“อ้อ? เช่นนี้เองหรือ! หมายความว่าแม้พวกเราจะร่วมทำพันธสัญญากับมิติวิเศษแล้ว แต่กลับเป็ร่างกายเดี่ยวที่แยกกัน เข้าจากที่ใดก็ทำได้เพียงออกมาที่นั่นใช่หรือไม่เ้าคะ?” เคอโยวหรานคาดเดา
ต้วนเหลยถิงพยักหน้า โอบกอดเคอโยวหรานให้แน่นกว่าเดิมอีกเล็กน้อย “น่าจะเป็เช่นนี้ ดังนั้นข้าจึงมิอาจกลับเรือนผ่านช่องทางของเ้าได้แม้แต่นิด มิสู้เ้าลองดูสักหน่อย ว่าจะมายังกระโจมที่ข้าพักผ่านช่องทางของข้าได้หรือไม่?”
เคอโยวหรานพยักหน้าก่อนแทรกกายออกจากมิติพร้อมกับต้วนเหลยถิง ทว่าเคอโยวหรานกลับมาโผล่ในห้องของพวกเขาแทน
ต้วนเหลยถิงยังคงทำได้เพียงกลับไปยังกระโจม ยามนี้คนทั้งสองต่างมั่นใจแล้วว่าแม้พวกเขาจะมีมิติวิเศษร่วมกัน แต่กลับมิอาจออกไปข้างนอกผ่านช่องทางของอีกฝ่าย ทำได้เพียงย้อนกลับไปทางเดิมของตนเอง
คนทั้งสองแทรกกายเข้ามาในมิติพร้อมกัน เคอโยวหรานอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของต้วนเหลยถิงแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงละมุนว่า
“ซานหลาง พวกเราอยู่ห่างกันคนละแห่งหน แต่กลับสามารถมาพบหน้ากันในมิติวิเศษแห่งนี้ได้ เพียงเท่านี้ข้าก็รู้สึกมีความสุขมากแล้วเ้าค่ะ พวกเราอย่าคาดหวังสูงจนเกินไปดีหรือไม่เ้าคะ?”
ต้วนเหลยถิงไม่มัวคิดยุ่งเหยิงต่ออีก ขอเพียงได้พบโยวหรานเป็ครั้งคราว เขาก็พึงพอใจมากแล้ว
ทว่าเมื่อนึกถึงท่าทีบีบบังคับขู่เข็ญผู้อื่นของหยวนซื่อ ต้วนเหลยถิงพลันเอ่ยด้วยความขุ่นเคืองว่า
“โยวหราน ข้าขอให้คำมั่นกับเ้าว่า เื่ที่พี่สะใภ้ใหญ่บีบบังคับจนเ้ามิอาจแก้ต่างเช่นเมื่อครู่จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกในภายหน้า
รอกระทั่งข้ากลับไปยังเรือน ย่อมอธิบายกับท่านแม่ให้ชัดเจน จะไม่ทำให้เ้าต้องลำบากใจ
จำเอาไว้ว่าไม่ว่าจะเกิดเื่ใดขึ้น จะมีสามีคอยแบกรับแทนเ้า อยากทำสิ่งใดจงทำเป็พอ ข้าคือกำลังสนับสนุนอยู่เื้ัที่แข็งแกร่งที่สุดของเ้า”
“อืม ได้เ้าค่ะ!” เคอโยวหรานพลันยกยิ้มหวาน
บุรุษผู้นี้ช่างอบอุ่นยิ่งนัก แม้จะเป็ความกล้ำกลืนเพียงเล็กน้อยก็ยังไม่ยอมให้ตนต้องทนรับ เมื่อมีคนผู้นี้คอยปกป้อง ไม่ว่าจะทำสิ่งใดล้วนแต่มีความสุข
ต้วนเหลยถิงอุ้มเคอโยวหรานในท่าองค์หญิงแล้ววางนางลงบนเตียงอย่างเบามือ ห่มผ้าให้นางเรียบร้อยก่อนจะแทรกกายเข้าไปเอนตัวลงนอน
