หานไท่ฟู่ชักสีหน้า “หลานสาวของข้าใจกว้างสง่างาม ไหนเลยจะเหมือนคนบางคน...”
เฟิ่งเฉี่ยนกลอกตาขาวใส่อย่างไม่ไว้หน้าเช่นกัน “ท่านปู่ของข้าไม่ใช่คนพาโลโฉเกเช่นนี้หรอก!”
หานไท่ฟู่ถลึงตาทำท่าจะเดือดดาลขึ้นมาอีกครั้ง หานหลินเยว่รีบตัดบท “แม่นางเฟิง ท่าน้าสิ่งอื่นอีกหรือไม่”
เฟิ่งเฉี่ยน “รบกวนเ้าพาข้าไปห้องครัว!”
คิดๆ แล้วนางกล่าวเสริมอีกหนึ่งประโยค “หาองครักษ์มาสักสิบคนเฝ้าหน้าประตูห้องครัว เพื่อป้องกันไว้ก่อน!”
หานหลินเยว่ตะลึงงัน “เหตุใดจึง้าองครักษ์สิบคน ต้องหาคนมาดับเพลิงล่วงหน้ากระมัง”
หานไท่ฟู่ร้องฮึ “มิใช่เพราะกลัวว่าห้องครัวจะถูกเ้าทำไฟไหม้กระมัง ซ้ำยัง้าถึงสิบคน”
เฟิ่งเฉี่ยนส่ายหน้า “อีกประเดี๋ยวพวกท่านก็รู้สาเหตุเอง”
หานหลินเยว่นำเฟิ่งเฉี่ยนเข้าไปในห้องครัวตามที่นาง้า ภายในห้องครัวมีนางเพียงคนเดียว คนอื่นๆ ล้วนเฝ้าอยู่หน้าประตูห้องครัว
เฟิ่งเฉี่ยนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง นางถูมือทั้งคู่ไปมา ฟู่วว เปลวไฟจากเชื้อไฟจุดิญญาจุดประกายขึ้น นางเตรียมทำข้าวผัดไข่ เวอร์ชั่น 2.0!
ยังจำครั้งก่อนที่นางทำข้าวผัดไข่เวอร์ชั่น 2.0 ในป่าหมอกดำได้ ด้วยความที่มีกลิ่นหอมอย่างรุนแรงจึงดึงดูดสัตว์ป่าทั้งหมดมาจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด และครั้งนี้นางใช้เชื้อไฟจุดิญญาอีกครั้ง แค่คิดก็รู้แล้วว่าอานุภาพของมันจะรุนแรงเพียงใด!
ดังนั้น นางไม่อาจไม่เตรียมการป้องกันแต่เนิ่นๆ
ภายในห้องครัวที่ปิดมิดชิดเริ่มประกอบอาหาร นอกห้องครัวมีองครักษ์สิบคนล้อมเอาไว้ แต่ละคนกุมกระบี่ในมือราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรู แต่กลับไม่เห็นว่าศัตรูคือใคร คนอยู่ที่ไหน
หานไท่ฟู่เอามือไพล่หลังเดินไปมาอยู่หน้าประตู “เด็กคนนี้จะทำอะไรกันแน่ ทำอาหารก็ทำอาหารไปสิ เหตุใดต้องทำเป็ความลับเช่นนี้ ซ้ำยัง้าให้พวกเราส่งองครักษ์มาคุ้มครอง นางคิดว่านางกำลังปรุงเนื้อัเนื้อหงส์หรือไร”
ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าท่า เขาเดินเข้าไปใกล้ประตูห้องครัวแล้วเจาะกระดาษหน้าต่างจนทะลุ จากนั้นมองเข้าไปข้างใน
หานหลินเยว่เห็นเช่นนั้นจึงรีบดึงเขาเอาไว้ นางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ท่านปู่ เหตุใดท่านจึงทำเช่นนี้เ้าคะ ท่านเป็ถึงรองหัวหน้าชุมนุมหมากล้อมเทียนหยวน ไฉนจึงทำเื่พบหน้าผู้คนไม่ได้เช่นนี้”
หานไท่ฟู่หน้าแดง แต่ยังคงปากแข็ง “นี่ข้ากำลังจับตาดูนางอยู่ หากนางใส่อะไรอย่างอื่นลงไปในข้าว ทำร้ายหลานชายของข้าจะทำอย่างไร”
เขาโบกมือแล้วผลักหานหลินเยว่ออกไป “ข้าจะคอยดูว่านางจะมาไม้ไหนกันแน่!”
