บุรุษสวมอาภรณ์สูงค่าสีม่วงอ่อนก้าวลงจากรถม้า มองเพียงหน้าตาถือว่าเป็ผู้ที่จัดอยู่ในประเภทได้คะแนนเต็มชูเซี่ยเคยนินทากับคุณหนูของตนมาก่อน ครั้นถกเถียงถึงเื่หน้าตา หากเฉินอ๋องถูกกล่าวขานว่ารูปงามเป็อันดับที่สองภายในเมืองหลวงแห่งนี้คงไม่มีผู้ใดกล้าขึ้นครองอันดับที่หนึ่งทว่าท่านอ๋องรูปงามจอมเ้าชู้ผู้นี้กลับเป็แขกประจำของหอนางโลมการดื่มสุราและหาความสุขใส่ตัวคืองานอดิเรกสำคัญของเขา เมื่อก่อความโกลาหลขึ้นมาถ้าเทียบกับองค์รัชทายาทเกรงว่าคงจะชนะขาดลอย สารภาพตามตรงว่าคนผู้นี้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ยิ่งนักในเมืองหลวง
เฟิงเป่ยเฉินลงจากรถม้า เอียงคอมองพิจารณาสตรีตรงหน้าก่อนจะยกมือข้างขวาขึ้นเขกศีรษะตนคล้ายกับถึงบางอ้อในฉับพลัน “อ้อเปิ่นหวางจำได้แล้ว เ้าคือบุตรีของแม่ทัพหรงไม่ใช่รึ?”
“คือเฉินหนวี่เองเพคะ”
“เหตุใดเ้าจึงมาที่นี่? เ้าสนิทกับองค์รัชทายาทอย่างนั้นหรือ?”ขณะเฉินอ๋องเอ่ยถามประโยคนี้ แววตาฉายแววหยามเหยียดอย่างเห็นได้ชัด
หรงหว่านซีไม่กรุ่นโกรธแม้แต่นิดและแย้มยิ้มบาง “ไม่สนิทเพคะเพียงแต่มีเื่จะขอร้ององค์รัชทายาทเพคะ”
“อ้อ เช่นนี้เองรึ เ้าจะเข้าไปพร้อมข้าเลยหรือไม่?ข้าก็มีเื่ที่ต้องพบเขาพอดี?”
“ไม่เป็อะไรเพคะ ขอบพระทัยเฉินอ๋องเตี้ยนเซี่ยเฉินหนวี่รออยู่ตรงนี้ก็พอเพคะ”
“ได้ ถ้าเช่นนั้นเปิ่นหวางเข้าไปก่อนก็แล้วกัน”
เมื่อมองเฉินอ๋องเดินเข้าไปอย่างองอาจ ชูเซี่ยจึงอดเอ่ยเสียงเบาไม่ได้“คุณหนูเ้าคะ เฉินอ๋องผู้นี้ต้องจงใจแน่นอนเ้าค่ะทั่วทั้งเมืองหลวงต่างรู้ว่าเกิดเื่กับนายท่านเขารู้ดีแต่ยังแสร้งถามเพราะอยากให้ท่านลำบากใจเ้าค่ะ”
“ไม่เป็อะไรไยต้องใส่ใจสายตาผู้คนรอบข้างเ่าั้” หรงหว่านซีไม่ใส่ใจเื่นี้สักนิด
ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเห็นองค์รัชทายาทสวมฉลองพระองค์ลายพญางูเสด็จออกมาพร้อมเฉินอ๋องคนทั้งสองแลดูอารมณ์ดีไม่น้อย ระหว่างเดินออกมายังสนทนากันไปพลาง
หรงหว่านซีเห็นเช่นนั้นจึงรีบรุดเข้าไปและถอนสายบัวทำความเคารพ“ไท่จื่อ[1] เตี้ยนเซี่ยเพคะเฉินหนวี่หรงหว่านซี...?”
