“ชิงอวิ๋นคารวะท่านแพทย์หลวงทั้งสองขอรับ” น้ำเสียงของเจียงชิงอวิ๋นมีความเคารพอยู่ส่วนหนึ่ง
ใน่เวลาที่เขาอาศัยอยู่ในจวนเยี่ยนอ๋อง แพทย์หลวงทั้งสองคนเคยตรวจรักษาและจ่ายยาให้เขา
เฉิงอิ้งเห็นว่าหลี่หรูอี้แบกหีบยาไว้ที่หลังด้วยตนเองก็รู้สึกสนใจขึ้นมา จึงตั้งใจชี้ไปยังหลี่อิงฮว๋าและหลี่ิ่หานถามว่า “สองคนนี้เป็ผู้ช่วยของเ้าหรือ”
หลี่หรูอี้ตอบว่า “ไม่ใช่ พวกเขาเป็พี่ชายข้าขอรับ” ยามแพทย์ที่นี่ออกรักษาก็จะพาผู้ช่วยไปด้วย ซึ่งก็คือศิษย์แพทย์นั่นเอง คนเป็ศิษย์แพทย์จะรับหน้าที่ทำงานจิปาถะต่างๆ เช่น แบกหีบยาและต้มยา
เฉิงอิ้งเหลือบมองหลี่ซานที่กำลังยิ้มซื่อๆ อยู่คราวหนึ่ง ก่อนถามว่า “เช่นนั้นก็เป็เขา?”
“ไม่ใช่ขอรับ นั่นคือบิดาข้า” หลี่หรูอี้เห็นว่าเฉิงอิ้งมีความสงสัยอยู่เต็มสีหน้า จึงอธิบายว่า “ข้ามาเอาหัวศรออกให้ผู้ป่วยในวันนี้ไม่จำเป็ต้องใช้ผู้ช่วย”
เฉิงอิ้งร้องขึ้นมาเหมือนแมวถูกเหยียบหาง “เ้าผ่าตัดแต่ผู้เดียว ไม่จำเป็ต้องใช้ผู้ช่วย เื่นี้เป็ไปไม่ได้!”
เฮ่อส้าวจาวหันไปส่งสายตาให้เฉิงอิ้ง “เ้าเฉิง เ้าดุเพียงนี้จะทำให้ท่านหมอเทวดาน้อยใจนเตลิดไปนะ”
หลี่หรูอี้มองเฉิงอิ้งแล้วกลับหัวเราะเบาๆ พลางเลิกคิ้วงามขึ้น บอกอย่างเชื่อมั่นว่า “จะได้หรือไม่ อีกประเดี๋ยวท่านก็จะรู้เอง”
เฮ่อส้าวจาวบอกเจตนาในการมาอีกครั้ง “วันนี้นอกจากพวกเราจะมาดูท่านหมอเทวดาน้อยเอาหัวศรออกให้แม่ทัพติง แล้วก็ยังอยากมาขอคำชี้แนะเื่การแพทย์กับท่านหมอเทวดาน้อยด้วย”
ในตำรับยาขับพยาธิมีสมุนไพรสองตัวที่แปลกนัก ทั้งสองชนิดล้วนมีพิษอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อนำมาใช้ด้วยกันพิษก็จะหักล้างกันจนหมด
หากเอาตัวยาสองชนิดนี้ออกหรือใช้ตัวยาอื่นทดแทน ฤทธิ์ของยาขับพยาธินี้ก็จะถูกลดทอนลงไปอย่างมาก
แต่ตำรับยาที่ผิดแผกเช่นนี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีมาก่อน เฮ่อส้าวจาวจึงอยากถามหลี่หรูอี้ว่า เป็ผู้คิดเทียบยานี้ขึ้นเอง หรือว่าค้นเจอจากตำราโบราณ
นอกจากนี้เฮ่อส้าวจาวเองก็เคยพบผู้ป่วยที่เป็นิ่วในถุงน้ำดีมาก่อน ครั้งนั้นไม่รู้ว่าเป็นิ่วในถุงน้ำดีจึงไม่สามารถรักษาได้ แต่ตอนนี้ได้รู้แล้วจึงอยากขอคำชี้แนะจากหลี่หรูอี้
