หมอกกำลังรวมตัวกัน
นี่เป็ครั้งแรกที่อวิ๋นจื่อและซูเจินเดินทางมายังป่าทึบเช่นนี้ ในป่าทึบมีอันตรายมากมายที่ทั้งคู่เคยได้ยินแต่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เพราะความไม่รู้นี่เองจึงทำให้ไม่มีอันตรายใดๆ ที่สามารถรบกวนจิตใจของพวกเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้นอวิ๋นจื่อยังเป็มือกระบี่ผู้แข็งแกร่งอีกด้วย
ซูเจินไม่รู้สึกกังวลเลย
จู่ๆ ก็มีเสียงคำรามของสัตว์ที่เขาไม่รู้จัก
อวิ๋นจื่อไม่รู้ว่านั่นคือเสียงอะไร แต่กลับมีคำผุดขึ้นในหัวของนาง นั่นคือ ซวนหนี่
จู่ๆ นางก็รู้สึกเหมือนมีภาพบางอย่างปรากฏขึ้นในหัว
แล้วซวนหนี่คืออะไร?
นางจำได้ว่ามันคือสัตว์อสูรชนิดหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็สัตว์พาหนะของใครบางคน
มันมีขนสีทองและดวงตาสีทอง
สายตาของนางเหม่อลอยเล็กน้อย
“อวิ๋นจื่อ ข้าต้องพึ่งพาฝีมือของเ้าเพื่อให้พวกเรารอดออกไปได้ เ้าต้องตั้งสมาธิให้ดี” เสียงของซูเจินดังขึ้น
อวิ๋นจื่อได้สติทันที
นางยิ้มบางๆ และกล่าวว่า “สิ่งนี้ไม่สามารถจัดการได้ด้วยทักษะกระบี่ของข้า หากทำเช่นนั้นเราทั้งคู่จะไม่สามารถออกไปได้”
ทันทีที่นางพูดจบ สัตว์ตัวใหญ่ที่มีขนสีทองและดวงตาสีทองก็ปรากฏตัวขึ้น
“นี่คืออะไร? มันดูเหมือนสิงโต” ซูเจินกระซิบ
“มันคือซวนหนี่” อวิ๋นจื่อกล่าวเบาๆ แล้วหยิบขลุ่ยออกมา
“ซวนหนี่หรือ? มันคือตัวบ้าอะไร?”
เสียงของซูเจินสั่นสะท้าน ขณะนี้ซวนหนี่กำลังวิ่งตรงมายังจุดที่ทั้งสองยืนอยู่
จู่ๆ เสียงขลุ่ยของอวิ๋นจื่อก็ดังขึ้น
“แสวงหาสถานที่เงียบสงบ ไม่รู้สึกว่าเส้นทางอยู่ห่างไกล
เมฆโอบล้อมหน้าผาสีเขียว เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว อีกไม่นานจะค่ำแล้ว
ข้าเดินทางผ่านเขามาสามสี่ยอด เดินทางบนถนนที่เคี้ยวคดวกวนเป็หมื่นรอบ
ในความเงียบสงัดของูเาอันห่างไกล ได้ยินเพียงเสียงลิง เมฆและหมอกหนากระจายตัวออกจากกันเมื่อเดินผ่าน
ดวงจันทร์อันสว่างไสวห้อยอยู่เหนือต้นสนสูง หุบเขาที่ว่างเปล่าเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมของฤดูใบไม้ร่วง
ในหุบเขาลึกมีหิมะที่ทับถมกันมานับพันปี มองเห็นหน้าผาแตก น้ำพุเย็นเยียบไหลทวนกระแสน้ำ
ยอดและชะง่อนผาที่สวยงามพุ่งตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า มองไปรอบๆ ย่อมรู้สึกเวียนหัว
เสียงเรียกหากันดังข้ามูเา ทันใดนั้นข้าก็ได้ยินเสียงหัวเราะ
หลังจากเยี่ยมชมหุบเขาอันเงียบสงบนี้แล้ว เ้ารู้หรือไม่ว่าความเงียบและความสบายใจคืออะไร?