เป็ไปตามคาดนางยังกล่าวไม่ทันจบก็เห็นองค์รัชทายาทโบกพระหัตถ์อย่างรำคาญพระทัย“เปิ่นกงจะออกไปข้างนอก หากมีเื่อะไรก็รอกลับมาเสียก่อนค่อยว่ากัน”
ขณะตรัส ั้แ่ต้นจนจบมิทอดพระเนตรหรงหว่านซีสักนิด
ครั้นตรัสจบ องค์รัชทายาทจึงเสด็จขึ้นประทับบนรถม้าเป็ผู้แรกทว่าเฉินอ๋องกลับชะงักฝีเท้าและหันกลับมาเอ่ยหยอกเย้าทั้งรอยยิ้ม“พวกเราจะไปดื่มสุราที่เรือนซูหนวี่ฟาง[2] หากเ้ามีเื่เร่งด่วนนัก จะไปกับพวกเราหรือไม่?”
ชูเซี่ยคิดว่าคุณหนูจะต้องตอบปฏิเสธวาจาเหลวไหลเช่นนี้ของเฉินอ๋องแต่จะไปรู้ได้อย่างไรว่าคุณหนูกลับกล่าวเพียงหนึ่งคำ คือคำว่าดี
ไม่ผิด หรงหว่านซีพูดคำว่าดีออกไป แม้แต่เฉินอ๋องยังตกตะลึง...
มีคุณหนูตระกูลใหญ่ผู้ใดจะกล้าไปหอนางโลมที่เป็สถานที่เช่นนั้นกับบุรุษสองคนเช่นพวกเขา? หากถูกกล่าวขานออกไป นางยังจะอยากรักษาชื่อเสียงไว้อยู่หรือไม่?
เมื่อเห็นสีหน้าเหลือเชื่อของเฉินอ๋อง หว่านซีจึงยกยิ้มบาง“วาจาของเฉินอ๋องเตี้ยนเซี่ยมีค่าดังทองพันชั่ง เมื่อตรัสออกมาแล้วย่อมต้องทำได้ใช่หรือไม่เพคะ?”
“เอ่อ... หากเ้าอยากมา เปิ่นหวางก็ยินดี”
“คุณหนู...?” ชูเซี่ยรีบรุดเข้ามาข้างหน้าคล้ายอยากจะเอ่ยบางสิ่ง
“ชูเซี่ยเ้ากลับไปรอข่าวคราวของข้าที่จวนเสียก่อน ข้าไม่เป็อะไร”หลังทิ้งท้ายด้วยประโยคนี้ หรงหว่านซีจึงขึ้นรถม้าไปกับเฉินอ๋อง
ครั้นองค์รัชทายาทเฟิงเป่ยหลินเห็นหรงหว่านซีจึงรู้สึกไม่ดีนักเผยสีหน้าไม่อยากเชื่อราวกับเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น...
“เหตุใดเ้าถึงพานางมาด้วย?”
“ข้าเห็นคุณหนูหรงยืนรออยู่หน้าประตูอย่างเดียวดายจึงถามว่านางจะไปเรือนซูหนวี่ฟางด้วยกันหรือไม่ หลังจากนั้นนางก็ตามมาเสียแล้ว” เฟิงเป่ยเฉินแบมือทั้งสองข้างเพื่อสื่อว่าตนจนปัญญายิ่งนักแค่พูดหยอกล้อเพียงประโยคเดียว ผู้ใดจะรู้ว่าคุณหนูหรงกลับคิดจริง
โชคดีที่ภายในรถม้ากว้างขวางเมื่อคนทั้งสามนั่งอยู่ด้วยกันจึงไม่เบียดเสียด
เฉินอ๋องพอจะรู้มารยาทอยู่บ้าง เขานั่งลงข้างองค์รัชทายาทและให้หรงหว่านซีนั่งอีกฝั่งเพียงลำพัง
ดวงตาทั้งหกของคนทั้งสามสบตากันบรรยากาศพลันน่าอึดอัดจนไม่อาจบรรยาย...
