“พี่ฉิงอี้” เสียงร่าเริงของเสี่ยวโหยวดังขึ้นจากด้านหลัง “ข้าเจอเหล้าที่ท่าน้าแล้ว มีเต็มกาเลย”
เหอตังกุยดึงเข็มเงินทั้งหมดออกด้วยมือที่สั่นเทา นางกัดฟันพลางเค้นคำออกจากไรฟัน “ข้าไม่เอาแล้ว เ้าเอาไปเถอะ” เข็มเงินเหล่านี้ถูกเก็บคืนด้วยความเร่งรีบ ทั้งยังไม่ได้วางอย่างเป็ระเบียบ ทำให้ปลายเข็มหลายเล่มที่ยื่นออกมาทิ่มแทงนิ้วของนาง เืค่อย ๆ ซึมจนไหลเปรอะเปื้อนกระเป๋ากำมะหยี่สีดำบรรจุเข็มเงินใบนั้น เส้นประสาทของปลายนิ้วเชื่อมโยงกับหัวใจทว่านางกลับไม่รู้สึกถึงความเ็ป เพียงรู้ว่าร่างกายเหน็บหนาวจนสั่นสะท้าน
“พี่สาวไม่เป็อันใดใช่หรือไม่?” เสี่ยวโหยวรู้สึกถึงความผิดปกติ
สีหน้าของหนิงยวนที่นอนบนพื้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เมื่อครู่พวกเขายังพูดคุยกันดี ๆ ตนพูดอะไรผิดหรือไม่? เหตุใดนางถึงโกรธเช่นนี้? แต่พวกเขาก็เคยพบหน้ากันหลายครั้ง เขาเคยเอ่ยวาจารุนแรงกว่านี้แต่สีหน้าของนางก็ไม่เคยเปลี่ยน อีกทั้งยังไม่เดือดดาลแม้แต่น้อย เพียงใช้วิธีอันชาญฉลาดของนางจัดการกับเขาเท่านั้น นี่คือหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เขาสนใจนางมากขึ้นเรื่อย ๆ ...เกิดอะไรขึ้นกันแน่? นางบอกว่าอยากพบหน้าซ่งโหยวไม่ใช่หรือ? ตนเพียงพูดคล้อยตามนางเท่านั้น เหตุใดจึงกลายเป็เช่นนี้ไปได้?
“สาวน้อย?” หนิงยวนกระซิบถามเสียงเบา “เ้าโกรธข้าหรือ?”
เหอตังกุยสั่นเทาไปทั้งตัว นางไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำใดได้แม้แต่คำเดียว อีกทั้งนางไม่อยากเห็นคนผู้นั้นมากกว่านี้ เหอตังกุยเพียงจัดระเบียบเข็มเงียบ ๆ ก่อนลุกขึ้นลากตัวเสี่ยวโหยวออกจากสวนดอกไม้อันมืดมิดอย่างรวดเร็ว ในหัวคิดเพียงว่ายิ่งไกลเท่าไรยิ่งดี
แม้หนิงยวนจะได้รับาเ็สาหัสแต่ก็ไม่ถึงขั้นลุกจากพื้นเองไม่ได้ เดิมทีเขาสามารถวิ่งตามไปถามนางให้แน่ใจได้ แต่ในใจก็ยังเดาอาการเปลี่ยนจากหน้ามือเป็หลังมือของนางไม่ได้ จึงนอนไม่ยอมลุกเช่นนั้น เพียงมองแผ่นหลังบอบบางที่ค่อย ๆ ห่างไกลไปเรื่อย ๆ ขณะเดียวกันก็ทบทวนบทสนทนาเมื่อครู่ระหว่างพวกเขา นางเริ่มมีสีหน้าเ็าั้แ่เมื่อไรกัน?
ก่อนหน้านี้นางยังอารมณ์ดีจับชีพจรให้เขา บอกให้เขากินยารักษาอาการผิดปกติในร่างกาย ต่อมาเขาสนใจวิชาการแพทย์และศิลปะการชงชาของนาง คล้ายสายตาของนางจะเริ่มเปลี่ยนไปจากบทสนทนานี้ โดยเฉพาะตอนนางได้ยินว่าซ่งโหยวอยู่ที่บ้านของเขา...หรือนางมีเื่บาดหมางกับซ่งโหยว?
ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ ท่าทางเมื่อครู่ของนาง...หากจะบอกว่า “โกรธ” ก็ไม่ใช่ ใช้คำว่า “เกลียดชัง” ยังจะดูเหมาะสมกว่า คนเช่นไร เื่แบบใดที่ทำให้นางเกลียดชังจนร่างสั่นเทาเช่นนี้ได้? เขาเคยเห็นทุกคนในตระกูลหลัวแล้ว บางคนถึงขั้นตบตีนางต่อหน้าธารกำนัล บางคนก็เคยผลักนางตกเขา บางคนรังแกนางทุกวิถีทาง บางคนก็นำผงพิษใส่ร่างของนาง ทว่าเขายังไม่เคยเห็นนางมีท่าทางเกลียดชังถึงเพียงนี้ นี่เป็สีหน้าเ็าที่สุดที่เขาเคยเจอ...คิดไม่ออก คิดไม่ออกจริง ๆ
เหอตังกุยลากเสี่ยวโหยวกลับเรือนเถาเหยา ขณะก้มหน้าก็ยิ้มเยาะบาง ๆ เสียแรงที่นางเป็คนสองชาติภพ ได้เปรียบผู้อื่นในทุกด้าน นึกไม่ถึงว่าแม้จะรู้จักกันมานานแต่ก็ไม่เคยสงสัยเขาแม้แต่น้อย นางเป็คนโง่เง่าที่สุดในใต้หล้านี้แล้ว
ทันใดนั้นเหอตังกุยก็หัวเราะอย่างเ็า นางคิดว่าตัวเองเหนือกว่าทุกคนหลังจากเกิดใหม่ แต่กลับไม่เอะใจบุรุษที่ขึ้นชื่อว่า “มีสัตว์ร้ายสิงในร่างกาย” นางโง่ที่สุดในโลกจริง ๆ
ใครจะใส่ถุงหอมอำพันทะเลทุกวัน ใครจะวางอำพันทะเลไว้ข้างหมอน? ใครจะมีทักษะการปลอมตัวที่ยอดเยี่ยม? แล้วใครจะสามารถขอให้ไป๋หยางไป่ทำหน้ากากให้เฟิงหยางตัวปลอมได้? ในบรรดาองค์ชายและหลานชายของฮ่องเต้ทั้งหมด ใครจะอยากอยู่กับใบหน้าปลอม ๆ และเสียงปลอม ๆ ตลอดวัน? มีเพียงเขาเท่านั้น...มีเพียงจูฉวนเท่านั้นที่ทำเช่นนี้เพื่อเส้นทางสู่ตำแหน่งฮ่องเต้
ใช้ไม่ได้เสียจริง คิดไม่ถึงว่าจูฉวนจะเก่งวรยุทธ์เพียงนี้ ตอนนี้เขาอายุเพียงสิบห้าปีแต่วิชาตัวเบาสามารถเทียบเท่าเกาเจวี๋ยได้ เขาสามารถต่อสู้กับต้วนเสี่ยวโหลวทั้งที่มีอาการาเ็ภายใน ทั้งยังแทงมือของต้วนเสี่ยวโหลวจนาเ็อีก นางสามารถจินตนาการได้ว่าวรยุทธ์ของจูฉวนโดดเด่นมากเพียงใดหลังผ่านไปห้าปี สิบปีและสิบห้าปี
ถึงอย่างไรชาติที่แล้วนางก็เคยติดตามเขาถึงสิบสี่ปี ทำเื่ลับให้เขาทุกประเภท วางแผนให้เขาทุกรูปแบบ เพื่อให้เขาสามารถแข่งขันกับฮ่องเต้ฮุ่ยตี้และอ๋องเหยียนได้ จนทำให้อำนาจของพวกเขาลดลงกลายเป็อ๋องเสียน นางในวัยยี่สิบสองปีต้องยอมสูญเสียลูกที่มีอายุครรภ์เพียงสี่เดือนเพื่อปกป้องเขา เมื่ออายุยี่สิบแปดก็ให้กำเนิดบุตรสาวจูอวี้เทียน นางคิดเสมอว่านางคือคนที่เขาไว้ใจและรักมากที่สุด จนกระทั่งถึงวันที่นางตายก็ยังไม่เคยรู้ว่าเขามีวรยุทธ์สูงส่งถึงเพียงนี้
