การเตะอย่างไม่คาดคิดของมู่จื่อหลิง ไม่เพียงทำให้พวกหลินเกาฮั่นประหลาดใจเท่านั้น แม้กระทั่งกุ่ยเม่ยก็คาดไม่ถึง
แต่ใครจะรู้ สิ่งที่ทำให้พวกเขาคาดไม่ถึงยิ่งขึ้นไปอีก แม้แต่มู่จื่อหลิงซึ่งเป็ ‘ผู้ร้าย’ ก็ยังคิดไม่ถึง...
มู่จื่อหลิงปล่อยลูกเตะที่สมน้ำสมเนื้อ ในสายตาของคนอื่น มันเป็เพียงฝีเท้าของหญิงสาวบอบบาง ไม่ว่านางจะแข็งแกร่งเพียงใด ความแข็งแกร่งของนางก็ไม่มากนัก
แต่ยามนี้?
เมื่อเห็นว่าลูกเตะของมู่จื่อหลิงทั้งเฉียบคมและรวดเร็ว เรียบง่ายแต่ประณีต ไม่มีการเสียแรงโดยเปล่าประโยชน์เลย นางเตะร่างอวบอ้วนของหลินเกาฮั่นออกไปได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังแรงจนเขาหลุดออกจากมือที่โอบประคองของเด็กปรุงยาทั้งสองอีกด้วย
เด็กปรุงยาทั้งสองไม่คาดคิดว่ามู่จื่อหลิงจะเคลื่อนไหวเช่นนี้ อีกทั้งพวกเขาคาดไม่ถึงว่าหลินเกาฮั่นจะถูกเตะจนลอยออกไป คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าการเตะของมู่จื่อหลิงจะทรงพลังมากเพียงนี้
ทั้งสองคนตกตะลึงไปครู่หนึ่งจนลืมเข้าปกป้องหลินเกาฮั่น
ดังนั้นในยามนี้ หลินเกาฮั่นที่ถูกเตะจึงหลุดจากมือของเด็กหนุ่มทั้งสองที่คอยโอบประคอง
หลังจากนั้น ทั้งร่างของเขาจึงถอยหลังไปครั้งแล้วครั้งเล่า เขาล้มลงกับพื้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ในท้ายที่สุดก็กลิ้งไปบนพื้นสองสามครั้งราวลูกบอล กระทั่งชนเข้ากับผนังถ้ำขรุขระจึงหยุดนิ่งไป
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตาแต่ดูเหมือนยาวนานมาก
มู่จื่อหลิงกับกุ่ยเม่ยมองภาพอันน่ายินดีนี้อย่างตกตะลึงปนขบขัน
หลังจากนั้นไม่นาน มู่จื่อหลิงจึงแตะพื้นด้วยการเขย่งเท้า บิดน่องข้างที่เพิ่งใช้เตะคนสองสามครั้ง
นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าขาของนางมีพลังมหาศาล ทั้งยังสามารถเตะหมูอ้วนตัวใหญ่ออกไปได้อย่างง่ายดาย
ในยามนี้ มู่จื่อหลิงสงสัยว่าเมื่อครู่นี้เป็ฝ่าเท้าของนางจริงหรือ หรือว่ากุ่ยเม่ยแอบช่วยนาง?
มู่จื่อหลิงมองกุ่ยเม่ยอย่างสงสัย...
แต่ ไม่ว่ามองอย่างไร ก็ไม่เห็นสิ่งใด
เพราะในยามนี้ กุ่ยเม่ยก็ตกตะลึงเช่นกัน เขาคาดไม่ถึงว่าหวางเฟยของตนจะแข็งแกร่งเพียงนี้ ลูกเตะนี้ทรงพลังมากจนสามารถทำให้คนกระเด็นได้
ช่างเหลือเชื่อเหลือเกิน
ต้องรู้ว่าหวางเฟยเป็เพียงสตรีผู้ไม่มีแรงแม้แต่จะมัดไก่ ไม่น่าเชื่อจริงๆ กุ่ยเม่ยถึงกับอยากยกมือขึ้นมาขยี้ตาเพื่อดูว่าตนมองผิดไปหรือไม่
......
