“ซินอี๋มาได้ พี่รองก็ดีใจ” จ้าวเยี่ยลุกขึ้นกล่าวกับจ้าวซินอี๋พลางมองด้วยสายตาอ่อนโยน มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาดีเพียงใด จากนั้นจ้าวเยี่ยหันไปมองเย่เฟิงที่อยู่ข้าง ๆ จ้าวซินอี๋ “ท่านนี้คือ?”
“คนนี้คือสหายข้านามว่าเย่เฟิง เป็บุตรอดีตจอมพลเย่เจิน บัดนี้ฝึกตนที่สำนักยุทธ์เทียนเสวียน ทั้งยังอยู่อันดับหนึ่งในรายนามแห่งแท่นศิลาเทียนเสวียน” จ้าวซินอี๋กล่าวแนะนำ แน่นอนว่านางััได้ถึงสายตาดูถูกของคนเ่าั้ที่มองเย่เฟิง นางจึงพูดฐานะของเย่เฟิงออกมาเช่นนี้ เพื่อไม่ให้คนเ่าั้ดูถูกเย่เฟิง
“ที่แท้ก็คือน้องเย่ ยินดีที่ได้รู้จัก!” จ้าวเยี่ยโค้งตัวประสานมือทักทายเย่เฟิง โดยไร้ซึ่งท่าทีขององค์ชาย ััได้ว่าเป็คนที่สามารถเข้าหาได้ง่าย ๆ ซึ่งจ้าวเยี่ยค่อนข้างสนใจสถานการณ์ของกองกำลังต่าง ๆ ในเมืองหลวง จึงได้ยินเื่เย่เฟิงมาบ้าง
“คารวะองค์ชายรอง” เย่เฟิงทำความเคารพจ้าวเยี่ย เขาอยู่ที่อาณาจักรจ้าวก็ย่อมปฏิบัติตามกฎของอาณาจักรจ้าว
“ซินอี๋ ท่านนี้คือองค์ชายเว่ยฉีเทียนจากอาณาจักรเว่ย ส่วนท่านนี้คือองค์หญิงเว่ยซินหย่า” จ้าวเยี่ยแนะนำเว่ยฉีเทียน และเว่ยซินหย่าให้จ้าวซินอี๋รู้จัก
“พี่เว่ย สองท่านนี้ก็คือน้องเล็กจ้าวซินอี๋และเย่เฟิงทายาทอดีตจอมพล” จ้าวเยี่ยกล่าวแนะนำให้ทั้งสองฝ่ายได้รู้จักกัน จ้าวซินอี๋ก็ผงกศีรษะขึ้นลงให้เว่ยฉีเทียนด้วยท่าทีเฉยชา แต่ไม่ได้ทักทายเว่ยซินหย่า นี่ทำให้เว่ยซินหย่าตาวาบประกายเยือกเย็น ในขณะเดียวกันเว่ยซินหย่าก็ย่อมสังเกตเห็นเย่เฟิง สีหน้าจึงฉายแววเย็นเยียบ
ที่ภัตตาคารเฟิ่งไหลเมื่อสามวันก่อน เย่เฟิงทำนางขายหน้าอย่างมาก นางจำได้ไม่มีวันลืม
เสวียนอู่เว่ยมองเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นะเือัดแน่นไปด้วยจิตสังหาร แต่เย่เฟิงไม่สนใจสายตาของเว่ยซินหย่าและเสวียนอู่เว่ยสักนิด
เว่ยฉีเทียนเป็คนฉลาด เขาย่อมสังเกตเห็นบรรยากาศตึงเครียดระหว่างทั้งสอง จึงยิ้มจาง ๆ แล้วกล่าวกับจ้าวซินอี๋ว่า “ได้ยินชื่อเสียงขององค์หญิงซินอี๋มานาน วันนี้ได้พบก็สมคำร่ำลืออย่างที่คิด องค์หญิงซินอี๋คือสตรีที่งดงามที่สุดเท่าที่ผู้แซ่เว่ยเคยพบพาน” จ้าวเยี่ยสังเกตการณ์ใกล้ ๆ ความงามของจ้าวซินอี๋นั้นทำให้เว่ยฉีเทียนตกตะลึงและเกิดความคิดที่จะตบแต่งกับจ้าวซินอี๋จริง ๆ