เขาแนบดวงตาเข้ากับกระดาษที่จิ้มเป็รูแล้วมองเข้าไปด้านใน ไม่แอบดูยังดีหน่อย ทันทีที่แอบดูเขาถึงกับทึ่มทื่อไปทั้งคน!
เขาเห็นเพียงเฟิ่งเฉี่ยนมือซ้ายถือกระทะ มือขวาถือจวัก กำลังผัดข้าวด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง เมล็ดข้าวสีขาว สีเหลืองทองอร่ามของไข่ วัตถุดิบที่แสนจะธรรมดานี้เมื่อตกอยู่ในมือของนางราวกับกลายเป็ภาพอันวิจิตร ข้าวและไข่สีเหลืองทองลอยอยู่เหนือกระทะเป็รูปวงกลม หมุนวนอย่างรวดเร็ว ราวกับข้าวทุกเมล็ดต่างเปล่งประกายได้ ไข่ล้วนสะท้อนแสงได้...
แต่ที่ทำให้เขาตกตะลึงที่สุดก็คือมือที่ผัดอย่างรวดเร็วของนาง ทั้งๆ ที่เป็มือขวาเพียงข้างเดียว ทว่ากลับเห็นเป็เงาซ้อนกันสิบกว่าข้าง กวนอิมพันมือก็คงไม่เร็วกว่านี้!
วิธีการผัดข้าวเช่นนี้ เขาไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยินมาก่อน หานไท่ฟู่ตกตะลึงอย่างแท้จริง!
เด็กคนนี้ช่างเป็คมในฝักจริงๆ!
ไม่เพียงแต่เดินหมากล้อมได้ดี ทำอาหารก็ยังทำได้เยี่ยมยอด ซ้ำยังรักษาคนป่วยได้อีก...
นี่ๆๆ...นี่ยังเป็มนุษย์ธรรมดาหรือ
หลังจากทอดถอนใจ กลิ่นหอมสะกดิญญาก็ผ่านเข้ามาในโพรงจมูกของเขา ทดสอบประสาทการรับรสของเขา เขากลืนน้ำลายลงคอติดๆ กันหลายอึก!
หอมเหลือเกิน! อยากชิมสักคำ!
ผู้ที่มีความคิดเช่นเดียวกับเขายังมีองครักษ์สิบคนที่อยู่ที่นั่น รวมไปถึงหลานสาวของเขา ทุกคนล้วนกลืนน้ำลายลงคอพร้อมๆ กัน
รสชาติโอชาเช่นนี้ มีเพียงบน์เท่านั้นที่จะมี!
“คิดไม่ถึงว่าฝีมือการปรุงอาหารของแม่นางเฟิงจะเยี่ยมยอดเช่นนี้!”
ได้ยินเสียงของหลานสาวดังขึ้นข้างหู หานไท่ฟู่หันหน้าไปพบว่าหลานสาวฟุบร่างติดกับประตูั้แ่เมื่อใดไม่รู้ นางกำลังมองผ่านช่องกระดาษอีกช่องหนึ่ง
หานไท่ฟู่ร้องฮึ “เ้าเองมิใช่พูดว่าแอบดูตามช่องประตูพบหน้าผู้คนไม่ได้หรอกหรือ”
หลานหลินเยว่หน้าแดงเรื่อ หัวเราะแหะๆ “ข้าเหมือนท่านปู่ เป็ห่วงความปลอดภัยของเสี่ยวชิวเ้าค่ะ!”
หานไท่ฟู่กลอกตาขาวใส่นาง พลันรู้สึกว่าด้านหลังผิดปกติ เขาหันกลับไปดู พบว่าองครักษ์สิบกว่าคนนั้นมาอออยู่ด้านหลังเขาั้แ่เมื่อใดไม่รู้ แต่ละคนล้วนสูดจมูกดมกลิ่นหอม กระแซะเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ...
ดวงตาของเขาทั้งคู่เบิกกว้าง เขาตวาดใส่คนทั้งหมด “ทำอะไร ทำอะไรกัน ออกไปห่างๆ เดี๋ยวนี้!”
หัวหน้าองครักษ์หัวเราะแหะๆ “ไท่ฟู่ ท่านอย่าได้โมโหไปเลย ข้าน้อยก็เพียงแค่ดมกลิ่นเท่านั้น”
คนอื่นๆ จึงพูดขึ้นมาบ้าง
“ใช่แล้ว หอมเหลือเกิน พวกเราแค่ดมๆ!”
“ไม่เคยได้กลิ่นข้าวหอมเช่นนี้มาก่อน!”
“นี่หากได้กินเข้าไปในปาก จะอร่อยสักเพียงใดหนอ!”
