"ท่านเสร็จงานแล้วหรือ"
นั่งบนเก้าอี้มองเขาเมื่อยคอเกินไป เซวียเสี่ยวหรั่นจึงลุกจากเก้าอี้ แต่ก็ยังต้องเงยหน้ามองเขาอยู่ดี
กินอะไรเข้าไปถึงได้สูงใหญ่ขนาดนี้ ไม่รู้จะสูงไปทำไมนักหนา
"เสร็จแค่ชั่วคราว"
เหลียนเซวียนหลุบสายตาลงมาอยู่บนดวงหน้าเล็กจ้อยที่เงยขึ้นมารับ ยามดวงตากะพริบถี่ๆ แพขนตาเรียวยาวเรียงเส้นงามงอนภายใต้แสงตะเกียงราวกับพัดเล็กๆ โบกเข้ามาในหัวใจของเขา
"แล้วญาติผู้พี่กับเฟิงหยางเล่า พวกเขาก็กลับมาแล้วหรือ" เซวียเสี่ยวหรั่นก้าวเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าเขา
เหลียนเซวียนสวมอาภรณ์ตัวยาวสีขาวแทรกดิ้นเงินเป็ลายบุปผา เรือนผมสีดำสนิทเกล้ามวยสูงรัดด้วยเกี้ยวหยกมันแพะ ทั่วร่างยังมีกลิ่นหอมสะอาดหลังจากการอาบน้ำ เขาคงจะกลับจวนไปชำระร่างกายก่อนถึงออกมา
"พวกเขายังไม่กลับ" เหลียนเซวียนตอบอย่างไม่นำพา ก่อนยื่นมือไปขยับปิ่นที่เบี้ยวโย้บนมวยผมของนางให้เข้าที่
"ทำไมล่ะ? อีกนานแค่ไหนพวกเขาถึงจะกลับมา"
เซวียเสี่ยวหรั่นลูบมวยผมของตนเอง นี่คือสาเหตุที่เธอไม่ชอบสวมเครื่องประดับบนศีรษะ แค่ขยับตัวมากหน่อยก็เอียงหลุดอย่างง่ายดาย มิน่าสตรีในห้องหอถึงชายกระโปรงถึงไม่พลิ้วไหวยามขยับ เดินไม่เผยเท้า มิเช่นนั้นจะติดเครื่องประดับเต็มศีรษะได้อย่างไร
"ยังต้องพักอยู่ในวังชั่วคราว"
เหลียนเซวียนเดินมาข้างโต๊ะหนังสือ เอื้อมมือมาหยิบภาพผลงานที่นางวาดมาเป็ครึ่งค่อนวัน "นี่คือสิ่งใด"
รูปแบบค่อนข้างแปลกประหลาด ตรงส่วนขอบรูปทรงดูมีระเบียบ ตรงกลางคล้ายลวดลายดอกไม้บางอย่าง
"เป็ภาพหลังไพ่พูเค่อ" เซวียเสี่ยวหรั่นอมยิ้ม
เหลียนเซวียนพูดไม่ออก หันไปมองดวงหน้าใสซื่อ "ภาพด้านหลังเหล่านี้มีประโยชน์อันใด"
"เพื่อความสวยงาม" เซวียเสี่ยวหรั่นตอบแบบซื่อๆ
เหลียนเซวียนปรายตามองนางปราดหนึ่ง สงสัย่นี้นางจะว่างเกินไป
"คิกๆ ท่านไม่รู้หรือ ไพ่พูเค่อที่มีลวดลายถึงจะมีจิติญญา" เซวียเสี่ยวหรั่นป้องปากหัวเราะ
"ไพ่พูเค่อที่มีจิติญญา?" เหลียนเซวียนเลิกคิ้ว เห็นนางยิ้มจนดวงตาโค้งเป็เสี้ยวจันทร์ มุมปากก็โค้งขึ้นตามอย่างอดไม่ได้
อยู่ในวังทำแต่สีหน้าเ็ามายาวนาน พอได้เห็นรอยยิ้มหวานๆ ของนาง หัวใจเย็นชืดแข็งกระด้างก็ถูกความหวานของนางหลอมละลายจนอ่อนนุ่ม
"อื้อ เอาไว้ท่านเล่นพูเค่อเมื่อไรจะััได้เอง วันหลังท่านว่างเมื่อไร ข้าจะสอนให้เอง พวกเขาเล่นกันสนุกสนานมากเชียวล่ะ"
เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มร่าเริง แพขนตากะพริบปริบๆ ไพ่พูเค่อได้รับความนิยมเหนือความคาดหมายไปมากทีเดียว