แม้ชาติที่แล้วจูฉวนจะเข้าออกสนามฝึกและหออู่อิงบ่อยครั้ง แม้จะเข้าสนามรบสังหารศัตรูและท่องยุทธภพ แต่วรยุทธ์ที่เขาแสดงออกต่อหน้าทุกคนรวมถึงนางก็ยังไม่ถึงสามส่วนของ “หนิงยวน” ชายหนุ่มวัยสิบห้าปีผู้นี้เลย อีกทั้งเมื่อเขาไปที่ใดก็มักพาเหล่าองครักษ์ไปคุ้มกันด้วย เื่ทั้งหมดนี้คงเป็เพียงกลอุบายปกปิดพลังที่แท้จริงเท่านั้น
ร่างกายของเหอตังกุยสั่นเทาอีกครั้ง ก่อนเอื้อมมือกอดแขนเสี่ยวโหยวเพื่อรับความอบอุ่น
หากจูฉวนมีวรยุทธ์เช่นนี้ ตอนที่เขาอายุยี่สิบสองปี นางคงไม่ต้องเอาตัวเองไปบังดาบเล่มนั้นให้เขาอีกแล้ว เพื่อซ่อนความสามารถ เพื่อไม่ให้ใครรู้ถึงวรยุทธ์ที่แท้จริง เขาถึงขั้นยอมให้นางพุ่งไปรับดาบแทน ถึงขั้นมองดูท้องของนางถูกทิ่มแทง เหอตังกุยจำได้ว่าร่างลูกชายและลูกสาวหลุดออกจากร่างของนาง ท้ายที่สุดลูกน้อยก็เข้าไปอยู่ในโลงไม้เล็ก ๆ ตอนนั้นจูฉวนเพียงกะพริบตาเพราะรู้สึกผิด ทว่าความรู้สึกผิดนั้นคล้ายจะมีอยู่เพียงเล็กน้อย เหอตังกุยเดือดดาลจนร่างสั่นเทา นางอยากะโระบายความเ็ปให้ลูกชายและลูกสาวที่ไม่มีโอกาสลืมตาดูโลก
เสี่ยวโหยวตบไหล่เหอตังกุยด้วยความร้อนใจพลางเอ่ยถาม “พี่สาวไม่สบายหรือ? ให้ข้าแบกเ้าไปรับยาที่โรงยาดีหรือไม่? ข้าค่อนข้างคุ้นเคยกับที่นั่น”
ทันใดนั้นเหอตังกุยก็ร่ำไห้น้ำตาไหลเป็สาย ก่อนเงยหน้ามองชายหนุ่มผู้โง่เขลา ชาติก่อนนางมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายอันน่าเวทนาของเขา ซ้ำร้ายเขายังถูกโบยร่างไร้ลมหายใจ ผู้ที่ทำเช่นนั้นคือจูฉวน... นางเห็นแก่ตัวยิ่งนัก...หากนางไม่ลุ่มหลงในตัวจูฉวนก็คงไม่มีทางยอมช่วยเหลือเขาจนทำให้เสี่ยวโหยวต้องตาย ไม่มีทางยอมช่วยจูฉวนปกปิดความลับจนทำให้คนชั่วผู้นั้นโบยร่างไร้ลมหายใจของเสี่ยวโหยวหลายวัน
ลูกทั้งสามที่น่าสงสาร เสี่ยวโหยวที่น่าสงสารและตัวนางที่น่าสงสาร
เหอตังกุยไม่สามารถแบกรับความเศร้าโศกในใจได้อีกต่อไป พลันโผกอดเสี่ยวโหยวก่อนร้องไห้ ความรักของนางเริ่มต้นด้วยความหวังและจบลงด้วยความสิ้นหวัง หลังหัวใจของนางตายด้านก็ไม่มีความคาดหวังใดในตัวคนผู้นั้นอีกต่อไป
มันเป็ระยะทางที่ไกลที่สุด เป็ค่ำคืนของฤดูใบไม้ร่วงที่หนาวที่สุดและเป็ความทรงจำที่เ็ปที่สุด จูฉวนทรยศหักหลังนาง นางต้องสูญเสียมากเท่าไรเพื่อจูฉวนเพียงคนเดียว แม้นางจะกลับชาติมาเกิดอีกครั้งก็ยังต้องพบเขา นางจะเผชิญหน้ากับลูกน้อยทั้งสามที่มักปรากฏตัวในความฝันได้อย่างไร? นางจะเผชิญหน้ากับพี่ชายโง่เง่าที่นางติดค้างเขามากมายเพียงนี้ได้อย่างไร? แล้วนาง...จะรักษาหัวใจที่แตกสลายดวงนี้ได้อย่างไร?