ตลอดทั้งคืนมีความสุขมาก แต่ก่อนรุ่งสางข้าจำต้องบอกลาอย่างจำใจ”
นี่เป็เพลงที่จืดชืดมาก สำหรับซูเจินมันไม่ได้กระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกใดๆ เลย
แต่ซวนหนี่ที่อยู่ตรงหน้าทำให้ซูเจินไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ มันมองมาที่พวกเขาด้วยสีหน้าเ็า
เมื่อเห็นเช่นนี้ อวิ๋นจื่อก็เป่าเพลงอื่นต่อ
“ฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ริมทะเลสาบตะวันตกถูกปกคลุมไปด้วยสีเขียว
ูเาและที่ราบเต็มไปด้วยความงามหลากสีสัน กลีบของบุปผาที่ร่วงหล่นลงสู่พื้นย่อมเหี่ยวเฉาไปตามกาล
ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว ความคิดที่จะเข้าร่วมกองทัพก็เหมือนกับปุยเมฆ ผู้เฒ่าล้วนหวาดกลัวที่จะเขียนบทกวีให้กับบุตรหลาน
ข้ารู้ว่าเ้าจัดงานเลี้ยงที่ริมทะเลสาบ เฝ้ารอเพื่อนเก่ามาร่วมดื่ม
ห่างออกไปหลายพันลี้ เ้ายังนำความรักในฤดูใบไม้ผลิมาให้ และทุกครั้งที่ฤดูใบไม้ผลิมาถึง ข้าก็รู้สึกกังวล
หิมะเริ่มละลายแล้ว ูเาปกคลุมไปด้วยสีเขียว ดอกไม้บานสะพรั่ง ริมแม่น้ำมีแสงแดดสดใสของเดือนสอง
ยังจำได้ว่าตอนยังเด็ก เราร่วมดื่มในฤดูใบไม้ผลิ ตอนนี้หญ้ากลายเป็สีเขียวเหมือนผ้าไหมแล้ว
ในฐานะแขกจากต่างเมือง ข้าวของและรูปร่างลักษณะของมนุษย์ย่อมแตกต่างกันไป รูปร่างลักษณะของคนตะวันออกล้วนมีเสน่ห์ ยากที่จะตัดใจ”
ท่าทีของสัตว์อสูรดูเปลี่ยนไปทันที มันเอาหัวถูเข้ากับกระโปรงของอวิ๋นจื่อและส่งเสียงครวญครางแ่เบาราวกับกำลังรู้สึกผิด
อวิ๋นจื่อใมาก
นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเป่าขลุ่ยต่อ
“ทะเลสาบตะวันตกและไร่หัวไชเท้าสีเขียวพบได้ในโลกที่เปราะบางของมนุษย์
เดินทางไปและกลับจากกระท่อม ทาสีเรือและหัวเราะไปกับสายฝนและแสงแดด
เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ตลาดราชวงศ์ิที่สะพานหินก็คึกคัก ตั้งอยู่ท่ามกลางหมอกดูราวกับเมือง์
เมื่อได้ดื่มสุราและชมทิวทัศน์ ทุกอย่างก็แลดูงดงาม อิงฮวาได้รับการแต่งตั้งเป็ผู้ดูแลความโกลาหล
หัวใจและจิติญญาของฤดูใบไม้ร่วงเปรียบได้กับความฝัน แต่มันก็เ็า ขุ่นมัว และว่างเปล่า
มองเห็นลำธารและหินแห่งความรักที่ดูเงียบสงบ เขียนบทกวีหลังจากดื่มสุราหนึ่งจอก รอให้ลมตะวันตกพัดมา”
สัตว์อสูรดูเหมือนจะชอบใจ มันเลียข้อมือของหญิงสาวด้วยท่าทีสนิทสนม
อวิ๋นจื่อใกลัวสุดขีด
ว่ากันว่าซวนหนี่เป็สัตว์อสูรที่ดุร้าย
แต่เหตุใดสัตว์อสูรตัวนี้ถึงไม่เหมือนที่นางเคยได้ยินมา?
หวังว่ามันคงจะไม่ทำร้ายนางกับซูเจิน
สัตว์อสูรเอาหัวถูเข้ากับมือของอวิ๋นจื่ออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็คาบและดึงชายเสื้อของนางอย่างแ่เบา ด้วยเหตุผลบางอย่าง น้ำตาสองสามหยดร่วงหล่นจากดวงตาที่สดใสของมัน ทำให้ชายเสื้อของนางเปียกเล็กน้อย
สัตว์อสูรส่งเสียงครวญครางสองสามครั้ง ก่อนจะมองนางด้วยสายตาเศร้าโศกและจากไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่สัตว์อสูรจากไปแล้ว ซูเจินก็ยิ้มและกล่าวว่า “ถ้าข้าไม่รู้เื่รู้ราวใดๆ ข้าคงคิดว่าเ้ากับสัตว์อสูรตัวนั้นเคยรู้จักกันมาก่อน”
“จะเป็ไปได้อย่างไร? ข้าเพิ่งเคยเห็นมันเป็ครั้งแรก” หญิงสาวกล่าว
ซูเจินรู้สึกประหลาดใจมาก “นี่แสดงว่าเ้ามีความสามารถในการควบคุมสัตว์อสูร ข้าต้องบอกเื่นี้กับเย่เช่อ เผื่อเขาจะฝึกฝนให้มันกลายเป็นักฆ่าได้”
อวิ๋นจื่อถามเสียงต่ำ “จริงหรือ?”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีกังวล ซูเจินก็เปลี่ยนเื่ทันที “เอาล่ะ เราจะออกไปจากที่นี่ได้หรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับเ้าแล้ว”
จู่ๆ อวิ๋นจื่อก็กระซิบว่า “ซูเจิน ข้ารู้สึกเหนื่อยมาก เหตุใดเราไม่กลับไปที่เมืองหยงโจวล่ะ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ซูเจินก็โกรธมาก
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ และกล่าวว่า “เ้าต้องทนให้ได้!”