เฉิงอิ้งผลักเฮ่อส้าวจาวให้ขยับออกไปแล้วพูดกับหลี่หรูอี้ว่า “เ้าบอกข้ามาก่อนว่า เ้าจะเอาหัวศรออกให้แม่ทัพติง เขาจะต้องเ็ปอย่างรุนแรง เ้าไม่ต้องใช้ผู้ช่วย ถึงยามนั้นผู้ใดจะมาจับตัวเขาไว้ เ้าคิดว่าจะให้คนในจวนติงมาช่วยจับตัวเขาไว้หรือไร”
แม้ตัวเขาจะเตี้ยแต่ก็ยังสูงกว่าหลี่หรูอี้ ดังนี้แล้วเขาจึงจ้องมองมาด้วยสายตาและท่าทางที่กดข่ม ทั้งน้ำเสียงก็บีบคั้นระราน ดูแข็งกร้าวอย่างเห็นได้ชัด
ในโลกก่อน ไม่ว่าแพทย์ที่มีนิสัยเช่นใด หลี่หรูอี้ก็เคยพบเห็นมาก่อนทั้งสิ้น นางจึงไม่สะทกสะท้าน เดินเข้าไปในประตูวงพระจันทร์ ตอบโดยไม่แม้จะหันหน้ามามองว่า “ข้าก็ไม่ได้คิดเช่นนั้น ท่านจะร้อนใจนักหนาไปไย ประเดี๋ยวได้เห็นกับตาก็มิใช่ว่าจะได้รู้แล้วหรือ”
เฉิงอิ้งสงสัยอยู่ในใจเต็มประดา หลงลืมเสียสนิทว่า เมื่อครู่ตนเองผลักเฮ่อส้าวจาวออกไป ตอนนี้กลับหันไปดึงแขนเฮ่อส้าวจาวและเอ่ยอย่างกระตือรือร้นว่า “ไป พวกเราตามไปดูกัน”
เฮ่อส้าวจาวรู้นิสัยของสหายดี จึงเอ่ยเตือนออกไปว่า “ข้าว่านะเ้าเฉิง เ้าสงบอาการสักหน่อยได้หรือไม่”
เฉิงอิ้งตอบมาเบาๆ “หมอเทวดาน้อยถอนพิษร้ายแรงได้ ปรุงยาขับพยาธิได้ และยังรักษาโรควิกลจริตได้ด้วย ข้าได้พบเขาแล้วยังสงบอยู่ได้ก็แปลกแล้ว”
เจียงชิงอวิ๋นอธิบายกับพ่อลูกสกุลหลี่ว่า “ท่านแพทย์หลวงเฉิงเป็ผู้ที่หลงใหลในการแพทย์ มีนิสัยค่อนข้างเฉพาะตัว พวกท่านโปรดอย่าได้เคืองโกรธ”
หลี่ิ่หานรู้สึกแต่ว่าเฮ่อส้าวจาวจ้องมองหลี่หรูอี้ด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ จึงถามด้วยเสียงเบาที่สุดว่า “ท่านพ่อ หรือว่าพวกเขาจะรู้ความลับของหรูอี้แล้ว?”
เฮ่อส้าวจาวหูดีกว่าคนทั่วไป เขาหันขวับมาจ้องหลี่ิ่หานและย้อนถามว่า “เ้าพูดสิ่งใด?” จากนั้นก็เอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่ว่าผู้ใดเดินผ่านหน้าข้าไป ข้าก็รู้แล้วว่าเขาเป็ชายหรือหญิง”
ั้แ่แวบแรกเฮ่อส้าวจาวก็มองออกแล้วว่า หลี่หรูอี้เป็หญิงแต่งชาย มิเช่นนั้นเมื่อครู่ก็จะไม่พยายามปกป้องนางอย่างสุดกำลัง จึงเอ่ยเตือนเฉิงอิ้งอีกว่า “พอได้แล้ว หากเ้ายังพูดจาส่งเดชอีก ท่านหมอเทวดาน้อยจะไล่ให้เ้าไสหัวไปเสีย!”