“ไปๆๆ! ไปให้ไกลๆ หน่อย!” หานไทฟู่ขับไล่คนตรงๆ “ข้ายังไม่มีสิทธิ์ได้ลิ้มลอง แล้วจะแบ่งปันไปถึงพวกเ้าได้อย่างไร พวกเ้าแต่ละคนอย่ามายืนอยู่ที่นี่ สมควรทำอะไรก็ไปทำเสีย!”
หัวหน้าองครักษ์กล่าว “แต่ไท่ฟู่ แม่นางเฟิงกำชับแล้วกำชับอีกว่าให้พวกเราเฝ้าอยู่ที่นี่ ห้ามไปจากที่นี่แม้แต่ก้าวเดียว”
หานไท่ฟู่ถลึงตาไม่พอใจ “ตกลงเ้าฟังนาง หรือฟังข้ากันแน่”
หัวหน้าองครักษ์ยังคงไม่วางใจ “ทว่าถ้าหากบังเอิญเกิดเื่ขึ้นจะทำอย่างไร”
หานไท่ฟู่โบกมืออย่างรำคาญใจ “จะเกิดเื่อะไรได้ นางชอบทำเื่เล็กให้เป็เื่ใหญ่ พวกเ้าไม่ต้องไปฟังนาง!”
หัวหน้าองครักษ์หันไปมองหานหลินเยว่อย่างลำบากใจ หานหลินเยว่โบกมือให้เขาเป็สัญญาณให้พวกเขาแยกย้าย นางรู้สึกว่าแม่นางเฟิงทำเื่เล็กให้เป็เื่ใหญ่เช่นกัน ทำอาหารจานหนึ่งจะเกิดเื่อะไรได้
เหล่าองครักษ์รับคำสั่ง หมุนกายเตรียมจะถอนกำลัง พลันมีเสียงประหลาดดังขึ้นรอบๆ บรรยากาศเปลี่ยนไปทันที ทุกคนจึงหยุดลง เริ่มจากคนแรกเงยหน้าขึ้นมองบนฟ้า จากนั้นคนทั้งคนแทบจะกลายเป็หิน ยืนแน่นิ่งอยู่ที่นั่น ได้ยินเพียงเสียงที่ออกมาจากลำคอขณะที่เขาเงยหน้าขึ้น ศีรษะหงายไปด้านหลังเรื่อยๆ สีหน้าท่าทางแปลกประหลาด!
“เกิดอะไรขึ้น” องครักษ์ที่อยู่ใกล้เขาที่สุดเงยหน้าขึ้นด้วยความแปลกใจ ทันทีที่เงยหน้า ลำคอของเขาก็แหงนค้างอยู่อย่างนั้น สีหน้าค่อยๆ ประหลาดใจมากขึ้นเรื่อยๆ
คนทั้งหมดเริ่มััได้ถึงความผิดปกติ ต่อมาคนที่สาม คนที่สี่...ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้าแล้วแน่นิ่งไม่เว้นแม้แต่คนเดียว!
ดังนั้น ด้านนอกประตูห้องครัว กลางลานเรือน เกิดภาพเหตุการณ์ประหลาดขึ้น...
คนสิบกว่าคนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แต่ละคนแข็งราวกับเป็หินอยู่ที่นั่นโดยไม่เคลื่อนไหว มีเพียงลำคอที่เงยหน้าขึ้นราวกับไกปืนที่ถูกขึ้นนกไว้!
แสงแดดคอยๆ เลือนหายไปจากใบหน้าของพวกเขาทีละนิดๆ ที่เข้ามาแทนที่ก็คือเงาดำที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว!
มองตามสายตาของพวกเขา บนท้องฟ้ามีสัตว์ปีกฝูงใหญ่บินมาั้แ่เมื่อใดไม่รู้ พวกมันครอบคลุมพื้นที่บนอากาศเหนือจวนสกุลหานทั้งหมด นกแต่ละตัวจ้องมองมาทางห้องครัวราวกับพยัคฆ์ที่กำลังจ้องเหยื่อ!
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
เสียงหัวใจคนเต้นอย่างบ้าคลั่ง
ตึก! ตึก! ตึก!
มีคนขาสั่น
ยามนี้พวกเขาเพิ่งจะเข้าใจที่แม่นางเฟิงกำชับให้พวกเขาเฝ้าอยู่ที่นี่เพราะมีเหตุผลนับสิบประการ!
ที่แท้ศัตรูของพวกเขามิใช่ผู้บุกรุกอะไร แต่เป็แขกไม่ได้รับเชิญที่มีปีกเหล่านี้!