ยามเด็กหนุ่มทั้งสองฟื้นคืนสติ ความโกรธและเจตนาฆ่าก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของพวกเขาทันที ดวงตากระหายเืเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร
เห็นได้ว่าพวกเขาทั้งสองควบพลังไว้ที่ฝ่ามือ มุ่งเป้าไปที่มู่จื่อหลิงที่ยังคงรู้สึกเหลือเชื่อในตนเอง
อย่างไรก็ตาม กุ่ยเม่ยรับรู้ได้เร็วกว่าที่พวกเขาคิด เขาก้าวออกมาตรงหน้า เข้าปกป้องมู่จื่อหลิงที่อยู่ข้างหลังอย่างแ่า
ในความเป็จริง ก่อนที่มู่จื่อหลิงจะเตะออกไป นางก็คาดไว้แล้วว่าความโกรธของเด็กปรุงยาทั้งสองที่เก็บกดมานานอาจปะทุขึ้น นางจึงเตรียมจัดการกับพวกเขาแล้ว
เพียงแต่กุ่ยเม่ยเ้าท่อนไม้โง่นี้ กลับใช้ร่างสูงใหญ่ของเขาขวางนางไว้ข้างหลัง เช่นนั้นนางจะสอนบทเรียนให้สองคนนี้ได้อย่างไร?
มู่จื่อหลิงรู้สึกหดหู่ใจ
นางอ่อนแอถึงเพียงนั้นเสียที่ไหนกัน?
คนชราหลินเกาฮั่นที่ถูกนางเตะปลิวไป เป็ข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุดไม่ใช่หรือ พิสูจน์ได้ว่านางแข็งแรงมาก!
ในทางกลับกัน ด้านกุ่ยเม่ย
่เวลาที่เขาปกป้องมู่จื่อหลิงไว้ด้านหลังเขา กระบี่ยาวที่ถืออยู่ในมือตลอดเวลา เขาก็เก็บมันเข้าฝัก เก็บไว้ตรงเอว
จากนั้นใน่เวลาที่สำคัญเช่นนี้
มือของกุ่ยเม่ยกลับควบแน่นด้วยพลังฝ่ามืออันแสนน่ากลัว เข้าประจันหน้ากับผู้ปล่อยกลิ่นอายสังหารทั้งสองโดยตรง
ในพริบตาเดียว ลมจากฝ่ามือส่งเสียงหวีดหวิว กลิ่นอายสังหารท่วมท้น กุ่ยเม่ยเข้าต่อสู้แบบหนึ่งต่อสอง
แต่ไม่ว่าในแง่ของความแข็งแกร่งหรือพละกำลัง ทั้งสองฝ่ายต่างเสมอภาคกัน ไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบเสียเปรียบ ไม่มีการแสดงความอ่อนแอออกมา
ตามที่คาด ผู้คุ้มกันที่ได้รับการฝึกฝนโดยฉีอ๋องย่อมมีพลังเหนือกว่าจริงๆ!
ด้านหลังกุ่ยเม่ย มู่จื่อหลิงหันไปด้านข้างเล็กน้อย นางอดไม่ได้ที่จะแสดงความพึงพอใจ
ยามเด็กปรุงยาทั้งสองกำลังจะเปลี่ยนกระบวนท่าเพื่อต่อสู้กับกุ่ยเม่ยอีกครั้ง หมอหลวงหลินผู้ซึ่งถูกเตะออกไปไกลก็ทรุดตัวนอนลงบนพื้นอย่างยากลำบาก ยกมือขึ้นกุมท้อง กรีดร้องคร่ำครวญ
ยามได้ยินเสียงกรีดร้องเ็ป เด็กปรุงยาทั้งสองก็ยิ่งกังวลมากขึ้น จนหยุดมือไปพร้อมกัน
พวกเขาจ้องมู่จื่อหลิงกับกุ่ยเม่ยอย่างเ็า ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยคำเตือน
แต่มู่จื่อหลิงกับกุ่ยเม่ยเป็คนเช่นไร จะใกับการจ้องมองเช่นนี้ได้อย่างไร?
