หลังจากที่จบการประลองรอบแรกไปแล้ว ทั่วทั้งลานกว้างเมฆาร่วงโรยแห่งนี้ก็คึกคักขึ้นมาทันที
สำหรับเหล่าผู้ชมที่ไม่รู้เบื้องลึกเื้ัแล้วผลการประลองครั้งนี้นับว่าเป็เื่น่ายินดีสำหรับพวกเขามาก เพราะถึงอย่างไรอี้ชังไห่ก็เป็ตัวแทนและเป็หน้าเป็ตาของนักการช่างแห่งอาณาจักรชูอวิ๋น
แต่สำหรับตระกูลเฉินและตระกูลโอวหยางรวมถึงซ่างกวันเฟยด้วยแล้ว นี่นับเป็อับอายขายขี้หน้าครั้งใหญ่
“เป็ไปไม่ได้!”
ซ่างกวันเฟยที่กว่าจะนั่งลงกับที่ได้นั้น ยังคงรู้สึกไม่พอใจกับผลการประลองอยู่จนต้องสบถออกมาอย่างก้าวร้าว
“ขวานศึกิญญาเหมันต์ของข้ามันอยู่ในจุดสูงสุดที่อาวุธิญญาจะสามารถไปถึงได้แล้วมันจะสับใส่ไอ้โล่นั่นไม่เข้าได้อย่างไร ไอ้แก่นั่นมันต้องแอบใส่วัตถุดิบขั้นสูงอะไรลงไปแน่ๆ!!”
เฉินเย่เซิงเองก็โมโหจนเส้นเืดำปูดโปน
แต่คนที่มันโมโหนั้นไม่ใช่ใครอื่น ซ่างกวันเฟยนั่นแหละ
ลูกศิษย์ของตระกูลนักการช่างอันใหญ่โตผู้นี้ปกติแล้วมันก็แข็งแกร่งจนยากที่จะหาใครเปรียบได้อยู่หรอก แต่พอเป็เวลาสำคัญแล้วมันชอบทำพลาดตลอด
เื่ที่เลี่ยนเทียนเฮ่าเมื่อครั้งก่อนก็ทีหนึ่งแล้วมารดามันเถอะ วันนี้มันยังมาทำให้ขายขี้หน้าต่อหน้าชาวเมืองอวิ๋นเฉิงนับแสนอีก...
ในใจเขาอยากจะะเิอารมณ์ออกมาใส่มันจนแทบทนไม่ไหวแต่พอเห็นเงาร่างที่ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าคลุมสีดำสี่คนที่ยืนคุมอยู่ด้านหลังของซ่างกวันเฟยแล้วก็ต้องทำใจปล่อยไป
ช่างเถอะ เพราะไม่ว่าอย่างไรชัยชนะในวันนี้ก็ต้องตกเป็ของเขาอย่าง “แน่นอน” อยู่แล้ว หวังิชงไม่มีทางทำอะไรโง่ๆ แน่
ก็ได้เวินติ่งเทียน ข้ายอมให้เ้าได้หน้าไปก่อนครู่หนึ่ง
อย่างไรชัยชนะในวันนี้มันก็ถูกกำหนดว่าต้องเป็ของข้าั้แ่แรกอยู่แล้ว!
