เมื่อกงจื้อิได้ยินดังนั้น ความสงสัยในดวงตาของเขาก็หายไป แต่เขายังคงขมวดคิ้วอยู่ “ท่านลุงอวิ๋นบอกเ้าถึงสาเหตุอาการป่วยของข้าอย่างนั้นหรือ?”
ติงเหว่ยพยักหน้าและตอบอย่างนิ่งสงบว่า “เมื่อวานข้าตั้งไจไปถามโดยเฉพาะ ท่านลุงอวิ๋นก็พูดคร่าวๆ ให้ฟังไม่กี่ประโยค นายน้อยโปรดวางใจบ่าวไม่ใช่คนปากมาก อีกอย่างบ่าวเคยเห็นคนป่วยที่ต้องนอนอยู่บนเตียงเช่นเดียวกับท่าน หลังจากที่รักษาด้วยการทำกายภาพบำบัดง่ายๆ มีหลายคนที่สามารถกลับมาเดินเหินได้อีกครั้ง ร่างกายของนายน้อยมีพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว ขอแค่ท่านมีความเชื่อมั่น โอกาสที่จะฟื้นตัวก็ยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย”
กงจื้อิมองสตรีที่อยู่ข้างกายเขามาหลายเดือนอย่างประเมิน ราวกับเขา้าจะมองความคิดของนางให้ทะลุปรุโปร่งทั้งหมด นางปฏิบัติต่อเขาอย่างตั้งใจขนาดนี้ เป็เพราะว่ามีแผนการณ์อะไรแอบแฝง หรือเป็เพราะนางแค่ตั้งใจทำจริงๆ ในฐานะบ่าวไพร่กันแน่?
แต่ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรเขาก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธข้อเสนอของนางอยู่แล้ว ความจริงแล้วประโยคที่บอกว่าจะกลับมาเดินได้อีกครั้งนั้นทำให้เขารู้สึกประทับใจจริงๆ ถึงแม้จะเป็แค่ความหวังอันน้อยนิดก็ตาม แต่เขาจะคว้ามันเอาไว้!
“ตกลง เช่นนั้นทำทุกอย่างที่เ้า้าเถอะ”
ติงเหว่ยก้มศีรษะลงพลางอดทนรอฟังคำพูดที่ ‘แหลมคมราวกับใบมีด’ อยู่นาน ในที่สุดเมื่อได้ยินประโยคนั้นนางก็ถอนใจยาวออกมาอย่างโล่งอก
“ขอบคุณนายน้อยที่เชื่อใจ”
เมื่อพูดจบติงเหว่ยก็ไม่พูดอะไรให้มากความ นางพับแขนเสื้อและดึงมือขวาของกงจื้อิออกมาด้านหน้าของตนเอง นางหาจุดลมปราณ นวดไปมาจากนั้นก็กดลงไปเบาๆ ด้วยความคล่องแคล่วและตั้งใจ
กงจื้อิประหลาดใจในฝีมือที่ดูเชี่ยวชาญของติงเหว่ย เมื่อเขาก้มหน้าลงไปมองก็เห็นข้อมือสีขาวนวลทั้งสองข้างจนทำให้เขาตาพร่า ดังนั้นเขาจึงรีบหันหน้าไปมองนอกหน้าต่างแทน
ติงเหว่ยเองก็สังเกตเห็นอาการนี้ แต่กลับคิดไปเองว่าเป็เพราะวิธีรักษาทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วน เพราะความจริงแล้วหญิงชายมิควรถูกเนื้อต้องตัวกัน ดังนั้นนางจึงใช้บันทึกการเดินทางเล่มนั้นมาเป็ข้ออ้างและแกล้งทำเป็สงสัยแล้วถามว่า “นายน้อย ไม่กี่วันมานี้ข้าได้อ่านบันทึกการเดินทาง เห็นในหนังสือเขียนว่าที่ซีเจียง [1] จะมีบางครอบครัวนำเด็กแรกเกิดไปวางไว้บนโต๊ะเพื่อบูชาให้แก่เทพเ้า ทำไมถึงเป็เช่นนั้นได้? ในโลกนี้จะมีพ่อแม่ที่ใจร้ายขนาดนั้นอยู่ด้วยหรือ?”