เฉิงอิ้งเห็นว่าเฮ่อส้าวจาวเริ่มบันดาลโทสะจนแทบจะปะทุออกมาแล้ว กลับเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หากข้าไสหัวไป เ้าก็อยู่ต่อไม่ได้เช่นกัน”
ทั้งสองคนร่วมงานกันในจวนเยี่ยนอ๋องมานานปี มักทะเลาะกันเพราะความเห็นด้านการแพทย์ไม่ลงรอยบ่อยครั้ง พอทะเลาะเสร็จก็กลับมาคืนดี ต่างฝ่ายต่างเข้าใจกัน และมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันอย่างยิ่ง จึงพูดจากันอย่างไม่เกรงใจ
ทุกคนเดินผ่านประตูวงพระจันทร์ เมื่อเดินต่อมาอีกระยะหนึ่งก็มาถึงเรือนที่แม่ทัพติงสามีภรรยาพักอยู่
ฮูหยินติงรอวันนี้มาเนิ่นนานแล้ว นางยืนรออยู่ที่หน้าประตูห้องนอนของแม่ทัพติง เมื่อเห็นหลี่หรูอี้ก็รีบวิ่งเข้าไปหาประหนึ่งได้พบญาติสนิทของตน “ท่านหมอเทวดาน้อย วันนี้ท่านจะสามารถเอาหัวศรออกจากหน้าอกของสามีข้าได้จริงๆ ใช่หรือไม่เ้าคะ”
หลี่หรูอี้พยักหน้าด้วยความมั่นใจ “ต้องตรวจอาการดูก่อน เมื่อตรวจแล้วก็จะลงมือผ่าตัดขอรับ”
ฮูหยินติงรู้สึกยินดียิ่งนัก
และยังเป็เฉิงอิ้งที่เอ่ยปากสอบถามอีกว่า “เมื่อเอาหัวศรออกแล้ว คนยังจะอยู่ได้อีกกี่วัน”
“วิธีผ่าตัดที่ข้าใช้ไม่เคยมีมาก่อน ท่านเห็นแล้วก็จะรู้เอง” หลี่หรูอี้คิดในใจ หากไม่ตัดไม้ข่มนามเ้าสักคราว เ้าก็คงไม่รู้จักความร้ายกาจของข้า
เฉิงอิ้งยังไม่บรรลุเป้าหมายจึงไม่ยอมเลิกรา ยิ่งร้องถามเสียงสูงขึ้นกว่าเดิมว่า “ข้าถามเ้าว่าตอนที่เอาหัวศรออกนั้น ท่านแม่ทัพติงจะเจ็บจนตายหรือไม่ จะเสียเืมากเกินไปจนตายหรือไม่ เอาหัวศรออกแล้ว ท่านแม่ทัพติงจะมีไข้หรือไม่ หลังจากมีไข้แล้วจะตายหรือไม่”
กรณีรักษาหัวศรอาบยาพิษในทรวงอกของแม่ทัพติงนี้ เฉิงอิ้งกับเฮ่อส้าวจาวหารือกันมาหลายคราแล้ว เฉิงอิ้งยังนำกรณีศึกษานี้เขียนไปแจ้งต่อศิษย์พี่น้องหลายคน และได้รับคำตอบกลับมาว่า ไร้หนทางรักษา
การที่เฉิงอิ้งพูดจาเช่นนี้และทำเช่นนี้ที่แท้แล้วก็คือ ท่าทีที่เขาแสดงความห่วงใยต่อแม่ทัพติงนั่นเอง
คำถามที่เฉิงอิ้งจะถามเป็สิ่งเดียวกับที่เฮ่อส้าวจาวคิด เมื่อครู่นี้ ระหว่างทางเฮ่อส้าวจาวพยายามห้ามไม่ให้เฉิงอิ้งถาม ด้วยเกรงว่าเขาจะทะเลาะกับหลี่หรูอี้ขึ้นมา และเกิดเื่จนเป็ที่รู้กันทั่วทั้งจวนติง หากเื่ราวแพร่ออกไปก็จะไม่ดีกับทั้งสองฝ่าย
ทว่ายามนี้อยู่ภายในห้องแล้ว เฮ่อส้าวจาวจึงไม่ได้ห้ามปรามเขาอีก ซ้ำยังช่วยสำทับไปอีกว่า “ท่านหมอเทวดาน้อย ยามที่พวกเรารักษาคนเจ็บหนักในสำนักแพทย์หลวง ล้วนเป็วิธีรักษาและตำรับยาที่แพทย์หลวงหลายท่านได้ข้อสรุปร่วมกัน”
ครั้งหลี่หรูอี้มาตรวจรักษาแม่ทัพหลายท่านก่อนหน้านี้ ก็ไม่เคยได้พบกับผู้ร่วมวิชาชีพมาก่อน นี่จึงเป็ครั้งแรก หนำซ้ำผู้ร่วมวิชาชีพยังเป็บุคคลผู้ทรงอิทธิพลอย่างยิ่งอีกด้วย