ทั้งหมดนี้...จูฉวนเป็หนี้นาง นางจะทำให้เขาคืนทุกสิ่งทุกอย่างให้นางและเขาต้องชดใช้ด้วยชีวิต!
ทันใดนั้นเหอตังกุยก็หยุดร้องไห้ ก่อนเงยหน้ามองเสื้อเปียกชุ่มของเสี่ยวโหยวเงียบ ๆ ตอนนี้ร่างกายของจูฉวนได้รับาเ็หนัก เขาไม่ระวังตัวแม้แต่น้อย ตอนนี้เป็โอกาสที่ดีที่สุดที่จะสังหารเขา หากพลาดก็จะไม่มีโอกาสแก้แค้นอีกแล้ว
……
หิมะโปรยปรายทั่วท้องฟ้า เกล็ดหิมะกระจายเหมือนเกลือลอยเคว้งคว้างในอากาศ ระหว่างพื้นดินและท้องฟ้าเป็สีขาวเงิน ทันใดนั้นเหยี่ยวตัวหนึ่งก็สลัดหิมะบนร่างก่อนโบยบินสู่ท้องฟ้า ชั่วพริบตาก็เหลือเพียงเงาเลือนราง
ที่นี่คือูเาฉางไป๋ซึ่งเป็ที่ที่หิมะไม่มีวันละลาย บรรยากาศเงียบงันตลอดทั้งปี แต่กระนั้นก็ไม่มีใครจินตนาการได้ว่าในสถานที่ที่เต็มไปด้วยหิมะนี้จะมีสตรีเด็กห้าคนกำลังปีนเขา พวกนางหยุดเดินเนื่องจากเส้นทางยากลำบากเกินไป ทำให้ผู้คนอดร้อนใจแทนสตรีเด็กเหล่านี้ไม่ได้
เมื่อมองอย่างละเอียด เด็กหญิงทั้งสี่มวยผมแบบสาวใช้ ขณะที่ทรงผมของหญิงสาวข้างหน้าแปลกประหลาดที่สุด ผมยาวของนางมัดเป็หางม้ายาวด้านหลังศีรษะอย่างเรียบง่าย ขณะเดินผมหางม้าก็จะแกว่งไกวไปมา ปลิวปรกใบหน้าเด็กสาวผู้มีทรงผมคล้ายสาวใช้ที่เดินอยู่ด้านหลัง เมื่อสาวน้อยผมหางม้าเงยหน้ามองท้องฟ้าก็พบว่าสว่างมากแล้ว จึงปรบมือให้สาวใช้สี่คนด้านหลังแล้วกล่าว “เร็วเข้า อย่ามัวชักช้า มา ๆ ทุกคนวิ่งไปบนูเา เมื่อถึงที่นั่นข้าจะเลี้ยงขาหมูตุ๋นน้ำแดง”
จินเจียกล่าว “คุณหนู ท่านชอบโกหกผู้คนเสียจริง ขาหมูตุ๋นน้ำแดงหาได้จากร้านอาหารในเมืองตงกวาที่ตีนเขาเท่านั้น บนยอดเขาไม่มีขาหมูตุ๋นน้ำแดงสักจาน หากมีก็คงประหลาดไม่น้อย”
อิ๋นอี้กล่าวอย่างเหนื่อยล้า “คุณหนู อย่าว่าแต่วิ่งเลยเ้าค่ะ ตอนนี้เดินก็ยังเดินไม่ไหว”
มั่นปิงโบกมือพลางกล่าว “อิ๋นอี้ เ้าอย่าพูดไร้สาระ ที่นี่ไม่ใช่ที่พักผ่อน ทั้งหนาวทั้งแฉะ มีเสือ หมาป่า แมลงมีพิษและงูพิษทั่วูเา”
จู่ ๆ เน่ยติงก็ะโ “กรี๊ด มีงูพิษ” ขณะร้องะโก็ชี้ไปยังที่ที่ไม่ไกลนัก
อีกสี่คนพลันมองโดยรอบก่อนเห็นงูตัวใหญ่สีสันสวยงามเลื้อยพลางอ้าปากแลบลิ้นราวยิ้มให้กับอาหารรสเลิศที่ส่งมาถึงที่ แน่นอนว่ามันมีกำลังพอจะท้าทายเด็กสาวเหล่านี้ ไม่ได้มีเพียงเขี้ยวแหลมคมในปาก แต่ยังมีความสูงถึงครึ่งหนึ่งของคนเมื่อชูคอ ส่วนที่หนาที่สุดกลางลำตัวงูนั้นก็ใหญ่กว่าแขนของมนุษย์