“อ๋อ” กงจื้อิคิดไม่ถึงว่านางจะพูดคุยกับเขาแบบเป็กันเองขนาดนี้ ในใจเขานอกจากจะมีความแปลกใจเล็กน้อยแล้วเหมือนจะมีความสุขด้วยนิดหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบไปอย่างราบเรียบว่า “นั่นคือประเพณีของคนซีเจียง พวกเขาไม่ได้อยากจะทำร้ายลูกของพวกเขา แต่ความจริง้าอธิษฐานให้เทพเ้าช่วยคุ้มครองลูกของพวกเขาให้สุขภาพแข็งแรงไปตลอดชีวิต”
“เป็อย่างนี้นี่เอง คนเขียนบันทึกเล่มนั้นช่างประมาทเสียจริง เขียนออกมาอย่างลวกๆ เช่นนี้ ทำเอาข้ากลัวจนคิดว่าข้ายังโชคดีที่ไม่ได้เกิดมาเป็คนซีเจียง มิเช่นนั้นลูกของข้าก็คงมิพ้นต้องบูชาให้แก่เทพเ้าเสียแล้ว เช่นนั้นข้าจะอดทนตั้งท้องเขามาทำไมกัน”
มือทั้งสองข้างของติงเหว่ยขยับไปมาอย่างคล่องแคล่ว นวดแขนข้างขวาเสร็จก็ดึงแขนข้างซ้ายของกงจื้อิออกไปนวดต่อ
กงจื้อิแกว่งแขนขวาไปมาแล้วรู้สึกปวดเล็กน้อย เขาจึงอยากจะสะบัดแขนไปมาสักหน่อย แต่จู่ๆ ติงเหว่ยก็นึกอะไรขึ้นมาได้ นางหยิบเหอเถาสองลูกที่ขนาดเท่ากำปั้นของเด็กทารกออกมาจากก้นกล่องที่ใส่อาหาร นางยิ้มแล้วบอกว่า “นายน้อย เวลาที่ท่านไม่มีอะไรทำให้เอาเหอเถาสองลูกนี้มากลิ้งเล่นในฝ่ามือ เมื่อเวลาผ่านไปนิ้วของท่านก็จะยืดหยุ่นได้มากขึ้น และยังส่งผลดีกับเส้นลมปราณที่แขนของท่านด้วย”
หลังจากที่นางพูดจบ นางก็ถือเหอเถาสองลูกไว้ในมือและสาธิตให้เขาดูสองสามครั้ง จากนั้นก็เอาไปวางไว้บนฝ่ามือของกงจื้อิ
กงจื้อิกำฝ่ามือของเขาแน่นโดยไม่รู้ตัว เขารู้สึกว่าเปลือกของเหอเถาสองลูกนี้หยาบกระด้างไปสักหน่อย เมื่อเขาแบฝ่ามือออกก็มีร่องรอยปรากฏอยู่เต็มไปหมด
ติงเหว่ยรู้สึกผิดนิดหน่อยจึงอธิบายว่า “ในเดือนนี้ข้ายังหาเหอเถาดีๆ ไม่ได้ นายน้อยใช้เล่นไปพลางๆ ก่อน เดี๋ยวพอถึงฤดูใบไม้ผลิข้าค่อยขอให้ผู้ดูแลหลินช่วยออกไปเสาะหาอันที่ดีสักหน่อยมาให้ หรือไม่ก็เปลี่ยนเป็หลี่ฉือฉิว [2] ที่มีผิวเรียบลื่นมันวาวแทนก็ได้”
กงจื้อิลองหมุนพวกมันในมือสองสามครั้ง เมื่อได้ยินเสียงเหอเถาสองลูกกระทบกัน ไม่รู้เหตุใดเขาจึงรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทันที
“ไม่จำเป็ แค่เหอเถาสองลูกนี้ก็พอแล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้นติงเหว่ยก็ไม่ได้เกลี้ยกล่อมเพิ่มแต่อย่างใด แต่กลับยกแขนซ้ายที่แทบจะไร้ความรู้สึกของเขามาเริ่มนวดให้แรงขึ้นแทน