กุ่ยเม่ยอยากตามไป เขาอยากสอนบทเรียนให้กับสองคนนี้มานานแล้ว อีกทั้งเขากำลังรู้สึกตื่นเต้น
แต่มู่จื่อหลิงที่อยู่ด้านหลังกลับหยุดเขา เอ่ยห้ามไม่ให้ไล่ตาม “เ้ากุ่ยเม่ย ออกไปก่อน พื้นข้างนอกใหญ่พอที่เ้าจะต่อสู้ได้”
แม้ว่าที่นี่จะใหญ่ แต่ก็ไม่เหมาะสมเลย
กุ่ยเม่ยตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็มีแสงวาบขึ้นในดวงตาของเขา หลังจากเข้าใจแล้ว เขาก็พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
......
เด็กปรุงยาทั้งสองวิ่งตรงไปหาหมอหลวงหลิน ยกเขาขึ้นอย่างระมัดระวัง
ในยามนี้ร่างกายของหลินเกาฮั่นปกคลุมไปด้วยทรายและโคลน ใบหน้าของเขารุงรัง ผมยุ่งเหยิง สีหน้าเ็ปทุกข์ทรมาน
เมื่อเห็นเช่นนี้ มู่จื่อหลิงก็อดไม่ได้ที่จะก้มหัวลง จ้องมองเท้าของตนในขณะที่เดินออกไปนอกถ้ำ
เท้าคู่นี้มีพลังขนาดนั้นจริงหรือ?
นางเคยใช้เท้าคู่นี้เตะตูดของเด็กเคราะห์ร้ายอย่างหลงเซี่ยวเจ๋อมาก่อน นางไม่เคยเห็นเขาล้มลงอย่างอนาถเช่นนี้!
ยิ่งไปกว่านั้น นางรู้ว่าเมื่อครู่นางใช้แรงไปเพียงใด แม้ว่านางจะใช้กำลังทั้งหมดของนาง นางก็ไม่สามารถเตะเ้าหมูอ้วนตัวโตจนเป็ถึงขนาดนี้ได้!
เกิดอะไรขึ้น?
แต่มู่จื่อหลิงยังไม่ทันได้ค้นคว้าหาสาเหตุ
ทันใดนั้น คิ้วของมู่จื่อหลิงก็กระตุก ลางสังหรณ์ไม่ดีในใจปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
มู่จื่อหลิงรู้สึกถึงความปั่นป่วนเป็อย่างมากจากในน้ำตกที่อยู่ด้านหลังพวกเขา ดูเหมือนจะมีกลิ่นอายอันตรายอย่างยิ่ง ความรู้สึกอันตรายนี้ทำให้นางสั่นสะท้าน
กุ่ยเม่ยที่ยืนอยู่ข้างนางก็รู้สึกเช่นกัน ใบหน้าที่เคร่งเครียดอยู่แล้วยิ่งจริงจังมากขึ้นไป
แต่ก่อนที่พวกเขาจะหันไปดูว่ามีอันตรายอะไรอยู่เื้ั
พวกหลินเกาฮั่นทั้งสามหันหน้าไปทางน้ำตกที่อยู่ไม่ไกลนัก พวกเขาเห็นความปั่นป่วนในน้ำตกใต้กำแพงมนุษย์อย่างชัดเจน ทันใดนั้น ท่าทางของพวกเขาก็เปลี่ยนไป ใบหน้าของพวกเขาล้วนซีดลง
ท่าทางเ็ปแต่เดิมของหลินเกาฮั่น กลายเป็หวาดกลัวจนใบหน้าซีดเผือด ดวงตาสีเข้มเต็มไปด้วยความกลัวลึกล้ำ
ในขณะเดียวกัน มู่จื่อหลิงกับกุ่ยเม่ยก็หันหน้าไปมอง...
