วัดตงหวาที่ตั้งอยู่บนเขาชูอวิ๋น ส่วนด้านล่างของวัดตงหวาคือสำนักจีเหรินจาย
เมื่อมาถึงสำนักจีเหรินจายพระอาทิตย์เกือบจะตกดิน ตลอดการเดินทางต้องหยุดเป็พักๆ เพราะมีคนาเ็อยู่ด้วย นอกจากชิงอีแล้ว ทุกคนต่างเหนื่อยล้าจนเหงื่อโทรมกาย
สำนักจีเหรินจายถือว่าไม่ใหญ่มากนัก ด้านหน้าเป็ห้องโถงที่ใช้เป็ซ่านถาง ส่วนด้านในเป็ลานที่มีทางเข้าแค่สามทาง
เมื่อชิงอีและพวกเขามาถึงก็มีสามเณรน้อยหลายรูปออกมาต้อนรับชิงอี
ทว่า ผู้นำกลับเป็ชายร่างผอมบางที่มวยผมในชุดสามัญชนธรรมดา
“คารวะท่านผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายขอรับ ข้าน้อยมีนามทางธรรมว่าวั่งจี เชิญท่านเข้าไปข้างใน” เขาเอ่ยปากชวนให้เข้าไปนั่งข้างในทันที โดยไม่รอให้ชิวอวี่แนะนำตัวเองเลยซึ่งนี่ค่อนข้างน่าแปลกใจเล็กน้อย
ชิงอีมองวั่งจีเป็เวลานาน จนวั่งจีสังเกตเห็นว่านางกำลังมองตัวเองอยู่จึงพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับส่งยิ้มเป็มิตร ชิงอีมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วเบนสายตาไป
จากบทสนทนาระหว่างชิวอวี่กับองค์หญิงที่เนินเขา ชิวอวี่จึงระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ส่วนชิงอีกลับสงบเสงี่ยม
เพียงแค่ก้าวเท้าข้ามธรณีประตู ชั่วพริบตาชิงอีก็เลิกคิ้วขึ้นก่อนจะกลับไปสงบเสงี่ยมอีกครั้ง แล้วยังคงปล่อยให้วั่งจีนำทางเข้าไปข้างใน
ด้านวั่งจีที่หันมามองชิวอวี่ซึ่งอยู่ใกล้ๆ จึงบังเอิญสบตากับชิวอวี่ที่มองอยู่พอดิบพอดี วั่งจีสะดุ้งเล็กน้อยก่อนยิ้มอย่างอ่อนโยนและทันทีที่หันหน้ากลับมาที่เดิมสีหน้าของเขาก็ดูน่ากลัวภายในชั่วพริบตา
ดวงตาคู่สวยของชิงอีหรี่ลงเล็กน้อยพร้อมมุมปากที่ค่อยๆ ยกขึ้น
“ท่านอ๋อง!” หลิงเฟิงะโเรียกทันทีที่เห็นผู้ที่นั่งอยู่ในห้องโถง ในขณะที่คนอื่นๆ ต่างตะลึงพรึงเพริด
ทำไมเซียวเจวี๋ยถึงมาอยู่ที่นี่?!
ชิงอีมองอีกฝ่ายโดยไม่แสดงอาการใดๆ เพราะตอนที่ก้าวข้ามประตูเข้ามา นางก็ได้กลิ่นอาย ‘ความดุร้าย’ ของอีกฝ่ายอยู่ก่อนแล้ว จึงไม่แปลกใจ
“ตอนนี้ก็ค่ำเกินไปที่จะขึ้นไปบนูเาแล้ว ข้าจะให้สามเณรน้อยไปจัดเตรียมห้องเซียนฝางให้ คืนนี้ท่านทั้งหลายก็พักอาศัยอยู่ที่นี่กันก่อนเถิด” เมื่อวั่งจีพูดจบก็เตรียมเดินออกไป
“ช้าก่อน” ชิงอีกล่าวขึ้นพลางมองเขา “ท่านไม่ได้บวช เหตุใดจึงต้องแกล้งทำตัวเป็พระ?”