งานประลองครั้งนี้ข้ามลำดับพิธีการหลังการประลองไปอย่างรวดเร็ว
แต่เดิมแล้วจะต้องมีการสัมภาษณ์นักการช่างทั้งสองฝ่ายให้ผู้ชนะกล่าวแสดงความรู้สึกหวังิชงมอบเหรียนรางวัลและจับมือแสดงความยินดีให้ผู้ชนะ เป็ต้น
แต่ทั้งหมดถูกตัดทิ้งไปแล้ว
งานประลองส่วนที่สองอย่างการประลองมหาสมบัติก็เริ่มต่อทันทีโดยตัดพิธีการอื่นๆ ออกหมด เหลือเพียงขั้นตอนการมอบสมบัติของแต่ละฝ่ายและขั้นตอนการตรวจสอบและวัดผลเท่านั้น
และยังมีการเปลี่ยนรูปแบบการประลองไปจากเดิมด้วย
แต่เดิมแล้วการประลองรอบนี้จะแสดงทุกขั้นตอนให้ทุกคนเห็นโดยไม่ปิดบังโดยให้ทั้งสองออกมานำเสนอจุดเด่นของสมบัติของตัวเองเสร็จแล้วก็มอบหน้าที่ให้ข้าราชการของฝ่ายผู้ดูแลภายในเป็คนตัดสินแบบสดๆ บนเวทีเลย
แต่รอบนี้กลับไม่ได้ทำอย่างนั้น
พวกเขาทำการมอบสมบัติและให้คณะกรรมการตัดสินผลการประลองกันหลังเวที
แค่นี้... ก็พอจะรู้กันแล้วว่ามีเื่ไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น
บรรยากาศของงานประลองก็เปลี่ยนเป็เน่าเบื่อสุดขีด
“เฮ้ยเฮ้ย... ทำไมอยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนไปทำแบบลับๆ กันเล่าอย่างนี้พวกข้าก็มองอะไรไม่เห็นน่ะสิ....”
เหล่าผู้ชมเริ่มประท้วงกันแล้ว
“นั่นน่ะสิ ก่อนหน้านี้ก็ประลองกันแบบนี้หรือ?”
“หึหึ แค่นี้ก็ดูกันไม่ออกหรือ? คงมีใครบางคนกลัวว่าตระกูลเวินจะมีไพ่ตายสุดยอดแอบซ่อนไว้อยู่ก็เลยไม่ยอมให้คนนอกได้เห็นขั้นตอนการตัดสินน่ะสิ... ข้าว่าการประลองรอบนี้น่ะ ถูกกำหนดผลลัพธ์ไว้ั้แ่แรกแล้ว!!”
ผู้คนที่มาชมการประลองต้องมีคนที่ฉลาดมาดูด้วยอยู่แล้ว และไอ้วิธีแบบปิดหูขโมยระฆังแบบนี้มันก็ดูออกง่ายซะเหลือเกิน
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี!
ใครใช้ให้ตระกูลเวินอยู่ดีๆ ก็พลิกจากหน้ามือเป็หลังเท้าแบบนี้เล่า
เฉินเย่เซิงเองและหวังิชงเองก็เลยเริ่มไม่มั่นใจว่าจะชนะกันตรงๆได้
ถึงได้เลือกใช้วิธีที่หน้าไม่อายแบบนี้ออกมา
งานประลองก็เลยกร่อยไปเลย
แต่ถึงจะน่าเบื่ออย่างไรพวกเขาก็ยังอยู่ดูต่อ เพราะว่าหลังจากเสร็จสิ้นการประลองอันน่าเบื่อนี้ไปแล้วผลที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้นต่างหากที่ชวนให้ผู้ชมติดตาม
พวกเขาต่างก็รู้ว่าผลการประลองครั้งมีความหมายอื่นนอกจากชัยชนะแฝงเอาไว้ด้วย
โรงงานช่างของเมืองอวิ๋นเฉิงแต่เดิมนั้นกรรมสิทธิ์ตกเป็ของตระกูลเวินแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นหากไม่ได้รับอนุญาตจากฝ่ายผู้ดูแลภายในละก็ ผู้อื่นจะไม่สามารถเปิดโรงงานช่างอื่นๆในเมืองอวิ๋นเฉิงได้เลย