หลังจากพบเจอเื่นี้ ต้วนเหลยถิงยังคิดเผื่อชื่อเสียงของเคอโยวหราน ไม่กล้ากระทำการใดเกินเลย ทำได้เพียงโอบกอดเคอโยวหรานเข้านอนอย่างเงียบเชียบ
เพราะถึงอย่างไรในสายตาของทุกคน ตนก็เดินทางออกไปข้างนอกแล้ว มิได้อยู่ข้างกายเคอโยวหรานแต่อย่างใด
หากทำอันใดกับเคอโยวหรานในมิติวิเศษ พวกเขาย่อมรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่คนข้างนอกกลับไม่รู้
ถ้ายังมีคนสงสัยในตัวโยวหรานเช่นหยวนซื่อ เช่นนั้นต้วนเหลยถิงคงได้ปวดใจอย่างยิ่งยวด
บางครั้งการนอนข้างกายกันอย่างเงียบเชียบก็คือความสุขประการหนึ่ง ในอ้อมแขนของต้วนเหลยถิง เคอโยวหรานรู้สึกปลอดภัยอย่างน่าประหลาด ไม่นานนักก็หลับใหลไปเสียแล้ว
ครั้นได้ยินเสียงลมหายใจยาวและแ่เบาของเคอโยวหราน ต้วนเหลยถิงจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น ชายหนุ่มช่วยเกลี่ยกลุ่มผมบนหน้าผากของอีกฝ่ายอย่างเบามือ
ขณะจดจ้องใบหน้าอ่อนเยาว์ยามหลับใหลของเคอโยวหราน ช่างราวกับถูกจิติญญาของแม่นางน้อยผู้นี้ดึงดูดเข้าไป
สายตาของเขาไล่ต่ำลง จดจ้องร่องรอยม่วงช้ำเ่าั้บนผิวที่แต่เดิมขาวเนียนแล้วนึกแค้นเคืองที่ไม่ควบคุมตนเองให้ดี
ต้วนเหลยถิงหยัดกายลุกขึ้นจากเตียงอย่างแ่เบา หลังจากไปเอาของเหลวสีขาวมาจากหินย้อยเป็จำนวนไม่น้อยก็ช่วยทาลงบนรอยม่วงช้ำบนกายของเคอโยวหรานอย่างเบามือ
เมื่อเห็นร่องรอยบนกายของนางเลือนหายไปด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ต้วนเหลยถิงก็ลอบคิดแผนการในใจว่า :
จะต้องรีบจัดแจงเื่ราวทางฝั่งเขาเหลียนอู้ให้เรียบร้อย ตนต้องรีบกลับเรือนโดยเร็ว ต้องไปพบหน้าอินจิ่วผู้นั้นสักหน่อย
ศิษย์พี่อันใดนั่นช่างน่ารังเกียจที่สุด ขอเพียงเป็ผู้ที่คิดจะแย่งภรรยาของเขา เช่นนั้นล้วนต้องถูกสกัดขาให้หมด
......
อินจิ่วที่ไม่ต่างกับไก่ตกน้ำกลับมาถึงบ้านสวนจื่อจิน ทั้งยังเกือบจะถูกผู้ใต้บังคับบัญชาของตนจับกุมตัวเอาไว้เพราะคิดว่าเป็มือสังหาร
“ข้าเอง พวกเ้าล้วนออกไปให้หมด” อินจิ่วร้องตะคอก
เหล่าผู้คุ้มกันพากันสะดุ้งโหยง ครั้นมองให้ชัดเจนจนเห็นว่าเป็อินจิ่ว เหลิ่งเถิงก็ใกลัวจนโงนเงนถึงขั้นคุกเข่าลงกับพื้นทันที
“นายท่าน ยามดึกดื่นไม่หลับไม่นอน ท่านไปอาบน้ำในแม่น้ำมาหรือขอรับ?”