พวกเขาทั้งสองพูดคุยกันไปมา ไม่ทันไรก็ผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว ติงเหว่ยเองก็ไม่ได้ทำอย่างนี้มานาน บวกกับตอนนี้นางยังตั้งครรภ์อยู่ด้วย หลังจากนวดซ้ำไปซ้ำมาบนหน้าผากของนางก็ถูกปกคลุมไปด้วยเม็ดเหงื่อจำนวนหนึ่ง
เมื่อกงจื้อิเห็นเขาก็ยกมือขึ้นแล้วรินชาอุ่นๆ หนึ่งถ้วยให้นาง ติงเหว่ยเองก็รู้สึกกระหายน้ำจริงๆ จึงหยิบขึ้นดื่มอย่างไม่มีพิธีรีตองใดๆ หลังจากนั้นนางก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อคนเราหิว อาหารก็จะรสชาติอร่อย เมื่อคนเรากระหาย ชาก็จะมีรสชาติหวาน และความจริงก็เป็เช่นนั้นจริงๆ”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาในดวงตาของกงจื้อิครู่หนึ่ง เขาพยักหน้า “เป็เช่นนั้นจริงๆ ครั้งหนึ่งขณะที่กำลังเดินทัพในซีเจียง กองทัพไม่สามารถหาแหล่งน้ำได้เป็เวลากว่าสองวันสองคืน ต่อมาพวกเขาก็พบกับแม่น้ำเล็กๆ ทหารทั้งหมดต่างพากันนอนราบอยู่ริมแม่น้ำและดื่มกันอย่างเอร็ดอร่อย พวกเขามีความสุขเสียยิ่งกว่าได้ดื่มเหล้าอีก”
ติงเหว่ยหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อ จากนั้นก็ยิ้มให้แล้วจับแขนซ้ายของเขาวางลงข้างลำตัว นางพูดออกมาอย่างคล่องแคล่วว่า “ข้าได้ยินมาว่าอูฐในทะเลทรายสามารถหาแหล่งน้ำได้ด้วยตนเอง ครั้งหน้าหากเป็อย่างนั้นอีก ก็หาอูฐสักตัวแล้วเดินตามมันไป ไม่แน่อาจหาแหล่งน้ำได้เร็วขึ้นก็เป็ได้”
นางพูดออกไปตามสิ่งที่ใจคิด ส่วนมือก็กำลังยุ่งอยู่ นางจึงไม่ทันเห็นกงจื้อิเลิกคิ้วขึ้นแล้วดวงตาของเขายังมีประกายเ็าขึ้นมาครู่หนึ่ง
“เสร็จเรียบร้อยแล้ว นายน้อย บ่าวขอตัวไปเตรียมอาหารกลางวันก่อน ตอนเย็นก่อนนอนข้ายังต้องมานวดอีกครั้งหนึ่ง แล้วท่านก็อย่าลืมหมุนเหอเถาด้วยล่ะ”
“อืม” กงจื้อิตอบเบาๆ และกล่าวเสริมในตอนท้ายว่า “เ้าไม่จำเป็ต้องแทนตัวเองว่าบ่าวหรอก”
ติงเหว่ยที่กำลังจะลุกขึ้นยืนก็ตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนี้ นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดนายน้อยที่อารมณ์เอาแน่เอานอนไม่ได้คนนี้จู่ๆ ถึงเอาใจใส่นางให้ไม่ต้องแทนตนเองอย่างต่ำต้อย แต่ก็ไม่มีใครที่จะชอบแทนตนเองด้วยคำว่าบ่าวทุกประโยคอยู่แล้ว เสมือนคอยย้ำเตือนความจริงที่ว่าตนเองอยู่ในฐานะต่ำ นางเองก็ไม่รังเกียจเื่แบบนี้อยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่านายน้อยจะพูดออกมาด้วยสาเหตุอะไร นางก็ขอรับน้ำใจนี้ไว้ด้วยความยินดี
