คำพูดของจ้านอู๋มิ่งทำให้บรรดาจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ล้วนตกตะลึง เดิมโม่ฉางชุนเพียงแค่้าถามจู้เชียนเชียนสองสามคำถามเท่านั้น เป็ไปได้อย่างยิ่งว่าจะปล่อยจู้เชียนเชียนไป แต่เวลานี้จ้านอู๋มิ่งเข้ามาก่อกวน เช่นนั้นโม่ฉางชุนจะต้องเกิดสำนึกฆ่าฟันขึ้นมาทันที ถ้าจ้านอู๋มิ่งแลกเปลี่ยนเป็ตัวประกันขึ้นมาจริงๆ ละก็ โม่ฉางชุนจะต้องไม่ละเว้นจ้านอู๋มิ่งอย่างแน่นอน
“อู๋มิ่ง! อย่าได้พูดจาเหลวไหล!” พลันเยว่หลิงซานร้อนใจขึ้นมาแล้ว ลูกศิษย์คนนี้ก็เช่นกัน ไม่ยอมทำให้ผู้อื่นคลายความกังวลบ้างเลยจริงๆ ตอนที่อยู่ในจวนเ้าเมืองวันสิ้นโลกก็ถูกเขาทำให้ร้อนใจแทบตาย ถึงแม้สุดท้ายมีแต่ความตระหนก ไร้ซึ่งอันตราย ทว่านั่นจะยิ่งทำให้จ้านอู๋มิ่งชอบเสนอตัวออกหน้ามากขึ้น นึกขึ้นมาแล้วก็ยังคงหวั่นใจอยู่เช่นเดิม เวลานี้จ้านอู๋มิ่งสอดมือเข้ามาอีกครั้งหนึ่งแล้ว สถานการณ์ตอนนี้กับภายในห้องโถงใหญ่เมืองวันสิ้นโลกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หากครั้งนี้พัวพันเข้าไปจริงๆ เท่ากับจะตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เขาไม่้าให้อัจฉริยะคนนี้ของสำนักบริบาลเดรัจฉานต้องดับสูญในที่นี้
“อู๋มิ่ง ไม่ได้!” พลันจู้เชียนเชียนอุทานขึ้นอย่างใ นางคิดไม่ถึงว่าจ้านอู๋มิ่งกลับใช้ตัวเลือกเช่นนี้ ในใจรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก แต่ก็ไม่สบายใจอย่างยิ่ง นางไม่้าให้จ้านอู๋มิ่งต้องเสียชีวิตเพราะนาง เช่นนี้นางจะต้องสำนึกเสียใจไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน
“อู๋มิ่ง!” ในใจจู้ชิงขวงตื่นเต้นขึ้นมาวูบหนึ่ง เขาก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจ้านอู๋มิ่งจะทำเช่นนี้เพื่อจู้เชียนเชียน สายตาที่มองไปทางจ้านอู๋มิ่งมีเพียงความพึงพอใจ แต่แล้วกลับส่ายหน้า บอกให้จ้านอู๋มิ่งอย่าได้เลือกใช้วิธีการนี้อย่างเด็ดขาด
“ขอขอบคุณในความห่วงใยของท่านบรรพบุรุษผู้เฒ่า แต่ว่าโปรดเชื่อมั่นในตัวอู๋มิ่ง!” จ้านอู๋มิ่งประสานตากับเยว่หลิงซานอย่างลึกซึ้งคราหนึ่ง เขาทราบว่าเยว่หลิงซาน้าปกป้องตนอย่างจริงใจ เื่นี้ทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก
“เ้า…เฮ้อ เ้าเด็กเหลือขอนี่ ไม่เคยทำให้ข้าบรรพบุรุษเฒ่าคลายความกังวลเลย!” เยว่หลิงซานส่ายหน้าอย่างขุ่นข้องหงุดหงิด เขาไม่มีอะไรจะพูดกับจ้านอู๋มิ่งแล้ว ไอ้หนูนี่เป็คนเฉลียวฉลาดมีไหวพริบผู้หนึ่ง ทั้งยังมากด้วยกลอุบาย เป็เ้าแผนการคนหนึ่งและไม่เคยทำให้คนอื่นต้องผิดหวังมาก่อน ถึงแม้ทุกครั้งจะทำให้ทุกคนรู้สึกห่วงใยเป็อย่างยิ่ง แต่กลับทำให้อารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่นเหมือนเช่นนั่งรถม้าข้ามูเาลูกแล้วลูกเล่าก็มิปาน เดี๋ยวก็ขึ้นไปถึงจุดสูงสุด อีกสักครู่ดิ่งลงถึงจุดต่ำสุด แม้แต่บรรพบุรุษผู้เฒ่าจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์อย่างเขาเองก็ไม่มีข้อยกเว้น…แต่เห็นสายตาที่มุ่งมั่นแน่วแน่ของจ้านอู๋มิ่งแล้ว อดไม่ได้ที่จะนำคำพูดทุกอย่างที่้าพูดกลับคืนมา ถึงแม้ภายในใจจะตื่นตระหนกและกระวนกระวาย แต่ดูเหมือนเขาก็พอจะเข้าใจเช่นกันว่า ไอ้หนูตรงหน้าคนนี้จะไม่ทำการค้าที่ขาดทุนอย่างแน่นอน
“เ้าคงทราบผลลัพธ์ของการทำเช่นนี้?” โม่ฉางชุนถามเสียงเย็นเยียบ
“ทราบ เ้าจะต้องสังหารข้าแน่นอน ทว่าเ้าก็ยัง้าทราบเื่ราวบางอย่างจากปากข้า ตลอดจนเื่ราวที่เ้าหวาดหวั่น” จ้านอู๋มิ่งยิ้มๆ ไม่ค่อยจะใส่ใจอะไรมากมายนักเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่จะตามมา
“อู๋มิ่ง ไม่นะ!” น้ำตาใสๆ สองสายไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งคู่ของจู้เชียนเชียน แต่กลับถูกโม่ฉางชุนสกัดจุดอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ไม่สามารถส่งเสียงได้อีก
“ประเสริฐ ข้ารับปากเ้า!” โม่ฉางชุนรับปากอย่างสบายใจคำหนึ่ง เทียบกันระหว่างจ้านอู๋มิ่งกับจู้เชียนเชียน เขา้าสังหารจ้านอู๋มิ่งมากกว่าและสิ่งที่จ้านอู๋มิ่งทราบต้องมีมากกว่าจู้เชียนเชียนอย่างแน่นอน ดังนั้นหากเขา้าทราบเื่ราวใดก็ตาม เขาเชื่อว่าจะสามารถรู้ได้จากปากของจ้านอู๋มิ่งอย่างแน่นอน
“ผู้าุโทุกท่าน ข้ามีเื่จะขอร้องเื่หนึ่ง” จ้านอู๋มิ่งไม่ตอบโม่ฉางชุน แต่แสดงความคารวะโดยตรงต่อบรรดาจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์คราหนึ่งและพูดขึ้น
“เื่ใด พูดมาได้เลย” จู้ชิงขวงรู้สึกละอายอยู่ภายในใจ จ้านอู๋มิ่งพบกับบุตรสาวของตนไม่กี่ครั้งและก็พยายามอย่างหนักเพื่อช่วยเหลือชีวิตบุตรีของตนมาโดยตลอด แต่เวลานี้กลับยอมใช้ชีวิตตัวเองเป็เดิมพัน เพื่อแลกกับความปลอดภัยของบุตรสาวตน ในฐานะบิดา เขากลับไร้ความสามารถ สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกละอายใจ
“ข้าหวังให้ทุกท่านถอนตัวออกจากค่ายกลขนาดใหญ่นี้ไป ให้ข้าได้อยู่เพียงลำพังกับโม่ฉางชุนสักพักหนึ่ง!” จ้านอู๋มิ่งคิดๆ แล้วพูดขึ้น