“อย่าขยับ” สาวผมหางม้าพูดอย่างใจเย็น “เมื่อเห็นงูต้องห้ามขยับ เพราะการเคลื่อนที่จะทำให้งูััตำแหน่งของเหยื่อได้ อันที่จริงสายตาของงูไม่ดีและไม่ว่องไวต่อเป้าหมายเคลื่อนไหวเช่นกบ” เป็ผลให้สาวใช้สี่คนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ราวถูกกดจุดฝังเข็มก็ไม่ปาน
อิ๋นอี้กล่าวอย่างกังวล “คุณหนู ตอนท่านพูดเมื่อครู่ปากท่านขยับจะไม่เป็อันใดหรือเ้าคะ?” ทันทีที่พูดจบงูก็เข้าใกล้พวกนาง หัวของมันขยับไปมาพลางแลบลิ้น
“เ้าโง่หรือไร?” สาวผมหางม้าพูดด้วยความหงุดหงิด “ข้าบอกแล้วว่าอย่าขยับ ตอนพูดปากก็ห้ามขยับ...เ้าดูนี่” สาวใช้สี่คนเหล่ดูนาง เป็จริงดังคาด ขณะพูดด้านในปากของนางขยับ พยายามออกเสียงชัดเจนที่สุดเท่าที่จะทำได้ผ่านการกระดกและขยับลิ้นขณะที่ริมฝีปากขยับเพียงเล็กน้อย ทันใดนั้นสาวใช้ทั้งสี่ก็ส่งเสียง “อ้อ...”
เมื่อคุณหนูผมหางม้าพอใจก็เผยรอยยิ้มเปล่งประกายแข็งกระด้าง ก่อนเล่าความรู้เกี่ยวกับงูต่อ “งูไวต่อสีแดงมากกว่าสีอื่น ดังนั้นเมื่อปากของอิ๋นอี้ขยับจึงดึงดูดให้งูตัวนั้นเข้ามา ดูจากลวดลายของงูตัวนี้ มันเป็งูพิษแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ หากเ้าถูกงูตัวนี้กัดต้องได้รับเซรุ่มแก้พิษงูทันที ไม่เช่นนั้นก็จบเห่” เหล่าสาวใช้ได้ยินดังนั้นก็ส่งเสียง “อ้อ” คุณหนูช่างมีความรู้มากมายจริง ๆ ทว่าคำพูดของนางฟังยากนัก “ไว ร้อยเปอร์เซ็นต์ เซรุ่มแก้พิษงู” หมายความว่าอย่างไร ฟังไม่เข้าใจสักนิดแต่กลับทำให้คนรู้สึกว่านางยอดเยี่ยมมาก
มั่นปิง “พูดไม่ขยับปาก” เหมือนคุณหนู “พวกเราต้องยืนนิ่งเช่นนี้ไปตลอดหรือ? ฟ้าใกล้จะมืดแล้วนะเ้าคะ”
“วางใจเถอะ” คุณหนูพูดด้วยความมั่นใจ “ข้าเตรียมตัวนานแล้ว” สิ้นเสียงก็ทุบไม้ค้ำในมือลงบนน้ำแข็ง ผิวไม้ด้านนอกลอกออกพลันมีร่มโผล่ออกมาอย่างคาดไม่ถึง นางกางร่มอย่างรวดเร็วก่อนค่อย ๆ เข้าใกล้งูพิษ ขณะเดียวกันนก็หัวเราะเสียงดังอย่างมีชัย “ฮ่า ๆ พวกเ้าคิดว่าข้าจะไปูเาฉางไป๋โดยไม่เตรียมตัวกระนั้นหรือ?”