บรรดาสามเณรน้อยที่อยู่ข้างๆ ไม่พอใจกับคำพูดของชิงอี ส่วนวั่งจีทำเพียงยกมือมาประสานเป็ดอกบัวและกล่าวโดยไม่ทุกข์ร้อนว่า “ถึงแม้วั่งจีจะบำเพ็ญตบะ แต่ก็ได้เข้าทางธรรมมานาน แล้ว เพราะมีพระพุทธเ้าอยู่ในใจจึงไม่ได้สนใจความกังวลปัญหาสามพันเส้น[1]นี้ สิ่งตรงหน้าที่ท่านเห็นทั้งหมดล้วนแล้วเป็เพียงภาพมายาเท่านั้น”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ชิงอียิ่งแสดงท่าทีดูถูก “มารยา ท่านออกไปเถอะ”
วั่งจีพูดอมิตตาพุทธอีกครั้งแล้วพาคนของเขาออกไป
“ท่านอ๋อง เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ?” หลิงเฟิงปรี่เข้าไปถามแต่กลับถูกฉู่สือที่อยู่ๆ ข้างจ้องเขม็ง “ท่านอ๋องจะเสด็จไปที่ใดจำเป็ต้องรายงานเ้าด้วยงั้นหรือ?”
“สหายฉู่ เ้าโง่ ข้าหมายความว่าอย่างนั้นที่ไหนกัน...” หลิงเฟิงที่เริ่มทะเลาะกับฉู่สือกลับต้องเงียบไปทันทีเมื่อถูกเซียวเจวี๋ยปรายตามอง
เซียวเจวี๋ยเบนสายตามาที่ชิงอีแล้วเห็นว่านางหาวอยู่ตลอดเวลาเลยเชื้อเชิญ “หากเหนื่อยนักก็มานั่งตรงนี้สิ”
“จำเป็ต้องให้ท่านเชิญด้วยหรือไร?” ชิงอีเหลือบมองโดยระหว่างที่เซียวเจวี๋ยพูดนั้น นางก็ก้าวเดินไปแล้ว
นางสืบเท้าไปกลางห้องโถงและดันโต๊ะออก เพื่อทิ้งตัวลงนอนบนตั่ง ด้วยเรือนร่างอันสูงส่งและทรงเสน่ห์ของหญิงสาวทำให้ชิวอวี่มองอย่างไม่สบายใจด้วยหน้าแดงก่ำและหัวใจที่เต้นรัว พลางคิดว่าองค์หญิงใหญ่แม้จะอยู่ข้างนอกก็ไม่สงวนกิริยาสักนิด!
แววตาของเซียวเจวี๋ยไหวเล็กน้อยพร้อมเดินตรงไปหาหญิงสาว
ทั้งสองมองหน้ากัน
บรรยากาศในห้องโถงนั้นยากจะบรรยาย เซียวเจวี๋ยยื่นมือจับปอยผมไปทัดไว้ที่หลังหูของชิงอี ทั้งยังเอ่ยเสียงนุ่มด้วยท่าทีสนิทสนม “ดูเ้าจะเหนื่อยจริงๆ ห้องเซียงฝางของข้าที่ทำความสะอาดไว้แล้ว เ้าไปพักที่นั่นก่อนดีหรือไม่”
เถาเซียงที่เห็นดังนั้นก็หน้าแดงระเรื่อ ความสัมพันธ์ระหว่างเซ่อเจิ้งอ๋องกับองค์หญิงที่ดูเหมือนว่าจะสนิทสนมกันอยู่ไม่น้อยสินะ?
“ก็ดี” ชิงอีไม่มีท่าทีไม่พอใจเหมือนอย่างปกติ นางค่อยๆ ลุกขึ้นยืนข้างเขา จากนั้นก็พูดอย่างเ็าว่า “คราวหน้าหากยังลวนลามข้าอีก ท่านคงอยากจะลองดีสินะ?”