“เป็ไปไม่ได้!” บรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดไม่แม้แต่จะคิด ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
“คำพูดของจอมยุทธ์น้อยจ้านทำให้ผู้อื่นยอมรับไม่ได้จริงๆ หากเป็เช่นนี้ ไยมิใช่ปล่อยเสือเข้าป่า จอมยุทธ์น้อยจ้านทราบดีถึงอันตรายของอสูรร้ายตนนี้ที่มีต่อใต้หล้า” เสวียนเสวียนจื่อก็ปฏิเสธคำขอของจ้านอู๋มิ่งเช่นกัน เนื่องเพราะเขากระจ่างดี ด้วยพลังความสามารถของโม่ฉางชุน หากทุกคนออกจากค่ายกลใหญ่นี้ เขาก็แทบจะถอนตัวออกจากสมรภูมิรบกระดูกขาวไปแล้วเช่นกัน เช่นนั้นต่อให้พวกตนปิดล้อมบริเวณโดยรอบของค่ายกลใหญ่ก็ไม่สามารถรั้งตัวโม่ฉางชุนเอาไว้ได้ กล่าวถึงที่สุดฐานบ่มเพาะของอสูรร้ายผู้นี้บรรลุขอบเขตจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงสุดแล้ว ทุกคนในที่นี้หากต่อสู้กันตัวต่อตัว ไม่มีใครสักคนที่สามารถเป็คู่ต่อสู้ของโม่ฉางชุนได้ ดังนั้นต่อให้ปิดล้อมบริเวณโดยรอบของค่ายกลใหญ่ก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน ตลอดจนอาจทำให้จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ส่วนหนึ่งต้องดับสูญก็ได้
โม่ฉางชุนมองจ้านอู๋มิ่งด้วยความสนใจ เขาไม่เข้าใจไฉนจ้านอู๋มิ่งต้องเรียกร้องข้อเสนอเช่นนั้นออกมา นี่แทบจะ้าปล่อยให้เขาหนีไปแล้ว แต่เวลานี้เขาไม่กล่าววาจาใดๆ เพียงแต่้าดูว่าในน้ำเต้าของจ้านอู๋มิ่งขายยาอะไร
“อู๋มิ่ง เื่นี้ไม่สามารถก่อกวนอย่างเหลวไหล!” บรรพบุรุษผู้เฒ่าเทียนฉานพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง เขาก็รู้สึกเช่นกันว่าข้อเรียกร้องของจ้านอู๋มิ่งประมาทเกินไป ทำให้เขาอดที่จะพูดจายับยั้งไม่ได้
“ข้าคิดว่าไอ้หนูนี่อาจจะเป็พวกเดียวกับอสูรร้ายผู้นี้ก็ได้…”
“ผายลม!” คำพูดของหนานกงหลิวอวิ๋นยังมิทันพูดจบก็ถูกเยว่หลิงซานขัดจังหวะอย่างหยาบคาย
“เยว่หลิงซาน พูดจาให้เกียรติกันหน่อย ข้าหนานกงหลิวอวิ๋นไม่ได้กลัวเ้าหรอกนะ” พลันหนานกงหลิวอวิ๋นก็รู้สึกโกรธแล้วเช่นกัน เยว่หลิงซานไม่ไว้หน้าเกินไปแล้ว กลับด่ากันซึ่งๆ หน้าขนาดนี้