สมเป็คุณหนู สาวใช้ทั้งสี่โห่ร้องให้กำลังใจอย่างพร้อมเพรียงพลันวิ่งไปหลบภัยหลังคุณหนู ในมือคุณหนูถือ “ร่ม” เดินเข้าหางูพิษช้า ๆ ร่มของนางทำจากผ้าชนิดพิเศษ เหนียวเหมือนผ้ากันฝน ตราบใดที่งูอยู่ใต้ร่มและช่วยกันเหยียบมัน งูตัวนั้นต้องตายแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังนั้นสวยงามแต่ความจริงกลับโหดร้าย แม้ผ้าร่มอาจแข็งแรงมากแต่ปลายร่มยังไม่แข็งแรงพอ เพียงลมพัดระลอกหนึ่งก็ทำให้ส่วนหน้าของร่มหลุดร่วง เหลือเพียงด้ามเท่านั้น คนทั้งห้าต่างเบิกตากว้าง เมื่อพวกนางยอมรับความจริงว่า “ร่มพิทักษ์หายไป” งูพิษตัวใหญ่ก็อยู่ห่างจากพวกนางเพียงสามก้าวเท่านั้น
จินเจียมองคุณหนูด้วยน้ำตาพลางกล่าว “ฮือ ๆ ๆ คุณหนูโกหกพวกข้าอีกแล้ว คราวนี้พวกเราตายกันหมดแน่”
อิ๋นอี้เอ่ยถาม “เอาล่ะคุณหนู คราวนี้พวกเราขยับริมฝีปากได้หรือยัง? จะขยับไม่ขยับมันก็มองเห็นพวกเราแล้ว”
มั่นปิงเล่าถึงชีวิตของนาง “เมื่อข้าอายุสามขวบก็สูญเสียพ่อ จากนั้นก็เสียแม่ตอนอายุสี่ขวบ เมื่ออายุห้าขวบก็กลายเป็สาวใช้ตระกูลเลี่ยว หลายสิบปีที่ผ่านมาข้าเก็บเงินได้หกตำลึง ข้าไม่ได้ใช้เงินก้อนนั้น ซ้ำยังไม่ได้ออกเรือน ข้าไม่ยอมนะ”
ติงเน่ยร้องห่มร้องไห้พลางะโ “กรี๊ด...งูพิษ”
งูตัวนั้นแลบลิ้นยาวสีแดงแสดงรอยยิ้มของผู้ชนะ ลำตัวส่วนหน้าเลื้อยไปข้างหน้า เล็งเขี้ยวไปทางมั่นปิงที่เพิ่งพูดจบเมื่อครู่
ไม่นาน ด้วยเสียงดังอู้อี้ชวนอึดอัดใจ ลำตัวยาวของมันก็ตั้งตรงก่อนปลิวสู่ท้องฟ้าด้วยท่าทางงดงามพลันหายจากเส้นสายตาของคนทั้งห้า เอ๊ะ มันคืออะไร? ก่อนงูพิษจะกินคนต้องเต้นก่อนหรือ? คุณหนูผู้นั้นเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อพลันอุทาน “ร้ายกาจมาก ที่แท้งูก็บินได้ ข้าไม่เคยฝึกสัตว์ในโลกนี้มาก่อน” คนทั้งห้ามองหน้ากันเป็เวลานานก่อนพบว่าชีวิตน้อยทั้งห้ารอดพ้นจากปากงูอย่างหวุดหวิดในเวลาเพียงชั่วพริบตา
สาวใช้ทั้งสี่ร้องไห้ดีใจ “อ๊ะ...พวกเรารอดแล้ว ที่แท้ก็เป็ทวยเทพที่นำงูตัวนั้นออกไป ฮือ...”
พวกนางเห็นเพียงงูตัวใหญ่ดิ้นไปมากลางอากาศ ในที่สุดก็ร่วงลงหลังต้นหยางแก่ที่ตายแล้ว หลังได้ยินเสียง “กึก ๆ ” ราวเสียงกระดูกข้อต่อ ทันใดนั้นชายชุดดำก็เดินออกจากหลังต้นไม้ หิ้วงูร่างนุ่มเสมือนผ้าพลางร้องะโ “เสียงดังน่ารำคาญจริง ๆ หุบปากให้หมด”
สาวใช้ทุกคนหุบปากอย่างว่าง่าย ชายชุดดำเงยหน้าพินิจมองพวกนางทั้งห้าก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงดุดัน “ใครคือเลี่ยวชิงเอ๋อร์?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้