ลวนลามงั้นหรือ? เื่นี้ควรเป็เขาที่ต้องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจสิ
เซียวเจวี๋ยที่ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มมีเลศนัยเหลือบมองนาง “ครูผู้เลื่องชื่อก่อเกิดศิษย์ผู้สูงส่ง ข้าเองก็จะพยายามต่อไปเช่นกัน”
ชิงอีเหยียดยิ้มแล้วเชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะสะบัดหน้าจากไป
การโต้ตอบอันมีนัยซ่อนเร้นของทั้งคู่ที่ไม่มีผู้ใดเข้าใจและรู้แค่ว่าท่าทีแสนคลุมเครือนั้นดูจะแฝงการเกี้ยวพาราสีเอาไว้
ต่อให้เป็ความสัมพันธ์จอมปลอม ถึงอย่างไรมันก็คือความรู้สึกอย่างหนึ่งเหมือนกัน...
“บอกมาสิ เหตุใดเพิ่งจะมาถึงตอนนี้” เซียวเจวี๋ยหรี่ตาถามพร้อมกับรอยยิ้มที่ค่อยๆ เลือนหาย
หลิงเฟิงอัดอั้นมาตลอดก็โพล่งเกี่ยวกับประสบการณ์เมื่อคืนนี้ออกมาราวกับถั่วที่กำลังโดนเท
ฉู่สือรับฟังเื่ราวเ่าั้อย่างไม่เชื่อหู ครั้นหันไปมองชิวอวี่ที่เงียบสนิทก็เกิดความสงสัย
มีเื่พิลึกพิลั่นเช่นนี้ด้วยหรือ?
“หล่อเลี้ยงสิ่งชั่วร้ายด้วยศพเด็ก มันสมควรตายยิ่งนัก!” แววตาของเซวียเจวี๋ยเ็า ทันใดนั้นอุณหภูมิในห้องโถงก็ลดฮวบ
หลิงเฟิงพยักหน้าหงึกๆ ด้วยสีหน้าขุ่นเคือง
“ตอนนี้ผู้าเ็สองคนนั้นเป็อย่างไรบ้าง?”
“ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น” ชิวอวี่ส่ายหัว แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่ชิงอีบอกเขาก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
เซียวเจวี๋ยเห็นว่าเขาใจลอยจึงไม่ซักถามอะไรอีก
“หัวหน้าองครักษ์ชิว เ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”
“ขอบพระทัยเจิ้งเซ่ออ๋องที่ทรงห่วงใยพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวลาพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากที่ชิวอวี่ออกไป หลิงเฟิงก็ถามขึ้นอย่างหาญกล้าว่า “ท่านอ๋อง ท่านยังไม่ได้บอกเลยนะพ่ะย่ะค่ะว่าท่านมาที่นี่เพราะเหตุใด?”
ฉู่สือกลอกตามองหลิงเฟิงแล้วตอบแทน “ท่านอ๋องเสด็จมาที่นี่เพื่อตามหาน้ำมันตะเกียง เรามาถึงที่นี่ั้แ่เที่ยงคืนเมื่อวาน เดิมทีคิดว่าองค์หญิงใหญ่น่าจะเสด็จมาถึงแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่เห็นพวกเ้าจึงคอยอยู่ที่เชิงเขา”
หลิงเฟิงพยักหน้าและเริ่มพูดอีกครั้ง “ท่านอ๋อง เมื่อคืนท่านไม่ได้มีโอกาสเห็นว่าองค์หญิงใหญ่ทรงสุดยอดจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ เหล่าบุรุษต่างหวาดกลัวเมื่อมองดูศพเหล่าเด็กๆ แต่องค์หญิงทรงไม่กะพริบตาแม้แต่น้อย ทั้งยังมีต้นไม้ปีศาจที่ถูกทำให้แหลกสลายหายไปอย่างลึกลับ...”
หลิงเฟิงพูดอยู่นานสองนานจึงหันไปดูว่าเซียวเจวี๋ยยังอยู่หรือไม่ แต่กลับมีเพียงฉู่สือที่ยืนกลอกตาไปมาไม่หยุดเท่านั้น
“ท่านอ๋องล่ะ?”
“ท่านคิดว่าเ้าน่ารำคาญเกินไป”
ในห้องเซียงฝาง ชิงอีที่นอนตะแคงอยู่บนตั่ง โดยมือขวารองแก้มเอาไว้ ส่วนมือซ้ายวางลงบนเข่าไม่ว่ามองเช่นไรก็ยังคงดูเกียจคร้าน “โก่วต้าน ถ้าอย่างนั้นหลังจากที่เ้าตาย เ้าเคยเห็นวั่งจีผู้นั้นหรือไม่?”