“เอาล่ะ เอาล่ะ พวกเดียวกันอย่าเพิ่งทะเลาะกันเอง ไฉนพวกเราไม่ลองฟังเหตุผลของจอมยุทธ์น้อยจ้านกันก่อน ข้าเชื่อว่าเขาไม่ใช่พวกเดียวกับอสูรร้ายผู้นี้อย่างแน่นอน เนื่องจากหากไม่ใช่จอมยุทธ์น้อยจ้าน เป็ไปไม่ได้ที่พวกเราจะค้นพบการดำรงอยู่ของอสูรร้ายผู้นี้ ถึงเวลานั้นพวกเราอีกมากมายอาจมีจุดจบลงเช่นเดียวกับสองจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ตระกูลโหยวก็ได้ ดังนั้นข้าเชื่อถือจอมยุทธ์น้อยจ้าน” เหยียนเต้าจื่อพูดจาขึ้นขัดจังหวะการชักกระบี่และง้างธนู[1]ของเยว่หลิงซานกับหนานกงหลิวอวิ๋น
“บอกเหตุผลมาให้พวกเราฟังดู” เยว่หลิงซานก็กล่าวอย่างเคร่งขรึมเช่นกัน เขาเชื่อมั่นว่าจ้านอู๋มิ่งไม่ผิดพลาด แต่กลับไม่หุนหันพลันแล่น กล่าวถึงที่สุดแล้วเขาในฐานะจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ ดำรงตำแหน่งสูงส่งอยู่ในสำนักเสมอมา เขามิ้าฟังคำพูดไม่กี่คำของจ้านอู๋มิ่งแล้วก็ไปเดิมพันเสี่ยงชีวิตความเป็ตายกับโม่ฉางชุน
“ข้าทราบว่าพวกท่านกังวล แต่ข้ารับรองกับทุกท่านได้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ไม่เกินวันนี้ นอกจากนี้ ข้ายังสัญญาอีกว่าหลังจากเื่นี้จบลงแล้ว จะมอบความลับยิ่งใหญ่เกี่ยวกับตระกูลโม่ให้แต่ละสำนักนิกายได้ทราบ ก็เหมือนเช่นเดียวกับสองจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลโหยว ถ้าแต่ละสำนักนิกายสามารถล่วงรู้ความลับนี้ได้ เช่นนั้นก็จะสามารถช่วยลดการเกิดโศกนาฏกรรมอย่างตระกูลโหยวและตระกูลจู้ได้อย่างมากในอนาคต…ข้าคิดว่าทุกท่านสามารถเดิมพันและเลือกที่จะเชื่อถือข้าได้” จ้านอู๋มิ่งมองไปที่เหล่าบรรดาจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์โดยรอบอย่างมีความเชื่อมั่น
การพูดจาของจ้านอู๋มิ่ง ทำให้เยว่หลิงซานเกิดภาพลวงตาชนิดหนึ่ง ไอ้หนูตรงหน้าคนนี้ไม่ใช่ปรมาจารย์นักยุทธ์ผู้หนึ่งแต่อย่างใด แต่เป็ยอดฝีมือสูงส่งไร้เทียมทาน ผู้ทระนงของโลกหล้าคนหนึ่ง ถึงแม้เขาจะรู้สึกขุ่นข้องอยู่บ้างที่ไอ้หนูนี่เอาแต่ทำเื่วุ่นวายอยู่ตลอด แต่กลับมิอาจไม่ชื่นชมจิติญญาของเด็กคนนี้ ปรมาจารย์นักยุทธ์น้อยๆ ผู้หนึ่ง พอวางตัวขึ้นมาก็ราวกับเป็เทพเ้าาผู้หนึ่ง หยิ่งผยองจนไร้ขอบเขตหรือข้อจำกัด แต่ความเย่อหยิ่งของเด็กคนนี้ไม่ได้ทำให้เกิดเื่ราวขึ้นจริงๆ สิ่งนี้ทำให้เขาทั้งรู้สึกขุ่นข้องหงุดหงิดและรู้สึกมีความโชคดีอยู่บ้าง
“ทำไมพวกเราจะต้องเชื่อเ้าด้วย!” บรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดพูดอย่างเยือกเย็น เขารำคาญใจอย่างยิ่งกับการดำรงอยู่ของจ้านอู๋มิ่ง เด็กคนนี้คือคนที่สร้างความเสื่อมเสียแก่สำนักกระบี่ิญญามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ศิษย์สำนักกระบี่ิญญาสูญเสียอย่างหนัก แต่กลับไม่เคยมีโอกาสได้จัดการกับเด็กคนนี้เลย