แค่แวบเดียวก็ทำให้ทั้งสองรู้สึกแย่จนหนังศีรษะชา
จากน้ำตกกำแพงมนุษย์ขนาดใหญ่ ฝูงสัตว์สีดำบินผ่านน้ำตกที่ไหลเชี่ยว พวกมันขึ้นมาจากน้ำ ยิ่งใหญ่ตระหง่าน เป็ภาพที่ ‘น่าตื่นเต้น’
ยามนี้...
“สะ...สัตว์ประหลาดกินคน...เร็ว...ไปเร็ว!” หลินเกาฮั่นร้องะโด้วยความตื่นตระหนก ร่างกายอ่อนแอของเขาราวถูกฉีดเืไก่ เขาอดไม่ได้ที่จะพุ่งไปทางปากถ้ำ
แต่ใครจะรู้ หากหลินเกาฮั่นไม่กรีดร้องก็ไม่เป็ไร แต่ด้วยเสียงกรีดร้องนี้ เ้าตัวสีดำเปื้อนที่ผุดออกมาจากน้ำตกกำแพงมนุษย์นั้น ดูเหมือนมันจะรับรู้ได้ จึงพุ่งเข้าหาพวกเขาทันทีราวกับกระแสน้ำวน
‘แย่แล้ว!’ สีหน้ามู่จื่อหลิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางสบถในใจ
มู่จื่อหลิงกับกุ่ยเม่ยมองหน้ากัน ทั้งคู่หน้าซีดลง
โดยไม่คิดถึงสิ่งใด กุ่ยเม่ยกำลังจะอุ้มมู่จื่อหลิงพาวิ่งหนี
แต่สายเกินไปแล้ว กลุ่มเ้าสิ่งที่มีสีดำนั้นบินเร็วมาก พวกมันบินหมุนเหนือร่างพวกเขาในพริบตา
ทันใดนั้น ้าก็ถูกมวลสีแดงปกคลุมไปทั่ว สีแดงฉานครอบคลุมพวกเขาไว้อย่างหนาแน่นจนน่าขนลุก
การวิ่งหนีไปในยามนี้เป็ไปไม่ได้
“พวกนี้เป็สัตว์ประหลาดประเภทไหนกัน? พวกมันเหมือนค้างคาวแต่ก็ยังไม่ใช่” คิ้วหนาของกุ่ยเม่ยขมวดแน่น ท้ายที่สุด เขาเคยพบเห็นหลายสิ่งหลายอย่างในใต้หล้า แต่ในเวลานี้เขากลับไม่รู้ว่าเ้าตัวเหล่านี้คืออะไร
มู่จื่อหลิงเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นดวงตาของนางก็เบิกกว้าง นางลอบกลืนน้ำลายหนึ่งคำ แล้วพูดด้วยเสียงแ่เบา “มันคือค้างคาว นี่คือค้างคาวเืแดง [1]!”