และการประลองครั้งนี้ทั้งตระกูลเวินและตระกูลเฉินต่างก็เซ็นสัญญากันไว้แล้ว
ถ้าตระกูลเฉินเป็ฝ่ายชนะละก็ตระกูลเวินจะต้องปิดร้านค้าสาขาย่อยลงส่วนหนึ่ง และต้องแบ่งส่วนแบ่งในตลาดให้ครึ่งหนึ่งโดยไม่มีเงื่อนไขและอนุญาตให้ตระกูลเฉินสามารถเปิดโรงงานช่างในเมืองอวิ๋นเฉิงได้เพื่อที่จะสามารถแข่งขันกับตระกูลเวินอย่างยุติธรรม
แต่ถ้าตระกูลเวินเป็ฝ่ายชนะ ตระกูลเฉินจะต้องจ่ายค่าชดเชยสำหรับการประลองเป็วัตถุดิบสำหรับงานช่างที่มีมูลค่ามหาศาล
แต่สำหรับเวินติ่งเทียนแล้ว ถ้าแพ้ผลลัพธ์ไม่ได้หยุดที่แค่ต้องแบ่งส่วนแบ่งในตลาดให้แน่นอนตระกูลเวินก่อนหน้าก็อยู่ในสภาพที่ร่อแร่เต็มทนอยู่แล้วหากตระกูลเฉินสามารถเปิดร้านได้ละก็โรงงานช่างของตระกูลเวินก็เตรียมปิดตัวลงได้เลยและตระกูลเวินก็จะถูกกำจัดให้หายไปจากเมืองอวิ๋นเฉิง ตลอดกาล
นี่ก็คือแผนชั่วที่เฉินเย่เซิงวางเอาไว้มานานแล้วที่จริงแผนการก็ดำเนินไปได้อย่างสะดวกราบลื่นด้วยแต่หลังจากการประลองยุทธภัณฑ์ไปแล้ว ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปจนยากที่จะควบคุมได้อีก
แต่เฉินเย่เซิงยังคงเชื่อมั่นในตัวของหวังิชงตราบใดที่มีฝ่ายผู้ดูแลภายในคอยสนับสนุนอยู่ตระกูลเวินไม่มีทางพลิกสถานการณ์ได้เด็ดขาด
หลังจากที่เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยามแล้วนั้น ในที่สุด
ผลการประลองก็ถูกตัดสินเรียบร้อยแล้ว
จดหมายฉบับหนึ่งถูกส่งให้กับหวังิชงแล้วสายตาทุกคนล้วนจับจ้องไปยังจุดกึ่งกลางของเวที
ความขัดแย้งของสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองอวิ๋นเฉิงในที่สุดก็กำลังจะได้ผลสรุปออกมาเสียที
“ต่อไป ข้าขอประกาศ!”
หวังิชงลุกขึ้นยืนประกาศข้อความออกมาด้วยถ้อยคำที่ชัดเจนและฟังชัดเหล่าผู้คนเองก็รอฟังคำตัดสินกันอย่างเงียบสงบ
“ในการประลองของงานเทศกาลขุมทรัพย์สมบัติิญญาในครั้งนี้ผลิตภัณฑ์งานช่างที่ได้รับรางวัลชนะเลิศไปนั่นก็คือ...”
หวังิชงหันไปมองทั่วทั้งสนาม เวินติ่งเทียนนที่กำลังนั่งฟังอย่างนิ่งสงบและเฉินเย่เซิงที่กำลังได้ใจ
เขาแอบคิดในใจว่า “เวินติ่งเทียนเอ๋ย เ้าอย่าโทษข้าเลยนะใครใช้ให้ข้าเข้าร่วมเป็พวกกับองค์ชายลำดับที่เก้าไปแล้วเล่า...”
หลังจากที่เขาแอบสารภาพบาปในใจครั้งสุดท้ายไปแล้วเขาก็ประกาศคำตัดสินที่ถูกกำหนดเอาไว้ั้แ่แรกแล้วออกมา
“ผลิตภัณฑ์งานช่างที่ได้รับรางวัลนั้นเป็อาวุธิญญาคุณภาพสูงที่ได้มาจากตระกูลเฉิน- ดาบจันทรารุ่งโรจน์!”
“ยินดีด้วยท่านประมุจเฉินนักการช่างของท่านสามารถคว้าเกียรติยศอันสูงส่งมาให้ท่านได้แล้วและยังคว้าโอกาสทองในการทำตลาดด้านงานช่างมาให้ท่านได้อีก! ขอแสดงความยินดีให้กับตระกูลเฉินด้วย!!”