“องค์ชายเว่ยชมเกินไปแล้ว” จ้าวซินอี๋กล่าว
เว่ยฉีเทียนหันไปมองเย่เฟิง ทว่าไม่คิดจะทักทายใด ๆ
เย่เฟิงััถึงความเหยียดหยามในสายตาของเว่ยฉีเทียนได้ชัดเจน แม้อีกฝ่ายจะจงใจปกปิดมัน แต่เย่เฟิงก็ยังจับได้อยู่ดี
“ซินอี๋ นั่งเถิด” จ้าวเยี่ยกล่าว
“น้องเย่ เชิญเ้านั่งตามสบาย” จ้าวเยี่ยกล่าวกับเย่เฟิง
“องค์ชายรองเกรงใจแล้ว” เย่เฟิงคำนับจ้าวเยี่ย ก่อนจะหาที่นั่งของตน
“เย่เฟิง มานั่งกับข้า”
แต่เย่เฟิงยังไม่ทันเคลื่อนไหวก็ได้ยินเสียงของจ้าวซินอี๋ดังมา ทำเย่เฟิงประหลาดใจ จากนั้นรู้สึกว่าจ้าวซินอี๋ดึงแขนเขา แล้วทั้งสองก็เดินไปยังสองที่นั่งฝั่งขวาถัดลงมาจากจ้าวเยี่ย
เมื่อเว่ยฉีเทียนเห็นฉากนี้ก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะชำเลืองมองเย่เฟิงแวบหนึ่ง ผู้ฝึกยุทธ์คนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกเช่นเดียวกัน องค์หญิงซินอี๋นั้นมีนิสัยรักสันโดษ ไม่ชอบสุงสิงกับใคร โดยเฉพาะกับผู้ชาย ชายหนุ่มที่โดดเด่นหลายคนของเมืองหลวงต่าง้าโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับองค์หญิงซินอี๋ แต่ก็ไม่มีผู้ใดทำได้สำเร็จ
บัดนี้องค์หญิงซินอี๋ไม่เพียงแต่มากับเย่เฟิง แต่ยังนั่งกับเย่เฟิงอีก แม้ที่นั่งจะต่างกัน แต่มันเป็สัญญาณอย่างหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งพิสูจน์ว่าองค์หญิงซินอี๋ชื่นชอบเย่เฟิงผู้นี้มากเพียงใด
“ทุกท่านมาร่วมงานเลี้ยงนี้ได้ ข้ารู้สึกเป็เกียรติยิ่งนัก โดยเฉพาะทูตทั้งหกอาณาจักรแห่งแดนชิงอวิ๋น นี่ก็พิสูจน์ถึงความรุ่งเรืองของอาณาจักรจ้าวแล้ว ซึ่งจุดประสงค์ของงานเลี้ยงนี้ก็คือใช้ยุทธ์ผูกมิตร ให้ทุกท่านเพลิดเพลินกับความเฉิดฉายของคนรุ่นเยาว์แห่งอาณาจักรจ้าวก่อนงานชุมนุมหวงปั่งจะมาถึง” จ้าวเยี่ยลุกขึ้นประกาศให้ทุกคนทราบ แม้เขาจะยังเด็กแต่กลับมีท่วงท่าของาา จากนั้นจ้าวเยี่ยนั่งลงแล้วยกจอกสุราร่วมดื่มกับทุกคน นี่หมายความว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว
ใช้ยุทธ์ผูกมิตรก็คือการแลกเปลี่ยนวิชา นี่ทำให้หลาย ๆ คนเริ่มคันไม้คันมืออยากต่อสู้ อยากแสดงฝีมือที่ใจกลางโถงใจจะขาด
“ได้ยินมานานแล้วว่าพี่หลี่มีพลังหมัดแกร่งกล้า ไม่ทราบว่าจะชี้แนะให้ได้หรือไม่?”