จนถึงตอนนี้ นางอ่านหนังสือโบราณมามากมาย อีกทั้งความจำของนางยังดีมากจนนางสามารถจดจำทุกสิ่งได้อย่างรวดเร็ว
ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งนี้ที่บันทึกไว้ในหนังสือที่นางอ่านในยามนั้นมีน้อยนิด อาจกล่าวได้ว่าไม่มีข้อมูลเลย มีเพียงภาพประกอบ และชื่อที่กำกับไว้ใต้ภาพ
แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในยามนี้ มู่จื่อหลิงก็สามารถมั่นใจได้ว่าพิษที่ระบบซิงเฉินไม่สามารถตรวจจับได้นั้นอยู่ในตัวพวกมัน
ดังนั้น สถานการณ์ยามนี้จึงเลวร้ายมากสำหรับพวกเขา หากประมาทเพียงเล็กน้อย อาจถูกฝังอยู่ที่นี่ก็เป็ได้
หากใช้กำลังวิ่งหนีไปในยามนี้ พวกเขาจะต้องถูกทรมานจนตายเหมือนกับเ้าหน้าที่และทหารเ่าั้อย่างแน่นอน หากต่อสู้อย่างไม่ประมาทอาจมีทางรอด
มู่จื่อหลิงคำนวณในทันที
ค้างคาวเืแดง มีร่างทุกส่วนเป็สีแดงเืสมชื่อ แม้แต่เขี้ยวแหลมยาวก็มีสีเืเช่นกัน ทำให้คนนึกถึงภาพของผีดูดเือันน่าสะพรึงกลัว
แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดมู่จื่อหลิงถึงรู้เื่ประหลาดเหล่านี้ได้ แต่กุ่ยเม่ยก็รู้ว่าเ้าหน้าที่และทหารที่ตายเ่าั้ถูกทรมานจนตายด้วยเ้าสิ่งนี้
ค้างคาวเืแดงเกาะกลุ่มหนาแน่นจนไม่สามารถประเมินได้ว่ามีกี่ตัว คราวนี้เขาไม่แน่ใจจริงๆ ว่าจะปกป้องหวางเฟยให้ปลอดภัยได้
กุ่ยเม่ยผู้ใช้กำลังในการพูดได้รวดเร็วเสมอ ในขณะที่เื่ใช้สมองเขาไม่ถนัดเลยสักนิด!
แม้ในยามปกติกุ่ยเม่ยมักมีความคิดแปลกๆ มากมาย แต่ในเวลาอันสั้นนี้ ใน่เวลาสำคัญ มันเป็เื่ยากสำหรับเขาที่จะคิดวิธีแก้ปัญหาได้จริงๆ
“หวางเฟย ยามนี้เราควรทำอย่างไรดี?” กุ่ยเม่ยไม่เกรงกลัวต่ออันตราย แต่ในขณะที่มู่จื่อหลิงอยู่เคียงข้างเขา มันทำให้เขากังวลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สีหน้าของมู่จื่อหลิงหดหู่ตกอยู่ในความทุกข์
แม้ว่านางจะรู้เื่เหล่านี้ แต่นางก็ไม่รู้นิสัยของพวกมัน นับประสาอะไรกับพิษที่อยู่บนร่างพวกมัน แล้วจะทำลายพวกมันได้อย่างไร?
ดวงตาคู่งามของมู่จื่อหลิงเป็ประกายความคิด แต่มันกลับไม่ปล่อยให้นางคิดหาวิธีแก้ปัญหา
เมื่อเห็นว่าฝูงค้างคาวเืแดงกำลังจะรุมล้อมเข้ามาอย่างหมดความอดทน
“สายเกินไปแล้ว...” มู่จื่อหลิงสั่งอย่างเด็ดขาด “สู้!”
มู่จื่อหลิงรู้ว่าหากนางบอกให้กุ่ยเม่ยทิ้งนางไว้เพียงลำพัง ด้วยนิสัยเอาแต่ใจของเขา เขาย่อมไม่ฟังนาง ดังนั้นสิ่งที่นางทำได้ในยามนี้คือ...อดทนไว้
ดังนั้นในระหว่างที่คุยกัน มู่จื่อหลิงจึงนำเสี่ยวไตกูออกมา
มันส่งเสียงหวีดร้อง
ก่อนที่มู่จื่อหลิงจะอ้าปากสั่ง มันก็ััได้ถึงกลิ่นอายแข็งแกร่งอันตรายที่มาจากเบื้องบนก่อนแล้ว
เห็นได้ว่าเสี่ยวไตกูยกขาขึ้นในทันที มันะโขึ้นไปในอากาศ แล้วเกาะบนไหล่ของมู่จื่อหลิง......
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ค้างคาวเืแดง (赤血蝙蝠) เป็สัตว์ต่างดาวชนิดหนึ่ง หากินสิ่งมีชีวิตอย่างกระหายเื หากถูกกัดจะมีอาการโลหิตเป็พิษ