เฮ
ภายใต้การนำของหวังิชง ผู้ชมในสนามก็พากันปรบมือส่งเสียง
ส่วนโอวหยางกงนั้นยืนขึ้นหัวเราะดังฮ่าฮ่า ประสานมือทำท่าคำนับ“ฮ่าฮ่าฮ่ายินดีด้วยพี่น้องเฉินในที่สุดก็สามารถพิสูจน์ความสามารถด้านงานช่างของตระกูลเฉินได้แล้วหลังจากนี้บรรดายุทธภัณฑ์ของตระกูลโอวหยางเรา คงต้องไปซื้อที่คฤหาสน์ตระกูลเฉินแทนแล้วล่ะ!”
“ไม่หรอก ไม่หรอก บังเอิญน่ะข้าแค่บังเอิญเท่านั้น!” เฉินเย่เซิงเองก็ลุกขึ้นมาตอบรับยิ้มจนแก้มแทบฉีกออกมาแล้ว
เขาเข้าไปแสดงความขอบคุณกับผู้คนโดยรอบและเดินขึ้นไปบนเวทีและกล่าวปราศรัยให้กับชาวเมืองอวิ๋นเฉิงนับแสนคนว่า
“ทุกท่านโปรดวางใจ ข้าขอรับประกันไว้ตรงนี้เลยว่ายุทธภัณฑ์ที่ผลิตโดยตระกูลเฉินเรานั้นจะต้องเป็ของที่คุณภาพดีและราคาถูกอย่างแน่นอนทั้งหมดจะเป็ไปตามความ้าของประชาชนชาวอวิ๋นเฉิงอย่างแน่นอน!”
“เยี่ยม!”
“ประมุขตระกูลเฉินใจกว้างยิ่งนัก! ข้าชอบท่าน!”
“ตระกูลเฉินแข็งแกร่งยิ่งหลังจากนี้คงต้องซื้อของกับเขาแล้วล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ในกลุ่มผู้คนนั้นมีหน้าม้าที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้แล้วแฝงอยู่ด้วย พอได้โอกาสพวกเขาก็เริ่มปรบมืออวยตระกูลเฉินทันที
แต่คนจำนวนมากกว่ายังคงนิ่งไม่เคลื่อนไหว
พวกเขาต่างก็รู้สึกได้ว่าผลลัพธ์ครั้งนี้มีเงื่อนงำบางอย่างดังนั้นพวกเขาก็เลยไม่ได้พูดอะไรออกมา รอดูว่าเื่ราวในครั้งนี้จะเป็ไปในทิศทางไหน
เวินติ่งเทียนและเหล่าคนของตระกูลเวินยังคงนั่งมองละครลิงของพวกเฉินเย่เซิงอยู่นิ่งๆ
พวกเขาไม่ได้แสดงสีหน้าบึ้งตึงออกมาเลยมิหนำซ้ำยังแอบยิ้มอยู่หน่อยๆ ด้วย
ท่าทีแปลกประหลาดของพวกเขาทำให้เฉินเย่เซิงและโอวหยางกงทั้งสองคนรู้สึกผิดปรกติอย่างมาก
มารดามันเถอะเวลาแบบนี้เวินติ่งเทียนมันต้องโกรธจนหน้าแดงแล้วสบถด่าออกมาครั้งใหญ่เลยไม่ใช่รึ?