ขู่เถิงเอาเสื้อคลุมกันลมมาให้อินจิ่วหนึ่งตัว ก่อนเอ่ยอย่างอัดอั้นตันใจด้วยความสงสัยว่า “นายท่านมีนิสัยสวมใส่เสื้อผ้าอาบน้ำั้แ่เมื่อใดกันขอรับ?”
“ไสหัวออกไป...” อินจิ่วพลันโมโหถึงขีดสุด
ขู่เถิงสะดุ้งโหยงด้วยความใ เกือบจะเข่าอ่อนจนต้องคุกเข่าลงกับพื้นเสียแล้ว
อินจิ่วถีบลงบนบั้นท้ายของขู่เถิงด้วยความขุ่นเคือง “ยังไม่รีบไปเตรียมน้ำอาบอีก”
ขู่เถิงไม่กล้ารีรอ พลันวิ่งกุลีกุจอหายไปจนไร้เงา ภายในใจยังลอบคาดเดาว่า :
นายท่านถูกศิษย์น้องหญิงลอบทำร้ายมาหรือ? นางช่างเก่งกาจนัก ใต้หล้านี้ผู้ที่กล้าลอบทำร้ายนายท่าน นับว่าศิษย์น้องหญิงถือเป็คนแรกทีเดียว
อินจิ่วอาบน้ำเจ็ดถึงแปดครั้งจนแทบจะลอกหนังออกมาหนึ่งชั้น จึงค่อยรู้สึกว่าสบายกายขึ้นมาบ้าง
เคี่ยวกรำเช่นนี้จนกระทั่งฟ้าสาง อินจิ่วถึงได้เตรียมตัวเข้านอน
ทว่าเพิ่งจะเอนกายนอนลง เหลิ่งเถิงพลันวิ่งเข้ามาในห้องอย่างรีบร้อนแล้วคุกเข่าลงหนึ่งข้างเอ่ยรายงานว่า
“เรียนนายท่าน ทางฝั่งเมืองหลวงสืบพบร่องรอยของแผนที่หนึ่งแผ่นแล้วขอรับ ขอนายท่านโปรดมอบคำสั่ง”
อินจิ่วพลันกระเด้งกายลุกขึ้นนั่ง ออกคำสั่งทันใดว่า “เตรียมรถม้าออกเดินทางทันที ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจปล่อยให้แผนที่หลุดรอดไปจากซอกนิ้วของข้าอีกเป็อันขาด”
ในที่สุดก็มีข่าวคราวเสียที เขาไล่ตามหาแผนที่มาห้าถึงหกปีแล้ว กระจายกำลังคนและกำลังทรัพย์ไปไม่น้อย ทุกครั้งที่พบข่าวคราวอันน้อยนิด รอกระทั่งไปถึงต้นตอกลับขาดหายไปอีกเสียได้
จวบจนยามนี้ แผนที่ทั้งห้าแผ่น เขากลับหาไม่พบแม้แต่แผ่นเดียว สิ้นเปลืองแก้วแหวนเงินทองไปตั้งไม่น้อย ทว่าคลาดกับแผนที่ไปเสียทุกครั้ง
การต้องหาแผนที่ทั้งห้าแผ่นให้ครบนับเป็เื่ที่ยากจนเกินไป แต่ไม่ว่ายากเย็นแสนเข็ญเพียงใดก็ยังต้องหาต่อ ขอเพียงหาแผนที่ทั้งห้าแผ่นพบ ถึงจะสามารถไขความลับที่สืบทอดกันมานับแต่โบราณของสำนักแพทย์พิษ และล่วงรู้ได้ว่าแท้จริงแล้วในแผนที่เก็บซ่อนขุมทรัพย์เอาไว้มากน้อยเพียงใด
ทั้งยังมีกองทัพลับในตำนานอีกด้วย สิ่งเหล่านี้จำต้องรวบรวมแผนที่ให้ครบจึงจะสามารถคลี่คลายได้
หากอินจิ่วล่วงรู้ว่าสิ่งที่เขาย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพานกลับอยู่ในมือของเคอโยวหรานถึงสองแผ่น ก็ไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึกเช่นไรบ้าง?