โก่วต้านนั่งลงข้างตั่งแล้วใช้กำปั้นน้อยๆ ทุบเบาๆ ที่ขานาง เขาพยักหน้าก่อนจะพูดว่า “ก็เป็เขานั่นแหละที่ฝังพวกเราไว้ใต้ต้นไม้ แล้วพวกลุงๆ ป้าๆ ก็ถูกเขาพาไปด้วย”
“แล้วคนชั่วที่ฆ่าพวกเ้าล่ะ? ก็เป็เขาเหมือนกันใช่หรือไม่?”
โก่วต้านส่ายหน้าและก้มหัวลงอย่างเศร้าหมอง “ข้าจำไม่ได้ ข้าลืมไปด้วยซ้ำว่าข้าตายไปอย่างไร”
ชิงอีไม่ได้ถามอะไรอีกต่อไป เพราะการลืมอาจจะเป็ความสุขอย่างหนึ่ง
“เกรงว่ามันจะไม่ง่ายขนาดนั้นนะ” เ้าแมวอ้วนะโลงจากหัวเตียง “บนูเาชูอวิ๋นปกคลุมด้วยกลุ่มพลังปริศนา บนยอดเขาไม่มีแสงของพระพุทธเ้า ทั้งยังเงียบสงบและน่าสยดสยองอีกด้วย ชิงอี ปลาตัวใหญ่ที่สาปฮ่องเต้เฒ่านั่นคงจะอยู่ในวัดตงหวาด้วยใช่หรือไม่?”
“ขึ้นไปดูเดี๋ยวก็รู้เอง” ชิงอีพูดอย่างสบายๆ “อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ข้ากำลังสะกดรอยกลิ่นอายไปยังทิศทางของวัดพระอาจารย์นั่น ดูเหมือนว่าครั้งนี้พวกเราจะจับปลาต้นน้ำเลยล่ะ”
แต่มันไม่ใช่แบบนั้นน่ะสิ!
เ้าแมวอ้วนทำหน้าจริงจัง สำนักจี้เหรินจายตรงเชิงเขานี้ซ่อนสิ่งสกปรกเอาไว้ คนทั่วไปอาจจะไม่ได้กลิ่นมัน แต่สำหรับสิ่งลี้ลับแล้ว สถานที่แห่งนี้เหมาะกับการหลบภัย
อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้ยังไม่เห็นผีสักตัว ในขณะที่ผู้ชายชื่อวั่งจีผู้นั้นทั้งตัวเต็มกลับไปด้วยเืชั่วและสิ่งไม่ดี ไม่รู้ว่ามีกี่ชีวิตที่แปดเปื้อนอยู่ในร่างกายของเขา!
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก ชิงอีได้กลิ่นอายอันคุ้นเคย
ในดินแดนที่มีกลิ่นเหม็นสาบของเืชั่วคละคลุ้งไปทั่ว กลิ่นอายนี้เป็ดั่งกลิ่นหอมที่ปัดเป่าสิ่งที่น่าหวาดกลัวรอบตัวให้หายไปทั้งหมด
เซียวเจวี๋ยเดินเข้าไปในห้องและมองผ่านม่านกั้น ซึ่งเห็นหญิงสาวในท่านอนตะแคงอย่างอวดดีและทรงเสน่ห์บนตั่งอย่างคลุมเครือ
“ห้องเซียงฝางมีไม่เพียงพอ เกรงว่าคืนนี้องค์หญิงกับข้าคงต้องพักอยู่ด้วยกันแล้วล่ะ”
****************************
[1] ปราศจากปัญหาสามพันเส้น (三千烦恼丝) หมายถึง การตัดผมให้พระภิกษุหรือแม่ชี ซึ่งคนโบราณคิดว่าการตัดผมให้พระภิกษุสามเณรสามารถผลักไสปัญหาทั้งหมดออกจากพระพุทธศาสนาได้