“ถ้าหากข้าทำไม่สำเร็จ เช่นนั้นข้าคงจะต้องเสียชีวิตแล้ว เื่นี้สำหรับสำนักกระบี่ิญญา สมควรจะเป็เื่ที่น่าฉลองความยินดีเื่หนึ่งกระมัง แน่นอน ถึงแม้เ้าจะเสี่ยงต่อการแก้แค้นของตัวประหลาดเฒ่าผู้นี้ในอนาคต แต่ข้าเชื่อว่าสำนักกระบี่ิญญาของเ้าคงยังมีบรรพบุรุษผู้เฒ่าเทพเ้าาประจำอยู่ หรือว่ายังจะกลัวตัวประหลาดเฒ่าผู้นี้ย้อนกลับมาโจมตีอีก?” จ้านอู๋มิ่งถามกลับพร้อมรอยยิ้ม
“เ้า……ไอ้หนูที่ปากคอเราะราย นี่คือการรนหาที่ของเ้าเอง”
“ข้าเชื่อถือจ้านอู๋มิ่ง!” เหยียนเต้าจื่อนำขึ้นก่อน
“ข้าก็เชื่อถือเ้า!” จู้ชิงขวงสูดหายใจลึกๆ คำหนึ่ง พูดขึ้น
“เ้าก็คือผู้ที่ไม่ยอมทำให้ผู้อื่นคลายกังวลคนหนึ่ง!” เยว่หลิงซานดุด่าไปคำหนึ่ง แต่กลับส่ายหน้าอย่างอับจนปัญญา
“ข้าเชื่อถือศิษย์น้องเหยียนเต้า หวังว่าเ้าจะสามารถทำตามเช่นที่เ้าพูด” เสวียนเสวียนจื่อคิดๆ แล้ว ก็มองไปที่เหยียนเต้าจื่อ เขาก็เลือกที่จะเชื่อ
ในเหล่าบรรดาจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์มีมากกว่าครึ่งเลือกที่จะสนับสนุนจ้านอู๋มิ่ง หนานกงหลิวอวิ๋นและบรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดที่เหลือต่างตั้งหน้าตั้งตารอให้จ้านอู๋มิ่งไปตาย แต่ก็ไม่ได้คัดค้านเป็พิเศษแต่อย่างใดเช่นกัน ถึงแม้ในใจจะยังรู้สึกสงสัย แต่ก็ยังคงเลือกตามกระแสเสียงส่วนใหญ่
“เ้าสามารถเลือกที่จะไม่รั้งข้าไว้เป็ตัวประกันของเ้า เพราะหากรั้งข้าไว้ละก็ เ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน แต่เ้าก็สามารถเดิมพันดูสักครั้งเช่นกัน!” จ้านอู๋มิ่งยิ้มอย่างผยองพูดกับโม่ฉางชุน
“อาศัยเ้านะหรือ!” โม่ฉางชุนหัวเราะอย่างดูแคลน ถึงแม้เขาจะไม่ทราบว่าในน้ำเต้าของจ้านอู๋มิ่งขายยาอะไร แต่เขาไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดว่าปรมาจารย์นักยุทธ์น้อยๆ คนหนึ่งจะสามารถทำอะไรเขาได้ แน่นอน ต่อให้สถานที่นี้มีการวางผนึกต้องห้ามเอาไว้ นั่นแล้วอย่างไรเล่า ย่อมไม่อันตรายร้ายแรงยิ่งกว่าการปิดล้อมโจมตีของบรรดาจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์สิบกว่าคนแน่นอน ดังนั้น เขาเลือกแลกเปลี่ยนกับจ้านอู๋มิ่งกับจู้เชียนเชียนโดยไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ
“พวกเ้าถอยออกไปร้อยวา หลังจากนั้นข้าค่อยปล่อยตัวเชียนเชียน” โม่ฉางชุนตวาดใส่ทุกคน
หลังจากบรรดาจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์มองหน้ากันแล้ว เหยียนเต้าจื่อและเยว่หลิงซานตลอดจนจู้ชิงขวงเลือกถอยออกก่อนเป็กลุ่มแรก ภายในบริเวณร้อยวา พวกเขายังไม่กลัวว่าโม่ฉางชุนจะสามารถหนีไปได้ แต่พวกเขาทราบว่า หากพวกเขาถอยออกร้อยวา เช่นนั้นจ้านอู๋มิ่งก็อยู่ภายในบริเวณการควบคุมของโม่ฉางชุน ต่อให้อีกฝ่ายปล่อยจู้เชียนเชียนแล้ว เขาก็สามารถที่จะควบคุมจ้านอู๋มิ่งไว้ได้ทุกเมื่อ นี่ก็คือเหตุผลที่เขากล้าปล่อยตัวจู้เชียนเชียนทันทีเช่นกัน หลังจากที่บรรดาจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ถอยห่างออกไปร้อยวาแล้ว
“เ้าไปได้แล้ว แต่ว่านี่ทำให้ข้ารู้สึกเหนือความคาดหมายจริงๆ ใต้หล้ากลับยังมีบุรุษที่มากรักถึงขนาดนี้อยู่จริงๆ แต่สิ่งที่ทำให้ข้ายิ่งคิดไม่ถึงก็คือ เ้ากลับใช้ระยะเวลาหนึ่งวันทะลวงด่านบรรลุขอบเขตราชันาระดับสูงสุด ดูแล้วปีนั้นสายตาข้ามองไม่ผิดจริงๆ พร์ของเ้าสูงส่ง เหนือล้ำกว่าบิดาของเ้าจริงๆ” โม่ฉางชุนผลักจู้เชียนเชียนให้จู้ชิงขวง แต่กลับก้าวเท้าคราหนึ่งก็มาถึงเบื้องหน้าจ้านอู๋มิ่งแล้ว ภายใต้ฝีเท้าของเขา พื้นที่กว่าสิบวาดูเหมือนจะไม่นับเป็ระยะห่างแต่อย่างใดเลย
เยว่หลิงซานดึงตัวบรรพบุรุษผู้เฒ่าเทียนฉานที่คิดจะย้อนกลับไป ถอนหายใจยาวคราหนึ่งกล่าวว่า “เวลานี้พวกเราได้แต่เลือกที่จะเชื่อถือเขาแล้ว!”
จู้ชิงขวงรับตัวจู้เชียนเชียนไว้ รีบคลายจุดบนร่างให้จู้เชียนเชียน แต่ถามขึ้นอย่างแปลกใจทันทีว่า “เชียนเอ๋อร์ เ้า...ฐานบ่มเพาะของเ้า…เ้าสามารถฝึกฌานบ่มเพาะได้แล้ว?”
“ท่านพ่อ ท่านต้องช่วยชีวิตอู๋มิ่งกลับมา!” พลันดวงตาทั้งคู่ของจู้เชียนเชียนน้ำตาไหลพรากทันที จับแขนของจู้ชิงขวงไว้แน่น
จิตสมาธิของจู้ชิงขวงค่อยได้สติคืนมา นึกถึงจ้านอู๋มิ่งเวลานี้ยังอยู่ในกำมือโม่ฉางชุน และบุตรสาวผู้นี้เป็เพราะจ้านอู๋มิ่งใช้ชีวิตแลกมา พลันรู้สึกละอายใจขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะตบไหล่จู้เชียนเชียนกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล เชื่อว่าอู๋มิ่งจะต้องมีวิธีการรับมืออย่างแน่นอน ด้วยสติปัญญาและไหวพริบของเขา บางทีอาจคำนวณไว้เนิ่นนานแล้ว มิฉะนั้นโม่ฉางชุนก็จะไม่พ่ายแพ้อย่างน่าอนาถในวันนี้เช่นกัน”
“แต่ว่าช่องว่างระหว่างอู๋มิ่งกับโม่ฉางชุนมากจนเกินไป…ลูกอดกังวลไม่ได้!” จู้เชียนเชียนสะอื้นไห้ สายตาจ้องมองจ้านอู๋มิ่งกับโม่ฉางชุนตลอดเวลา…