“ขอบคุณนายน้อยที่เมตตา ถ้าอย่างนั้น…ข้า ข้าขอตัวไปก่อน”
ขณะที่ติงเหว่ยพูดนางก็คำนับให้เขาหนึ่งทีแล้วเดินลูบท้องเบาๆ ออกไปช้าๆ อวิ๋นอิ่งยังคงรออยู่นอกประตูเหมือนเดิม เมื่อเห็นติงเหว่ยเดินออกมาก็เข้าไปประคองแขนของนางและเดินออกจากเรือนหลังไป
กงจื้อิหรี่ตาลงเล็กน้อยและมองดูติงเหว่ยเดินจากไปไกลแล้ว เขาก็ค่อยๆ ยกมุมปากขึ้นมา แม่ครัวคนนี้มาจากครอบครัวชาวนาจริงหรือ หรือเป็เพราะเขาไปสู้รบมานานและไม่ได้ออกไปเห็นโลกมาหลายปีแล้วกันแน่? เป็ไปได้หรือที่หญิงสาวจากครอบครัวชาวนาจะมีฝีมือทำอาหารที่ดีขนาดนี้ ทั้งยังกล้าคิดกล้าทำ และที่หาได้ยากที่สุดคือมีความรอบรู้อีกด้วย ถึงขนาดที่รู้อย่างชัดเจนว่าสามารถใช้อูฐหาน้ำในทะเลทรายได้
น่าสนใจ น่าสนใจ ช่างน่าสนใจจริงๆ!
……
ติงเหว่ยกำลังเดินไปเดินมาและคิดว่าจะทำกับข้าวอะไรดี ไม่รู้ทำไมจู่ๆ นางก็รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา นางหันกลับไปมองด้านหลังโดยไม่รู้ตัว แต่ก็เห็นเพียงลมอุ่นๆ ที่พัดผ่านพุ่มไม้สองข้างทาง ทำให้ใบไม้ที่เพิ่งงอกใหม่พวกนั้นสั่นไหวไปมาอย่างรวดเร็ว เมื่อไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ นางจึงทำได้แค่ส่ายศีรษะ จากนั้นก็ครุ่นคิดถึงรายการอาหารต่อไป…
วันที่ยุ่งวุ่นวายมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ ติงเหว่ยไปนวดให้กงจื้อิทุกวันวันละสองครั้งเช้าเย็น ส่วนอาหารทั้งสามมื้อก็จะพยายามจัดเตรียมให้เขาอย่างดีที่สุด นอกจากนี้นางยังไปหาสมุนไพรจากท่านหมอซานอีมาหมักเป็เหล้าเพื่อบำรุงกล้ามเนื้อ กระดูก เส้นลมปราณ และการไหลเวียนของเื ถึงขนาดที่ว่าแม้แต่น้ำชาที่กงจื้อิดื่มยังถูกเปลี่ยนมาเป็ชาพุทราผสมเก๊กฮวยแทน
ในตอนแรกซานอีตำหนิท่านลุงอวิ๋นว่าเหตุใดปล่อยให้ติงเหว่ยมายุ่งวุ่นวายแบบนี้ หากว่าอาการของนายน้อยแย่ลงขึ้นมา พวกเราไม่พากันซวยหมดหรอกหรือ
แต่หลังจากที่เขาสังเกตติงเหว่ยอย่างละเอียดใน่หลายวันมานี้ สมุนไพรที่เพิ่มเข้าไปในอาหารนั้นล้วนเป็ของบำรุงที่มีประโยชน์ และการนวดในแต่ละครั้งก็ไม่มีความผิดปกติใดๆ เขาจึงค่อยๆ รู้สึกวางใจ