"ได้"
เหลียนเซวียนผงกศีรษะรับปาก
เรือนหน้า ในห้องของเซวียเสี่ยวเหล่ย คนกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งล้อมอยู่รอบโต๊ะแปดเซียนฝังมุก
"ไม่ถูก เมื่อครู่ควรจะเล่นคู่เอซก่อน เพื่อฉวยโอกาสในการวางไพ่ จากนั้นถึงปล่อยสามแถวสิบกับคู่แจ๊ค เ้าเล่นปล่อยคู่แจ๊คออกไป สุดท้ายก็ต้องวางคู่เอซอยู่ดี สามแถวก็ไม่เหลือไพ่สองใบในลำดับเดียวกันแล้ว"
ยืนอยู่กลางสวนยังได้ยินเสียงโวยวายของเหลยลี่ดังออกมาจากหน้าต่าง
"หัวหน้าเหลย ดูหมากไม่พูดถึงจะเป็ยอดบุรุษแท้จริง เล่นไพ่ก็เหมือนกัน เมื่อครู่ใครกันที่ใช้ไพ่สามแถวตัดไพ่คู่ออกไป"
เสียงของฟางขุยก็ไม่เบา
"ข้าเพิ่งเริ่มต้น เลยตาลายไปหน่อย เ้าเด็กน้อยหลีกไป ถึงตาข้าแล้ว"
ด้านในของประตูหน้าต่างที่เปิดกว้างอยู่กำลังครึกครื้น
เซวียเสี่ยวหรั่นยืนขำกลิ้งอยู่นอกหน้าต่าง
เหลียนเซวียนเห็นบรรยากาศคึกคักข้างในก็เลิกคิ้วเล็กน้อย เ้าพวกนี้แค่เล่นสนุกต้องส่งเสียงดังขนาดนี้เชียวรึ?
ถึงเวลาอาหารเย็น เซวียเสี่ยวเหล่ยยังมีรอยยิ้มขบขันประดับใบหน้า "องครักษ์เหลยวางไพ่ช้าเกินไป ซ้ำยังวางผิดพลาด แพ้ก็ไม่ยอมรับ หันไปมององครักษ์ฟางเล่นไพ่ ใช้เหตุผลสารพัดมากล่าวอ้าง ต่างฝ่ายต่างโมโหเกือบจะชกกันแน่ะ"
"หากองครักษ์เลยไม่แก้นิสัยการเล่นไพ่ ต่อไปคงไม่มีใครเล่นกับเขาแล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นหัวเราะเสียงดัง
เหลียนเซวียนขมวดคิ้ว
"แต่เขาเพิ่งหัดเล่น ก็พอจะเข้าใจเหตุผลได้" เซวียเสี่ยวหรั่นรีบแก้ตัวแทนเหลยลี่สองสามประโยค เขาจะได้ไม่ถูกตำหนิเพราะเื่นี้
หลังจากคีบเนื้อวัวให้ทั้งสองคนแล้ว เซวียเสี่ยวหรั่นก็เอ่ยถึงเื่เข้าสำนักศึกษาของเซวียเสี่ยวเหล่ย
วันนั้นหลังจากพบซ่งจิ่งซีที่หน้าสำนักศึกษาทิงเทา เซวียเสี่ยวหรั่นก็ไม่อยากให้เซวียเสี่ยวเหล่ยไปเรียนที่นั่นแล้ว จะได้ไม่ถูกเ้าจิ้งจอกหน้าหนาผู้นั้นจับตามองอีก
ดังนั้นสองวันมานี้ เซวียเสี่ยวหรั่นถึงให้พ่อบ้านหม่าช่วยหาสำนักศึกษาที่น่าเชื่อถืออยู่ละแวกใกล้ๆ นางจะได้พาเซวียเสี่ยวเหล่ยไปดู
เซวียเสี่ยวหรั่นค่อนข้างสนใจสำนักศึกษาเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ตรอกจิ่วถ่า
เหลียนเซวียนฟังอย่างสงบ ก่อนวางชามตะเกียบ แล้วเอ่ยว่า
"ข้าคิดว่าไปสำนักศึกษาแบบปูพื้นฐาน เป็การเสียเวลา บทเรียนในสำนักศึกษาส่วนใหญ่ค่อนข้างช้า เสี่ยวเหล่ยฉลาดปราดเปรื่อง แนะนำให้จ้างอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิมาสอนส่วนตัวให้แก่เขาสัก่หนึ่ง รอจนถึงเดือนเก้าสำนักศึกษาใหญ่ทุกแห่งเปิดรับนักเรียนใหม่ ค่อยให้เสี่ยวเหล่ยไปทดสอบดู"