ดวงพระเนตรขององค์รัชทายาทกำลังทอดพระเนตรใบหน้าของหรงหว่านซีพระองค์ทรงจดจ้องใบหน้าของนางตามพระทัยตน
ใบหน้านี้ช่างงามล่มเมืองไม่ผิดทว่าสิ่งที่ดึงดูดเขาอย่างแท้จริงกลับเป็เสน่ห์เฉพาะตัวของหรงหว่านซี
“ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยเพคะเฉินหนวี่มาในวันนี้เพราะอยาก...?” แม้หรงหว่านซีจะไม่คุ้นชินกับการถูกจดจ้องเช่นนี้แต่ก็อดกลั้นเอาไว้เพราะในใจอยากช่วยบิดา นางพะว้าพะวังอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยถึงเจตจำนงชัดเจน
แต่ผู้ใดจะรู้ว่าทันทีที่เอ่ยปากออกไปกลับถูกองค์รัชทายาทตรัสปฏิเสธ...
“ตอนนี้เปิ่นกงไม่มีอารมณ์จะพูดคุยเื่อะไรทั้งนั้น”
หรงหว่านซีนิ่งเงียบอีกครั้ง...
แท้จริงแล้วองค์รัชทายาท้าแก้แค้นนาง ถึงได้กลั่นแกล้งสารพัดอย่างเพื่อให้นางต้องลำบากใจ
หลังจากนั้นคนทั้งสามไม่ปริปากเอ่ยวาจา เฉินอ๋องไม่รู้ร้อนรู้หนาวแต่อย่างใดเขาเอนกายพิงรถม้าและปิดเปลือกตางีบหลับครู่หนึ่ง
ทางด้านองค์รัชทายาทไม่จดจ้องหรงหว่านซีและหันไปมองนอกรถม้าโดยไม่รู้ว่าภายในใจกำลังนึกคิดสิ่งใด
ผ่านไปไม่นานนักจึงมาถึงเรือนซูหนวี่ฟางองค์รัชทายาทลงจากรถม้าเป็ผู้แรก
ครั้นเฉินอ๋องลงจากรถม้าจึงเอ่ยอย่างลังเลว่า “แม่นางหรงที่นี่คือหอนางโลม หรือไม่เ้าก็ไม่ต้องเข้าไป?”
“ไม่เป็อะไรเพคะตลอดหลายปีมานี้ข้าไม่ได้ออกข้างนอก และไม่สนใจต่อคำครหาของผู้คนผู้อื่นอยากจะเอ่ยสิ่งใดจงเอ่ยไป ข้าเพียงแต่อยากพูดคุยกับองค์รัชทายาทเพื่อทำให้เื่กระจ่างแจ้งและช่วยบิดาของข้าออกมาเท่านั้น”
เมื่อเห็นนางดื้อรั้นเช่นนี้ เฉินอ๋องจึงไม่กล่าวสิ่งใดหันหลังเดินเข้าไปในเรือนซูหนวี่ฟาง โดยมีหรงหว่านซีเดินตามอยู่ข้างหลังอย่างเงียบเชียบ
ผู้คนในเมืองหลวงไม่มีเคยพบหน้าหญิงผู้มีพร์อันดับหนึ่งตามคำเล่าลือจึงคิดว่านางเป็เพียงหญิงงามผู้รู้ใจของเฉินอ๋องหรือองค์รัชทายาท
กระทั่งเถ้าแก่ของเรือนซูหนวี่ฟางนามหลานอี๋ยังเอ่ยหยอกเย้าทั้งรอยยิ้ม“เฉินอ๋องเตี้ยนเซี่ยเพคะ คาดไม่ถึงว่าไม่พบหน้ากันเพียงไม่กี่วันจะยิ่งเปี่ยมเสน่ห์จนมีหญิงงามผู้รู้ใจที่งามเลิศถึงเพียงนี้”
สถานที่เช่นนี้หากจะเอ่ยหยอกเย้ากันบ้างย่อมมิใช่เื่ใหญ่อะไรนัก เฉินอ๋องเพียงแต่ยกยิ้มบางไม่บอกปัดและไม่อธิบายแต่อย่างใด
หรงหว่านซีมิได้ถือสาหาความและทำเป็ไม่ได้ยิน ในเมื่อเตรียมใจจะมาช่วยบิดานางก็รู้แล้วว่าตนจะต้องพานพบเหตุการณ์เช่นไรนางรู้ดีอยู่แก่ใจว่าองค์รัชทายาทจะต้องไม่ยอมรามือเป็แน่