ส่วนผู้ดูแลหลินที่ฝีมือเก่งกาจและเงียบขรึม ถึงแม้จะรู้สึกประหลาดใจปนสงสัยอยู่บ้าง แต่สิ่งที่ติงเหว่ยให้เขาไปเสาะหานับวันยิ่งแปลกประหลาดขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาเขาต้องวิ่งวุ่นเสาะหาไปทั่วจึงไม่มีเวลามาสงสัยอีกต่อไป
ท่านลุงอวิ๋นเองก็กังวลเช่นกัน ทันทีที่เขาฟื้นร่างกายได้มากกว่าครึ่งเขาก็อยู่ในห้องของเ้านายตลอดทั้งวัน เขาเห็นกับตาตนเองว่านายท่านของเขาหมุนเหอเถาไปมา กินข้าว ดื่มชา และแน่นอนว่าถูกติงเหว่ยนวดไปนวดมาด้วย
เดิมทีติงเหว่ยยังกังวลว่าเมื่อคนอื่นได้ยินเื่นี้เข้าจะพากับซุบซิบนินทา นึกไม่ถึงเลยว่าคนที่รู้เื่เหล่านี้ไม่มีใครพูดอะไรเลยสักคน ไม่ต้องพูดถึงป้าหลี่กับทุกๆ คน ขนาดเซียงเซียงยังไม่รู้เลยว่าติงเหว่ยไปใกล้ชิดสนิทสนมกับนายน้อยสุดที่รักของนางตลอดทั้งวัน
ไม่ทันไรก็ผ่านไปเช่นนี้เกือบครึ่งเดือนแล้ว
……
ในวันที่ตื่นเช้าเช่นนี้ก่อนที่ทุกคนจะทันได้เพลิดเพลินกับอากาศเย็นสบาย พระอาทิตย์ก็ส่องแสงแรงมากราวกับจะทำให้ทั้งโลกปกคลุมไปด้วยน้ำมัน จักจั่นซึ่งหลับใหลมานานหลายวันในที่สุดก็ปีนขึ้นไปบนยอดไม้และร้องเพลงเสียงดังราวกับมันจะประกาศความรักที่มีต่อชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อคืนติงเหว่ยรู้สึกร้อนจนนอนไม่ค่อยหลับ และทารกในท้องของนางก็ยังซุกซนอีกด้วย พอตื่นเช้าลุกขึ้นมาทำอาหารจึงเหนื่อยล้านิดหน่อย แต่เมื่อคิดได้ว่ายังต้องไปนวดให้กับกงจื้อินางก็ฝืนไปเรือนหลังทั้งๆ ที่รู้สึกไม่ค่อยสบาย อวิ๋นอิ่งเห็นแล้วรู้สึกสงสารแต่นางก็พูดอะไรไม่ได้มาก นางใช้มือหนึ่งถือกล่องข้าวและอีกมือหนึ่งก็ประคองบ่าของติงเหว่ยไป พยายามให้ติงเหว่ยพิงมาที่ตัวนางให้ได้มากที่สุด จะได้เดินสบายขึ้นสักหน่อย
ติงเหว่ยโอบท้องของนางไว้กึ่งหนึ่งและยิ้มให้อวิ๋นอิ่งอย่างซาบซึ้งใจ หลังจากที่อยู่ด้วยเป็เวลานาน ติงเหว่ยก็รู้สึกชอบหญิงสาวผู้เงียบขรึมและเอาใจใส่คนนี้ขึ้นมา ในบางครั้งเมื่อเทียบกับคำพูดหวานๆ การอุทิศตนแบบเงียบๆ ทำให้น่าเชื่อถือได้มากกว่า
“ไม่เป็ไร อีกเดี๋ยวข้ากลับมานอนก็ดีขึ้นแล้ว”
ในขณะที่ทั้งสองคนเข้าไปในห้อง ปรากฏว่าในมือของท่านลุงอวิ๋นเองก็มีเหอเถาอยู่สองลูกและกำลังหมุนเล่นเป็เพื่อนนายท่านของเขา อาจเพราะท่านลุงอวิ๋นสังเกตเห็นว่าติงเหว่ยสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไร เขาจึงรีบลุกขึ้นและถามว่า “เกิดอะไรขึ้น หรือว่าในห้องครัวอากาศร้อนเกินไปหรือเปล่า?”