หลี่หรูอี้คุ้นเคยกับการประชุมรักษาผู้ป่วยเป็อย่างดี ในโลกก่อนในการผ่าตัดสำคัญของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ก็ต้องมีการร่วมประชุมของแพทย์หลายสาขาเพื่อหารือให้ได้วิธีการผ่าตัดที่ดีที่สุด จึงบอกไปว่า “พวกท่านจะประชุมการรักษากับข้าใช่หรือไม่”
“เื่นี้…” เฮ่อส้าวจาวกล่าวอย่างขัดเขินเล็กน้อยว่า “พวกเรารักษาท่านแม่ทัพติงไม่ได้ จึงไม่สามารถร่วมประชุมกับเ้าได้ แต่อยากจะลองฟังวิธีรักษาของเ้ามากกว่า”
เขากล่าวถ้อยคำนี้อย่างเปิดเผยจริงใจนัก ทำให้หลี่หรูอี้รู้สึกดีกับเฮ่อส้าวจาวขึ้นมาส่วนหนึ่ง
เฉิงอิ้งบอกว่า “เ้าตอบคำถามที่ข้าถามไปเมื่อครู่นี้มาก่อน”
“ข้าทำยาชาที่สามารถลดความเ็ปในการผ่าตัดให้ผู้ป่วยได้ ข้าจะใช้ยาชานี้กับผู้ป่วย ใน่เวลาที่ยาชาออกฤทธิ์จะใช้เข็มเงินสะกดจุดชีพจรเพื่อห้ามไม่ให้เืของผู้ป่วยไหลออกมา และยังใช้ยาจิน่ทาที่าแของผู้ป่วยเพื่อห้ามเืด้วย ภายหลังผ่าตัดให้ผู้ป่วยเสร็จ ข้าก็จะทายาป้องกันบาดทะยักและให้ยาแก้ไข้จากการอักเสบให้ผู้ป่วย”
คำพูดทั้งหมดนี้ทำให้เฮ่อส้าวจาวถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด
ยาชาและยาทาจิน่ทั้งมวลนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็ยาชนิดใหม่ หากว่ามีฤทธิ์ยาเช่นที่หลี่หรูอี้ว่ามา ย่อมเป็บุญวาสนาของผู้คนทั้งใต้หล้า
แรกเริ่มเป็ยาขับพยาธิ จากนั้นก็เป็ยาชา และยาจิน่ หลี่หรูอี้อายุน้อยเพียงเท่านี้กลับสามารถคิดค้นยาใหม่ที่สามารถบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์การแพทย์และยาออกมาได้
“เ้าพูดเสียง่ายดาย แต่ยามที่ลงมือทำจริงๆ นั้นกลับยากเย็นนัก” เฉิงอิ้งสอบถามถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในการผ่าตัดกับหลี่หรูอี้ในทันที
คำถามของเขาเฉียบคมตรงประเด็น แต่เพราะหลี่หรูอี้มีความรู้ด้านการแพทย์ที่สูงมาก จึงสามารถตอบได้อย่างมั่นใจ
นี่มิใช่การตั้งคำถามปุจฉา-วิสัชนาทั่วๆ ไป แต่เป็การถามตอบเื่วิทยาการทางการแพทย์ระดับสูงครั้งหนึ่งทีเดียว
ฝ่ายหนึ่งถามรวดเร็ว อีกฝ่ายหนึ่งก็ตอบอย่างไม่รีบร้อน เพียงครู่หนึ่งก็ถามตอบกันไปหลายสิบคำถามแล้ว
สีหน้าของหลี่หรูอี้ยังคงมีความมั่นใจอย่างมาก ส่วนเฉิงอิ้งก็ค่อยๆ เปลี่ยนท่าทีจากเคลือบแคลงสงสัยกลายมาเป็เลื่อมใสศรัทธา
แต่ว่าการผ่าตัดนั้นก็ยังจำเป็ต้องใช้ประสบการณ์ตรงอย่างมาก ผู้ที่มีความรู้ด้านการแพทย์ไม่ได้หมายความว่าจะผ่าตัดได้สำเร็จ
................................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้