"หา? แต่อย่างนี้จะสร้างแรงกดดันให้เสี่ยวเหล่ยเกินไปหรือเปล่า" เซวียเสี่ยวหรั่นมองเซวียเสี่ยวเหล่ยซึ่งยังผ่ายผอมและอ่อนแออยู่
"เสี่ยวเหล่ยแค่ท้องไส้ย่ำแย่ไปนิด แต่ร่างกายแข็งแรงดีอยู่ อีกอย่างเขาเฉลียวฉลาด ดูเป็ผู้ใหญ่ อุปนิสัยสงบนิ่ง เรียนสิ่งใดล้วนเข้าหู บทเรียนปูพื้นฐานค่อนข้างง่าย ไม่เครียดมากนักหรอก" เหลียนเซวียนหันไปมองเด็กชายเรียบๆ
เซวียเสี่ยวเหล่ยเป็เด็กมีไหวพริบ รีบนั่งตัวตรงเอ่ยว่า "พี่สาว ข้าไม่รู้สึกกดดันเลยขอรับ"
เซวียเสี่ยวหรั่นหมดวาจา จำต้องเกลี้ยกล่อมอีกประโยค "เสี่ยวเหล่ย พี่ไม่ได้คิดจะให้เ้าไปสอบจอหงวนอะไรนั่นหรอกนะ ขอแค่เ้าไปสำนักศึกษาเล่าเรียนอย่างมีความสุขก็พอแล้ว ไม่ต้องเรียนให้ลำบากขนาดนั้น"
เหลียนเซวียนมองนางอย่างไม่รู้จะพูดอย่างไร ผู้อื่นส่งบุตรหลานไปเรียน มีแต่จะพร่ำเตือนทุกวี่วันให้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ขยันขันแข็งจะได้กลายเป็คนมีความสามารถเป็เกียรติเป็ศรีแก่วงศ์ตระกูล
นางกลับทำตรงข้าม ยังไม่ทันเข้าสถานศึกษา ก็บอกกับเด็กว่าไม่ต้องจริงจังขนาดนั้น แค่เรียนๆ ไปก็พอ
"ข้าทราบขอรับพี่สาว ข้าจะทำตามกำลังขอรับ" เซวียเสี่ยวเหล่ยยืดอก ดวงหน้าเล็กจ้อยแสดงความมุ่งมั่น
ท่าทางอย่างนี้เรียกว่าทำตามกำลังเสียที่ไหน มีแต่คำว่ามุมานะ ก้าวไปข้างหน้า และมุ่งมั่นหยัดยืนเขียนชัดอยู่บนใบหน้า
เซวียเสี่ยวหรั่นกุมหน้าผาก "แต่จะไปหาอาจารย์ที่เหมาะสมจากที่ไหนเล่า?"
เอาเถอะ เรียนก่อนสักสองสามเดือน หลังจากนั้นค่อยไปทดสอบ ถ้าไม่ได้ค่อยหาที่ศึกษาใหม่ก็แล้วกัน
"เื่นี้มอบหมายให้ข้า ข้าจะหาอาจารย์ที่เหมาะสมให้เสี่ยวเหล่ยเอง" เหลียนเซวียนหันไปยิ้มกับนาง
"อ้อ เช่นนั้นก็ดี ข้ายกให้ท่านจัดการเลยนะ" เซวียเสี่ยวหรั่นก็ไม่เกรงใจกับเขา
หลังจากมื้อเย็น สาวใช้เก็บโต๊ะอาหารแล้ว ชิงเยว่ก็ยกชาร้อนเข้ามาอย่างนอบน้อม หลังจากนั้นก็ถอยออกไป
เซวียเสี่ยวเหล่ยพาอาเหลยซึ่งกินอิ่มแล้วออกไป ในห้องโถงจึงเหลือเพียงเขาและนางสองคน
"วันที่ยี่สิบเป็วันเกิดของหย่งเจีย เ้าทราบแล้วกระมัง" เหลียนเซวียนหันมามองนาง
"อื้อ ข้าทราบแล้ว วันนี้จวิ้นจู่มามอบเทียบเชิญให้ข้าแล้วล่ะ" พูดถึงเื่นี้ เซวียเสี่ยวหรั่นก็หงุดหงิดเล็กน้อย "ข้าไม่อยากไปเลย"
เหลียนเซวียนหนังหน้ากระตุก เขานึกแล้วเชียว
"อ้อ เพราะเหตุใดเล่า?" น้ำเสียงฟังดูสงบมาก