กงจื้อิเองก็ขมวดคิ้วและหยุดหมุนเหอเถาในมือของเขาเช่นกัน ดวงตาสีดำมืดของเขามองตรงไปที่อวิ๋นอิ่ง นางจึงก้มศีรษะลงในทันทีอย่างไม่ปฏิเสธแต่ก็ไม่อธิบายอะไร
ติงเหว่ยจึงรีบยิ้มอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ไม่ใช่เพราะอากาศร้อนหรอก อวิ๋นอิ่งก็พัดให้ข้าอยู่ตลอด แค่ทารกในท้องของข้าคงซุกซนเกินไป ทำให้ข้านอนไม่ค่อยหลับเพราะถูกเขาก่อกวน”
เมื่อท่านลุงอวิ๋นได้ยินดังนี้ เขาก็ยิ้มออกมาทันทีและพูดว่า “คนโบราณว่าไว้เด็กดื้อจะออกมาเป็ชายชาตรี เด็กน้อยคนนี้เมื่อเติบใหญ่จะได้เป็วีรบุรุษอย่างแน่นอน”
กงจื้อิเองก็มีสีหน้าอ่อนลง และพูดอย่างราบเรียบว่า “น้ำแกงสาหร่ายทะเลและหมูเส้นตอนเช้านั้นรสชาติสดใหม่มาก คงต้องลำบากเ้าแล้ว”
“ถ้าหากว่านายน้อยชอบก็กินให้เยอะสักหน่อย อย่าเห็นว่าส่วนผสมของน้ำแกงนั้นเรียบง่ายแต่แท้จริงดีต่อร่างกายเป็อย่างมาก” ในขณะที่ติงเหว่ยพูดอยู่ก็นั่งลงเพื่อเตรียมจะนวดให้กงจื้อิตามปกติ แต่เมื่อถึงตอนที่นางก้มตัวลงและยกแขนซ้ายของเขา พอนางจะลุกขึ้นจู่ๆ ภาพข้างหน้าก็กลายเป็สีดำและนางก็หมดสติล้มลงไปบนเตียง
ทุกคนต่างตกตะลึง ท่านลุงอวิ๋นรีบโยนเหอเถาในมือทิ้งไปทันที อวิ๋นอิ่งเองก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อเตรียมจะเข้าไปช่วยประคอง
นึกไม่ถึงว่าติงเหว่ยจะฟื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว นางส่ายศีรษะไปมาและปลอบใจทุกคนว่า “ข้าไม่เป็ไร เมื่อครู่ก็แค่…เอ๋ นายน้อย!”
“นายน้อย...มือของท่าน...” ท่านลุงอวิ๋นหันหน้ามาและเบิกตากว้างด้วยความใ
กงจื้อิกำลังใช้มือยันร่างผู้หญิงที่นอนบนตัวเขาอยู่ครึ่งหนึ่งด้วยสีหน้าประหลาดใจ เขาได้ยินสองคนคุยกันอย่างคลุมเครือ ดังนั้นกงจื้อิจึงมองตามสายตาพวกเขา และเห็นว่ามือซ้ายของเขากำลังยันไหล่ติงเหว่ยเอาไว้แน่น...
ติงเหว่ยพยุงตัวกับเตียงก่อนจะลุกขึ้นมานั่งให้ดี และนางก็ไม่ได้สนใจอาการเวียนหัวของตนเองที่ยังมึนอยู่เล็กน้อย ทว่ากลับยื่นมือออกไปคว้าแขนของกงจื้อิมาลองทุบๆ ตีๆ ดูแล้วถามซ้ำไปมาว่า “นายน้อย แบบนี้รู้สึกเจ็บหรือไม่ หรือว่ามีอาการชานิดหน่อยหรือไม่?”
-----------------------------------------
[1] ซีเจียง西疆 หมายถึง พรมแดนทางทิศตะวันตก (西部边疆)
[2] หลี่ฉือฉิว 理石球 หมายถึง หินอ่อนลูกกลมๆ