ถึงอย่างไรการต้องมาอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ย่อมทำให้อวิ๋นจื่อที่เคยอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายมาั้แ่เด็กรู้สึกทนไม่ไหว ตอนที่นางอยู่ในวัง นางมีชางอู่หลิงคอยปกป้องอยู่เื้ั
ต่อมาเมื่อสถานการณ์ในวังเปลี่ยนแปลงไป ตระกูลมู่ก็ดูแลนางเป็อย่างดี แม้ว่าในภายหลังนางจะไปร่ำเรียนวิชากระบี่ที่สำนักชิงซาน แต่นางก็ยังได้รับการปกป้องจากประมุขตระกูลมู่ แถมยังมีการคุ้มครองของเย่เช่ออีก
แม้กระทั่งตัวหมากที่ท่านลุงอวิ๋นเซียวทิ้งไว้ก็ยังคอยปกป้องนางอย่างลับๆ
อวิ๋นจื่อรายล้อมไปด้วยผู้คนมากมายและคนส่วนใหญ่ก็มักปกป้องนางอยู่เสมอ
แม้กระทั่งซูเจินก็ยังเป็คนหนึ่งที่คอยปกป้องนาง
แต่ในขณะนี้คนเดียวที่สามารถปกป้องอวิ๋นจื่อได้ก็คือตัวนางเอง หรือไม่ก็กระบี่ในมือของนาง
อวิ๋นจื่ออาจไม่คุ้นชินกันสถานการณ์แบบนี้ จึงไม่แปลกที่นางอยากกลับไปที่เมืองหยงโจว
‘ข้าควรทำอย่างไรให้หญิงสาวคนนี้มีความมุ่งมั่นและกล้าหาญมากขึ้น?’
ซูเจินจมอยู่ในความคิดของตัวเอง
อวิ๋นจื่อถามว่า “ซูเจิน เ้าว่าข้าไร้ค่าหรือไม่?”
ซูเจินไม่สนใจนาง
อวิ๋นจื่อกล่าวต่อว่า “ผู้คนมากมาย้าช่วยข้า พวกเขาถึงขั้นวางแผนเส้นทางในอนาคตให้ข้าด้วย แต่จู่ๆ ข้าก็รู้สึกไม่อยากเดินหน้าต่อ”
“เพราะเหตุใด?” ซูเจินถาม
“เพราะข้ารู้สึกว่าชีวิตเช่นนั้นไม่มีความหมายเลย ข้าไม่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งข้าจะต้องมีชีวิตอยู่ด้วยความแค้น ข้าไม่ควรมีชีวิตเช่นนั้น เ้าเข้าใจหรือไม่?”
ซูเจินกล่าวว่า “ข้าไม่เข้าใจ เ้าลองอธิบายอีกสักหน่อย”
ทันใดนั้นอวิ๋นจื่อก็ถามว่า “เ้าเกลียดเ้าสำนักคนก่อนของสำนักชิงซานหรือไม่?”
“แน่นอน ข้าเกลียดมันแทบตาย เสียดายที่มันถูกศัตรูฆ่าตายไปแล้ว เสียดายที่ข้าไม่ได้ฆ่ามันด้วยตนเอง!”
“ซูเจิน ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
“แล้วเ้าหมายถึงอะไร?”
อวิ๋นจื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ไม่รู้สิ ข้ารู้สึกราวกับว่าเห็นดอกไม้ดอกหนึ่งและอยากจะเด็ดมัน แต่เ้าบอกว่าข้าเด็ดดอกไม้ดอกนั้นไม่ได้ อารมณ์ความรู้สึกของข้าก็คงเป็เช่นเดียวกับเหตุการณ์นี้”
ซูเจินยังคงไม่เข้าใจ “ข้าไม่ค่อยเข้าใจคำกล่าวของเ้านัก เ้าช่วยกล่าวให้ตรงไปตรงมากว่านี้หน่อยได้หรือไม่?”
อวิ๋นจื่อเม้มปาก “เ้าเคยบอกข้าไม่ใช่หรือว่าให้ข้าหัดใช้สมองเสียบ้าง? แล้วตอนนี้สมองของเ้าอยู่ที่ใด?”
ตอนนี้หมอกที่เคยรวมตัวกันอย่างหนาแน่นได้หายไปเกือบหมดแล้ว ดวงอาทิตย์ขึ้นสูง แสงแดดส่องผ่านช่องว่างระหว่างกิ่งไม้และใบไม้ เสียงการสนทนาของทั้งสองถูกส่งผ่านไปตามสายลมและดังก้องอยู่ในป่าทึบอันเงียบสงบ จากนั้นก็ค่อยๆ หายไปกับความว่างเปล่า
เสียงนั้นฟังดูคล้ายเสียงน้ำในลำธาร
ลมในป่าทึบอ่อนโยนและสงบนิ่ง ส่วนรอบข้างก็ดูไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้