อย่างน้อยก็ต้องมีท่าทางเหมือนคนแพ้บ้างสิ
ทำไมตอนนี้เขากลับรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็ตัวตลกที่กำลังถูกทั่วทั้งสนามจับจ้องอยู่เลย
เฉินเย่เซิงมองหน้ากับโอวหยางกงจากนั้นก็ตัดสินใจเข้าไปเปิดฉากหาเื่มันก่อนเลย
“ฮ่าฮ่า พี่น้องเวิน ในที่สุดก็ยอมรับแล้วสินะ! ในวงการงานช่างหลังจากนี้ ข้าก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ พี่น้องเวิน”
เฉินเย่เซิงหวังจะได้เห็นเวินติ่งเทียนทำหน้าบูดบึ้งออกมาบ้างสักเล็กน้อยก็ยังดีแต่น่าเสียดายที่เวินติ่งเทียนไม่หลงกล
เวินติ่งเทียนลุกขึ้นมาแล้ว
เขาดูนิ่งสงบและหนักแน่นราวกับขุนเขาและท้องทะเล
เขามองไปที่หน้าของเฉินเย่เซิงโดยที่ไม่ยิ้มเลยแม้แต่น้อย หลังจากนั้นก็เมินเฉยใส่ทันทีและหันไปมองทางหวังิชงที่นั่งอยู่บนที่นั่งอันหรูหราของเขา
“ท่านหวัง” เวินติ่งเทียนยืนเอามือไขว้หลังไว้และไม่ใช้ภาษาทางการแบบผู้น้อยพูดกับผู้ใหญ่กว่าแล้ว “ข้ามีอยู่เื่หนึ่งที่ยังไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไร”
“ประมุขเวินเชิญถาม” หวังิชงที่เห็นท่าทีของเวินติ่งเทียนแบบนั้นแล้วก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไร
เวินติ่งเทียนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดังและฟังชัด “ท่านรับส่วยจากตระกูลเฉินมากแค่ไหนกันทำไมถึงกล้าพูดจาไร้สาระแบบนั้นออกมาได้!”
คำพูดประโยคเดียว ทำเอาเงียบไปทั้งสนาม
พวกเขาต่างก็คิดว่าตัวเองหูฝาดจนฟังผิดรึเปล่า
เวินติ่งเทียน... เมือครู่กำลังด่าท่านหวังอยู่อย่างนั้นหรือ?
มันกล้าด่าหัวหน้าฝ่ายผู้ดูแลภายในของราชสำนักอย่างนั้นหรือ!!
มันบ้าไปแล้วใช่ไหม!!
หวังิชงเปลี่ยนสีหน้าทันที “ประมุขเวิน ท่านรู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา?”
“ข้ารู้อยู่แล้ว” เวินติ่งเทียนกลับยังพูดเสียงดังขึ้นไปอีกหนึ่งระดับด้วยซ้ำ“ยังไม่หมดแค่นั้นหรอกนะ หวังิชง แกมันไอ้ข้าราชการโง่ไม่ได้เื่!”
คราวนี้ ทั่วทั้งสนามส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที
เฉินเย่เซิงที่เป็คนหัวไวนั้น ในจังหวะที่เวินติ่งเทียนกำลังทำผิดอยู่นั้นมันก็รีบเข้ามายุแยงให้ทะเลาะกันรุงแรงขึ้นทันที
“เวินติ่งเทียน แกบังอาจ! ด่าข้าราชการชั้นสูงของราชสำนักต่อหน้าสาธารณะชนแบบนี้รู้หรือเปล่าว่าต้องโดนโทษทัณฑ์อะไรบ้าง!!”
บรรยากาศพลันเปลี่ยนไปเป็กดดันและหนังอึ้งทันทีเวินติ่งเทียนอยู่ๆ ก็ะเิความโกรธแค้นทั้งหมดที่สั่งสมเอาไว้นานนับครึ่งปีออกมาท่ามกลางกลุ่มคนของตระกูลเวินในทันที
“โทษทัณฑ์อย่างนั้นรึ?” เวินติ่งเทียนหันขวับมาจ้องเฉินเย่เซิงด้วยแววตาเย็นเยือก“อย่างนั้นที่แกสั่งฆ่าคนของตระกูลเวินเราไปหกสิบแปดชีวิตนั่นเล่าควรจะโดนโทษทัณฑ์อะไร ?”