เมื่อสิ้นเสียงจ้าวเยี่ย พลันมีชายหนุ่มคนหนึ่งลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาที่ใจกลางโถง ก่อนสายตาจะมองไปยังชายหนุ่มร่างกำยำคนหนึ่ง แล้วท้าทายคนผู้นั้น ดังนั้นชายแซ่หลี่จะกลัวหัวหดได้อย่างไร ทั้งสองต่างอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 7 ทั้งสองจึงเปิดศึกทันที แต่สุดท้ายแล้วชายแซ่หลี่ก็เป็ผู้ชนะ
หลังศึกนี้บรรยากาศก็ครึกครื้นขึ้นมา มีผู้ฝึกยุทธ์ขึ้นเวทีอย่างต่อเนื่อง ส่วนผลลัพธ์มีทั้งผู้ชนะและผู้แพ้
ด้านเย่เฟิงคอยสังเกตการณ์ไปด้วยพูดคุยกับจ้าวซินอี๋ไปด้วย บางครั้งจ้าวซินอี๋ก็ระบายยิ้ม ทำให้ผู้คนไม่น้อยมองเย่เฟิงด้วยสายตาอิจฉาริษยาระคนโกรธแค้น
ขณะนั้นผู้ฝึกยุทธ์สองคนจากรายนามเฟิงอวิ๋นขึ้นเวทีประลอง สองคนนี้มีนามว่าเสวียนเจ๋อและหวงเคอ ซึ่งเสวียนเจ๋ออยู่อันดับที่ 29 และหวงเคออยู่อันดับที่ 31 ในรายนามเฟิงอวิ๋น อันดับของทั้งสองอยู่ใกล้ ๆ กัน ดังนั้นพลังจึงทัดเทียมกัน
ศึกของเสวียนเจ๋อและหวงเคอเป็ศึกแรกของผู้ฝึกยุทธ์ในรายนามเฟิงอวิ๋นที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงนี้ ดังนั้นผู้คนจึงให้ความสนใจเป็พิเศษ
รายนามเฟิงอวิ๋นแห่งอาณาจักรจ้าวมีผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมด 100 คน ทุกคนล้วนมีพร์โดดเด่นและพลังต่อสู้แกร่งกล้า พวกเขาเหล่านี้ไม่ว่าไปที่ใดก็ล้วนเป็จุดสนใจของเหล่าผู้คน
“ข้าต้องเอาชนะเ้าให้ได้ในสิบกระบวนท่า!” เสวียนเจ๋อเผยสีหน้าหยิ่งผยอง เมื่อสามเดือนก่อนเขาแพ้หวงเคอ บัดนี้ที่งานเลี้ยงเขาคิดจะใช้หวงเคอมาแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเขา ดังนั้นจึงเลือกหวงเคออย่างไม่มีความลังเลใด ๆ
“ไม่จำเป็หรอก!” หวงเคอแสยะยิ้มโดยไร้ความเกรงกลัว
ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด การโจมตีของเสวียนเจ๋อบ้าคลั่งมากล้วนกดดันหวงเคอย่างต่อเนื่อง ทำให้หวงเคอเป็ฝ่ายเสียเปรียบและอาจแพ้ได้ทุกเมื่อ
“หวงเคอน่าสงสารมาก เป็ถึงผู้ฝึกยุทธ์ในรายนามเฟิงอวิ๋น แต่ไม่นึกว่าจะเป็ก้อนหินให้เสวียนเจ๋อเหยียบข้าม” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวขณะมองหวงเคอที่ถูกกดดัน คนอื่น ๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย หวงเคอพ่ายแพ้เป็แน่ แม้แต่เย่เฟิงและจ้าวซินอี๋ก็ยังสนใจศึกต่อสู้นี้
“เย่เฟิง หวงเคอคนนี้ดูเหมือนจะแพ้นะ!” จ้าวซินอี๋กล่าวขณะมองหวงเคอที่ถอยหลังไม่หยุด
“ไม่แน่” เย่เฟิงกล่าว นี่เป็ครั้งแรกที่เย่เฟิงชมศึกต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธ์ในรายนามเฟิงอวิ๋น ดังนั้นจึงตั้งใจดูมาก ทั้งยังดูออกว่าการโจมตีของเสวียนเจ๋อมีอันตรายซ่อนอยู่ หวงเคอจึงถอยร่นตลอดเพื่อหาจังหวะโต้ตอบ
