทำให้ไม่สบายใจ แต่วันนั้นไม่มีทางเลือก และนั่นอาจกะทันหันเกินไป
“อืม” อูิโยวยอมรับ
เขารู้ว่าตนเองจะต้องเป็เช่นนี้ ก่อนหน้าเคยพยายามปกปิดไว้ เพราะกลัวจะถูกมองว่าใส่ใจคิดมากจนเกินไป แต่ก็อดรนทนไม่ไหว จึงได้เปิดเผยความรู้สึกให้อีกฝ่ายรับรู้เสียแล้ว
หลิ่วไป๋เจ๋อปลอบใจเขาอย่างอ่อนโยน “แม้ว่าโลกของข้าจะมืดมน แต่ก็ไม่ได้เป็อย่างที่คิด เ้าไม่จำเป็ต้องกังวลมากเพียงนั้น ข้าจะผิดสัญญาที่เคยให้ไว้ก่อนหน้าได้อย่างไร”
อูิโยวหัวเราะอย่างมีความสุข “จริงหรือ เ้ายังจำสิ่งที่สัญญากับข้าได้หรือไม่”
หลิ่วไป๋เจ๋อพยักหน้า “ข้าไม่ใช่เ้าสักหน่อย”
ความหมายที่สื่อก็คือเขาซื่อสัตย์ต่อคำพูดของตนมากกว่าิโยวเสียอีก อูิโยวส่งเสียงฮึ่มฮั่มก่อนจะหันไปทางหน้าต่าง ด้านนอกถูกปกคลุมไปด้วยหมู่เมฆดำมืด ไม่อาจมองเห็นท้องฟ้าสีครามได้
“ิโยว”
“หือ?” อูิโยวเหม่อมองออกไปข้างนอก
“เ้าตอบรับคำขอของข้าสักข้อได้หรือไม่”
“คำขอหรือ” ไม่เคยได้ยินหลิ่วไป๋เจ๋อเอ่ยขออะไรกับผู้อื่นมาก่อน วันนี้อีกฝ่ายเป็อะไรกัน
“ข้าแค่หวังว่าเ้า...ช่างมันเถอะ พูดไปก็ไร้ประโยชน์!” หลิ่วไป๋เจ๋อกลืนคำพูดกลับลงไป
อูิโยวเงยหน้ามองแล้วพูดกับเขาว่า “นี่เ้าไปเรียนรู้คำพูดกระตุ้นต่อมความอยากรู้ของผู้อื่นั้แ่เมื่อใด”
“วันนี้!”
“วันนี้หรือ”
“ข้าเรียนรู้มาจากเ้า!”
“ข้าไปสอนเ้าตอนไหนกัน?”
——————————————