เฉินเย่เซิงหน้าเปลี่ยนสีไป รีบสวนกลับทันที “เวินติ่งเทียน เื่นั้นถูกฝ่ายผู้ดูแลภายในตัดสินไปนานแล้วแกจะยังมาต่อความยาวสาวความยืดอีกทำไม!”
เวินติ่งเทียนแสยะรอยยิ้มแสนเ็าออกมา “ก็เพราะอย่างนี้ ข้าเลยบอกว่าพวกผู้ดูแลภายในมันตาถั่วหวังิชงเองก็ปัญญาอ่อนด้วยเช่นกัน”
“พอได้แล้ว!”
ในที่สุดหวังิชงก็เริ่มอ้าปากพูดแล้ว
“เวินติ่งเทียน ข้าเห็นแก่ตระกูลเวินของเ้าที่สร้างคุณงามความดีให้กับอาณาจักรชูอวิ๋นของเรามายาวนานผลิตยุทธภัณฑ์ต่างๆ ให้เรามานานนับร้อยๆ ปี เื่วันนี้ข้าจะไม่ถือสาเ้าถอยกลับไปได้แล้ว!!”
พอพูดเสร็จ ก็เห็นหัวหน้าองครักษ์เกราะทองของเชื้อพระวงศ์ซูิชุน ที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาค่อยๆ ลุกยืนขึ้นช้าๆจากนั้นก็เริ่มปล่อยแรงกดดันอันมหาศาลออกมารอบตัว
ส่วนแม่ทัพตู้ิที่เคยดูแลตระกูลเวินมาโดยตลอดนั้นคราวนี้กลับทำเพียงแค่มองมาที่เวินติ่งเทียนด้วยแววตาเห็นใจแต่ไม่ได้ออกมาช่วยทำอะไรเลยสักอย่าง ท่าทางกำกวมเอาแน่เอานอนไม่ได้
“หวังิชง!”
เวินติ่งเทียนเรียกชื่อของมันออกมาตรงๆทั่วทั้งร่างลุกไหม้ไปด้วยรังสีฆ่าฟันออกมาโดยไม่ปิดบังไม่มีทีท่าว่าจะยอมก้มหัวให้เลยแม้แต่นิดเดียว “ข้าจะยอมถอยให้ก็ได้ แต่วันนี้เ้าต้องอธิบายเื่สองเื่ของเราต่อหน้าประชาชนชาวอวิ๋นเฉิงให้รู้เื่”
ฟึบ
เวินติ่งเทียนถอดแหวนที่กำลังเปล่งประกายแสงอันศักดิ์สิทธิ์ไปทั่วสี่ทิศออกมาเพียงแค่ชั่วพริบตา ก็สามารถเรียกเอาชั้นวางขนาดสามชั้นที่ทำจากไม้ออกมาบนนั้นถูกวางเอาไว้ด้วยป้ายชื่อของเหล่าคนจากตระกูลเวินทั้งหกสิบแปดชีวิตที่ตายไปจนแน่นเต็มชั้นไปหมด
เสียงะโกู่ก้องของเขาดังราวอสนีบาตดุจเกลียวคลื่นแห่งความพิโรธอันคลุ้มคลั่ง “แหวนพระสุเมรุของตระกูลเวินเรามีมิติช่องว่างที่กว้างใหญ่ถึงหนึ่งแสนตารางเมตรอีกทั้งมันยังเป็ยุทธภัณฑ์ระดับวิถีราชันของจริงด้วย ไหนเ้าลองบอกข้ามาสิว่ามันสู้ไอ้ดาบระดับิญญากระจอกๆ นั่นไม่ได้ตรงไหน!”
“เ้าพูดต่อหน้าิญญาของคนในตระกูลเวินเราทั้งหกสิบแปดชีวิตมาสิว่าเ้าเชื่อจริงๆ ว่าเหตุการณ์สังหารโหดที่เขาเมฆมรกตนั่นไม่เกี่ยวกับไอ้ชาติหมาเฉินเย่เซิงนั่นเลยแม้แต่นิดเดียว!”
เ้า พูด ออกมา ซะ!!