“ข้าเดาว่าหวงเคอสามารถเอาชนะเสวียนเจ๋อได้ในห้ากระบวนท่า” เมื่อพูดเช่นนี้ออกไป ผู้คนไม่น้อยก็หันมามองเย่เฟิงด้วยสายตาดูแคลน เพราะหากดูจากสถานการณ์แล้วหวงเคอต้องเป็ฝ่ายแพ้แน่นอน แต่ชายผู้นี้กลับพูดว่าหวงเคอจะชนะ ช่างโง่เขลายิ่งนัก
“ทำไมเ้าคิดเช่นนี้ล่ะ?” จ้าวซินอี๋ถามเย่เฟิงด้วยความสงสัย
“อีกเดี๋ยวท่านก็รู้” เย่เฟิงกล่าวพลางยิ้มจาง ๆ โดยไม่อธิบายอะไร
“ปัง!” ตอนนั้นเองมีเสียงปังดังขึ้น นาทีนี้ทุกคนพบว่าหวงเคอที่ถอยร่นตลอดเหมือนจะคว้าโอกาสได้แล้ว เขาเหวี่ยงหมัดโจมตีไปที่หน้าอกเสวียนเจ๋อเต็มแรง ทำให้เสวียนเจ๋อกระเด็นถอยหลังพร้อมเืซึมตรงมุมปาก
“เ้าแพ้แล้ว!” หวงเคอกล่าว แม้สีหน้าเขาจะเรียบเฉย แต่ในดวงตากลับแฝงด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
“เอาชนะข้าในสิบกระบวนท่า เ้าคู่ควรแล้วหรือ!” หลังจบประโยคนี้ หวงเคอก็เดินกลับไปนั่งที่ของตัวเอง
เสวียนเจ๋อเผยสีหน้าย่ำแย่ เขากุมหน้าอกของตนพร้อมเดินกลับไปที่นั่งของตัวเอง ก่อนจะเหลือบมองเย่เฟิงด้วยสายตาเยือกเย็น
ผู้คนต่างต้องตกตะลึง หวงเคอชนะเสวียนเจ๋อ เช่นนั้นเขาก็มีสิทธิ์แทนที่อันดับของเสวียนเจ๋อในรายนามเฟิงอวิ๋น
“เย่เฟิง เ้าตาดีมาก!” จ้าวซินอี๋กล่าวพลางยิ้มให้เย่เฟิง และรอยยิ้มนี้ทำให้หลาย ๆ คนต้องลุ่มหลง
“ไม่หรอก” เย่เฟิงกล่าวพลางยิ้มจาง ๆ
เมื่อเว่ยฉีเทียนเห็นจ้าวซินอี๋มีท่าทีสนิทสนมกับเย่เฟิงก็เผยสีหน้าดูไม่ได้ เขาเป็ถึงองค์ชาย แล้วจะปล่อยให้ผู้หญิงในดวงใจของตนอยู่กับชายอื่นได้อย่างไร?
“สวะ เ้ามีสิทธิ์อะไรมาวิพากษ์วิจารณ์การต่อสู้ของข้า?” ขณะนั้นเสวียนเจ๋อเดินมาที่หน้าโต๊ะของเย่เฟิง ก่อนจะดุด่าเย่เฟิงเช่นนั้น
แพ้หวงเคอทำให้เขาขายหน้ามาก แล้วยิ่งได้ยินเย่เฟิงวิพากษ์วิจารณ์การต่อสู้ของเขาก็ยิ่งทำให้เขาไม่พอใจ จึงคิดระบายความโกรธใส่เย่เฟิง
“แพ้คนอื่นแล้วกระทำเยี่ยงนี้ คนอารมณ์ร้อนเช่นเ้าไม่มีวันก้าวหน้าได้หรอก”
เย่เฟิงหันไปมองเสวียนเจ๋อด้วยรอยยิ้มเย็นเยือก พร้อมกล่าวว่า “อย่ามารบกวนข้ากับองค์หญิง ไสหัวไปซะ!”
หลาย ๆ คนได้ยินเช่นนั้นก็เผยสีหน้าสนใจ พลางแอบชื่นชมความใจกล้าของเย่เฟิง
แม้เสวียนเจ๋อจะแพ้หวงเคอ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ล้วนเป็ผู้ฝึกยุทธ์ในรายนามเฟิงอวิ๋น หาใช่คนอย่างเย่เฟิงที่อยู่ขั้นรวมชี่ที่ 5 เทียบเคียงได้ไม่
“พี่เสวียน เ้าถูกผู้อื่นเหยียดหยาม อย่าทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ในรายนามเฟิงอวิ๋นอย่างเ้าต้องเสียหน้าสิ”
ชายร่างผอมบางที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพูดขึ้นมาด้วยเสียงเ็า คนผู้นี้มีนามว่ากู่เฉียง เป็บุตรขุนพล ปีนี้อายุครบ 18 ปี อยู่ขั้นรวมชี่ที่ 9 และอยู่อันดับที่ 25 ในรายนามเฟิงอวิ๋น
“ข้าขอท้าเ้า สวะที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ดูซิว่าเ้าจะมีสิทธิ์นั่งข้างกายองค์หญิงหรือไม่!”
คำพูดของกู่เฉียงไปกระตุ้นโทสะของเสวียนเจ๋อ เขาจึงท้าเย่เฟิงทันที