ณ นอกบ้านสวนจื่อจิน
ขณะรถม้าเตรียมออกเดินทาง อินจิ่วพลันนึกบางสิ่งขึ้นได้แล้วรีบเอ่ยกำชับหนึ่งประโยคว่า “ขู่เถิงรั้งอยู่ที่นี่ หากศิษย์น้องหญิงของข้าได้รับความกล้ำกลืนแม้เพียงนิด ข้าจะมาไต่สวนเ้า”
ขู่เถิงที่ขาข้างหนึ่งเหยียบขึ้นอานม้าพลันชักขากลับอย่างน้อมรับคำสั่ง จากนั้นมองรถม้าเริ่มเคลื่อนตัวไกลออกไปเรื่อยๆ อย่างจนปัญญาแล้วคิดในใจว่า :
นายท่านต้องตาศิษย์น้องหญิงของตนเองแล้วกระมัง? แต่นายท่านไม่คิดว่าสายเกินไปสักหน่อยหรือ? ศิษย์น้องหญิงออกเรือนไปแล้ว เขาเข้าไปแทรกกลางผู้อื่นนับว่าเป็เื่เช่นไรกัน?
......
ครั้นฟ้าสว่าง เคอโยวหรานค่อยๆ รู้สึกตัว นางพบว่าข้างกายได้ว่างเปล่าไปนานแล้ว จึงพยายามััความเคลื่อนไหวด้านนอกมิติวิเศษโดยละเอียด
นางรู้สึกได้ว่าทางฝั่งที่ต้วนเหลยถิงออกไปเงียบสงัดยิ่งนัก เคอโยวหรานคิดว่าในเวลาเช่นนี้ เขาน่าจะเริ่มออกเดินทางแล้วกระมัง!
เป็ดังที่เคอโยวหรานคิดจริงๆ พวกต้วนเหลยถิงเริ่มเก็บข้าวของั้แ่ฟ้ายังไม่สาง จากนั้นกินอาหารแห้งเตรียมถอนค่ายออกเดินทาง
ม่านหมอกยามเช้าของเขาเหลียนอู้หนาทึบ ทัศนวิสัยต่ำยิ่งนัก ต้วนเหลยถิงพยายามััถึงสภาพแวดล้อมรอบกาย เมื่อััได้ว่าที่นี่ไร้กลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตจึงอดขมวดคิ้วมิได้
หรือว่าไม่จำเป็ต้องมีคนคอยเฝ้าผู้ที่อยู่บนเขาเอาไว้?
ต้วนเหลยถิงเอ่ยวิเคราะห์ให้ทุกคนฟัง “เขาเหลียนอู้ไม่มีคนคอยเฝ้าระวัง สิ่งที่ข้าคาดเดามีทั้งหมดสามประการ
ประการแรก คือกลไกบนเขาแยบยลยิ่งนัก พวกเราไม่จำเป็ต้องคอยเฝ้าระวัง ครอบครัวของพวกเ้าไม่มีโอกาสผ่านค่ายกลเพื่อลงเขาแม้แต่นิด
ประการที่สอง พวกเขาได้ขนย้ายผู้คนบนเขาไปยังที่อื่นหมดแล้ว ที่นี่ไม่มีใครอยู่อาศัย
ประการที่สาม คือสิ่งที่พวกเราทุกคนไม่อยากยอมรับ นั่นก็คือครอบครัวของพวกเ้าทุกคนได้...”