ภายในห้องรับรองขนาดใหญ่ชั้นบนสุดของเรือนซูหนวี่ฟาง
มีนางระบำจำนวนสิบกว่านาง บรรยากาศครึกครื้นยิ่งนักเห็นทีองค์รัชทายาทกับเฉินอ๋องคงจะเป็แขกประจำถึงได้ดูสนิทสนมกับแม่นางเหล่านี้ยิ่งนัก
หลังจากนางระบำผู้หนึ่งขับขานท่วงทำนองเพลงพื้นเมืองของเมืองเจียงหนาน[3]
องค์รัชทายาททรงโอบกอดนางระบำไว้แนบพระอุระด้วยท่าทางเกษมสำราญอย่างเห็นได้ชัดครั้นน้ำจัณฑ์หลายต่อหลายจอกตกถึงพระอุทรจึงเริ่มมีอารมณ์เล็กน้อย เขาหรี่ดวงตามองหรงหว่านซีครู่หนึ่งท้ายที่สุดกระดิกนิ้วเรียก “เ้า— มารินสุราให้เปิ่นกง”
เมืองเจียงหนานคือเมืองที่อยู่ทางตอนใต้ของแม่น้ำฉางเจียงหรือแม่น้ำแยงซีเกียง
เฉินอ๋องกำจอกสุราและหันหน้าไปมองหรงหว่านซีครู่หนึ่งพบว่านางยังคงไม่เปลี่ยนสีหน้า
เขานึกสนใจใคร่รู้ไม่น้อยท้ายที่สุดสตรีวิเศษผู้นี้จะมีปฏิกิริยาเช่นไรยามต้องเผชิญหน้ากับการกลั่นแกล้งขององค์รัชทายาท?
ทว่าเขากลับเห็นเพียงหรงหว่านซีในชุดกระโปรงสีขาวเอื้อมมือไปหยิบกาสุราและรินจนเต็มจอกจากนั้นค่อยๆ เยื้องย่างเข้าหาองค์รัชทายาท
สายพระเนตรขององค์รัชทายาทฉายแววหยามเหยียด...
หญิงบริสุทธิ์ผุดผ่องเพียบพร้อมอะไรกันสตรีวิเศษเลิศเลออะไรกัน หญิงงามผู้มีพร์อันดับหนึ่งงั้นรึทั้งหมดทั้งมวลล้วนแต่เป็เพียงสิ่งจอมปลอมทั้งนั้น เขาเอ่ยเพียงประโยคเดียวนางก็ยอมเข้ามาประจบสอพลออย่างว่าง่ายเสียแล้ว?
นางก็ไม่ได้ต่างจากหญิงร้องรำทำเพลงเหล่านี้สักนิดมิใช่หรือ?
ท่าทางเย้ยหยันขององค์รัชทายาท หรงหว่านซีล้วนประจักษ์แก่สายตานางคลี่ยิ้มขณะส่งจอกสุราและเอ่ยด้วยน้ำเสียงตรึงใจ “เตี้ยนเซี่ยโปรดดื่มเพคะ”
ขณะองค์รัชทายาทเอื้อมพระหัตถ์ไปรับ ภายในชั่วพริบตา หรงหว่านซีกลับปล่อยมืออย่างกะทันหันสุราทั้งจอกจึงหกรดลงบนฉลองพระองค์ขององค์รัชทายาท...
“หรงหว่านซี ช่างขวัญกล้านักเ้ารนหาที่ตายงั้นรึ?” องค์รัชทายาทพิโรธเป็อย่างยิ่ง
ทันใดนั้นผู้คนที่อยู่ในสถานการณ์ต่างพากันตื่นใจนใบหน้าถอดสี...
เฉินอ๋องรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง สายตาที่ใช้มองหรงหว่านซีเริ่มแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
[1]ไท่จื่อคือองค์รัชทายาท
[2]เรือนซูหนวี่ฟางแปลว่าเรือนของบรรดาหญิงงาม
[3]เมืองเจียงหนานคือเมืองที่อยู่ทางตอนใต้ของแม่น้ำฉางเจียงหรือแม่น้ำแยงซีเกียง