“ข้าพาเ้ากลับไปก่อน ยามนี้เ้ามีฐานบ่มเพาะขนาดนี้อย่างกะทันหันเกินไป หากให้บรรดาตัวประหลาดเฒ่าจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์สังเกตเห็น จะต้องเกิดเหตุนอกเหนือความคาดหมายอย่างแน่นอน ต่อให้ตอนนั้นอู๋มิ่งสามารถปลีกตัวมาอย่างปลอดภัย เกรงว่าก็จะมีปัญหาที่บอกกล่าวไม่ถูก อธิบายให้ชัดเจนไม่ได้เช่นกัน” พลันจู้ชิงขวงตระหนักถึงปัญหาข้อหนึ่ง จู้เชียนเชียนมีฐานบ่มเพาะระดับราชันาสูงสุดอย่างกะทันหัน ไม่เพียงแต่โรคร้ายของร่างกายเท่านั้น อีกทั้งจากหญิงสาวที่ร่างกายอ่อนแอผู้หนึ่งกลายเป็ราชันา นี่จะต้องทำให้คนเกิดคิดถึงเื่ราวต่างๆ มากมายเลยทีเดียว พลันเขาเข้าใจแล้ว! ไฉนจ้านอู๋มิ่งจะต้องให้ศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉานปกปิดเื่จู้เชียนเชียน พากลับเข้าไปในเมืองอย่างลับๆ ก่อน ดูแล้วเด็กคนนี้ก็คิดถึงจุดนี้ออกเนิ่นนานแล้ว…
“ตัวประหลาดเฒ่าเยว่ เ้ามีศิษย์หลานที่ประเสริฐผู้หนึ่ง!” เสวียนเสวียนจื่อสูดลมหายใจคำหนึ่ง ทักทายเยว่หลิงซานคำหนึ่ง
เยว่หลิงซานส่ายหน้า กลับไม่ทราบว่าจะพูดกระไร จ้านอู๋มิ่งผู้นี้ทำให้ผู้อื่นไม่คลายกังวลจริงๆ เขาลอบตัดสินใจ ขอเพียงหลังจากเื่นี้จบลง หากจ้านอู๋มิ่งสามารถรอดชีวิตออกจากสมรภูมิรบกระดูกขาวแห่งนี้ได้ในครั้งนี้ เขาไม่สนใจว่าเกิดเื่ราวใด ต้องส่งเ้าศิษย์หลานน่าเกลียดชังผู้นี้กลับสำนักโดยตรงก่อน เื่ราวอย่างอื่นวางไว้ข้างๆ ก็แล้วกัน มิฉะนั้นไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเ้าเด็กนี่จะก่อกวนให้แมลงเม่าตัวใดออกมาอีก
สำหรับพวกบรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดพวกนั้น ไม่มีความจำเป็ต้องอยู่ต่ออีกเช่นกัน ตามพวกเหยียนเต้าจื่อรีบเร่งออกไปอยู่รอบนอกมหาค่ายกลหมื่นดวงิญญาสักการะฟ้า และสองตัวประหลาดเฒ่าจู้เชียนชิวกับจู้ว่านเหนียนของตระกูลจู้ก็ขึ้นมาจากทะเลอย่างทุลักทุเลเช่นกัน การะเิตัวเองของจู้ฉางชิง ทำให้รากฐานพลังของทั้งสองคนาเ็ใหญ่หลวง เกรงแต่ว่าหากไม่ใช้เวลาพักฟื้นสักหลายเดือน คงไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพสมบูรณ์สูงสุด ศิษย์ของแต่ละสำนักนิกายก็รีบเร่งล่าถอยออกไปทั้งหมดเช่นกัน ทั่วทั้งเกาะสมรภูมิรบกระดูกขาวจึงเหลือเพียงจ้านอู๋มิ่งกับโม่ฉางชุนยืนจ้องมองกันอย่างเงียบๆ
[1] สถานการณ์ตึงเครียด, สถานการณ์ที่ใกล้จะแตกหัก
