บทที่ 45 ภูมิหลังยิ่งใหญ่
“ผู้หญิงที่ทั้งสวยและสง่าจากยอดเขาหลักคนนั้นหรือ นางเป็ศิษย์สายในที่มีตบะอยู่ขั้นที่สามเหมือนกันไม่ใช่หรือ จะร้ายกาจขนาดนั้นเชียว?” ไป๋อวี้มองฉินชูด้วยสายตาแปลกใจ เพราะเขาเจอซั่งซูอวี๋ครั้งแรกพร้อมกับฉินชู
“ศิษย์น้องไป๋ นางไม่ใช่ลูกศิษย์ที่บรรลุตบะขั้นที่สามธรรมดา นางมีนามว่าซั่งซูอวี๋ ไม่นานก่อนหน้านี้นางเพิ่งเข้าถึงเจตจำนงแห่งวิถีกระบี่ ตอนการประลองจัดอันดับศิษย์สายในก่อนหน้านี้ ปรมาจารย์ซูเป็คนพูดเองว่าน่าเสียดายที่นางไม่อยู่ หากนางอยู่ ศิษย์น้องฉินอาจเอาชนะไม่ได้ นางเป็คนเดียวในรอบหลายร้อยปีที่สามารถเข้าถึงเจตจำนงแห่งวิถีกระบี่ได้ ทั้งที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปี” เจิ้งชิวพูดกับไป๋อวี้
“มีบุคคลระดับสูงกล่าวชื่นชมนางยิ่งนัก ดังนั้นต้องระวังตัวเอาไว้ให้ดี” ฉินชูก้มดูแผนที่สักพัก ก่อนเดินหน้าไปต่อ
อันที่จริงซั่งซูอวี๋สามารถบรรลุขั้นที่สี่ได้ตั้งนานแล้ว แต่นางควบคุมและชะลอเอาไว้เพื่อขัดเกลาความเสถียรของพลังปราณ หลังจากเข้าถึงเจตจำนงแห่งวิธีกระบี่ได้แล้ว ก็เริ่มฝึกเคล็ดวิชาที่ได้รับถ่ายทอดมาจากหลิงหยุนจื่อ ฝึกเสร็จซูซานเหอก็มาเกลี้ยกล่อมนางให้เข้าร่วมการสำรวจโบราณชิงหวาง โดยมีสิทธิประโยชน์มากมายมาล่อ
เห็นว่าการเข้าไปสำรวจโบราณสถานชิงหวางใช้เวลาไม่นาน นอกจากนี้ยังสามารถฝึกตนและขัดเกลาตบะของตัวเองด้านในได้ ด้วย เหตุนี้ซั่งซูอวี๋จึงตอบตกลง
ฉินชูไม่นึกว่าจะต้องมาแยกทางกับกองกำลังจากยอดเขาเชียนหลัวอย่างปุบปับ แต่เขาไม่มีทางเลือก ซาหานไม่ยอมเชื่อใจเขาและไม่ยอมรวมกลุ่มเป็หนึ่งเดียวกัน ทำให้ควบคุมลำบาก
ลึกๆ ในใจ ฉินชูรู้ดีว่าหลิวเสวี่ยกับคนที่เหลืออยากร่วมสำรวจไปพร้อมกับพวกเขา แต่ด้วยสถานการณ์บังคับ ซาหานเป็คนจากยอดเขาเดียวกัน พวกหลิวเสวี่ยจึงไม่อาจปล่อยซาหานออกสำรวจเพียงลำพังได้
“ศิษย์พี่เจิ้ง ตอนนี้พวกเราออกห่างจากบริเวณประตูทางเข้าโบราณสถานชิงหวางมาพอสมควร ทำให้ยืดเวลาการเผชิญหน้ากับพวกยอดเขาหลักได้สักระยะ หลังจากนี้มีแต่อันตรายจากกลไกด้านในโบราณสถานชิงหวาง อันดับแรก พวกเราต้องพยายามหลีกเลี่ยงกลไกค่ายกลให้ได้มากที่สุด หากมีสัตว์อสูรโผล่มา ศิษย์พี่เจิ้งมีหน้าที่แจ้งระดับของพวกมัน หากพบสัตว์อสูรที่ศิษย์พี่มองระดับของมันไม่ออก พวกเราต้องถอยหนีทันที” ฉินชูเริ่มแจกแจงหน้าที่
พวกเจิ้งชิวทั้งสามคนมีตบะอยู่ที่ขั้นที่สามเจินหยวนระดับสมบูรณ์ โดยพื้นฐานแล้ว พวกเขาสามารถมองระดับตบะของอีกฝ่ายออก แต่ไม่เกินระดับตบะของตัวเอง หากมีสัตว์อสูรที่พวกเขามองระดับตบะไม่ออกโผล่มา หมายความว่าอสูรตัวนั้นมีตบะขั้นที่สี่ขึ้นไป หรือไม่ก็สูงกว่านั้น
สัตว์อสูรกับมนุษย์ผู้ฝึกตนมีระดับขั้นตบะคล้ายกัน ขั้นที่หนึ่งจวี้หยวนดูดซับอณูปราณ ขั้นที่สองหนิงหยวนหลอมอณูปราณ ขั้นที่สามเจินหยวนก่อเกิดพลังปราณ ขั้นที่สี่หลิงหยวนก่อเกิดพลังจิต ขั้นที่ห้าเทียนหยวนปราณฟ้า ขั้นที่หกหวางเจ่อราชันย์เรืองอำนาจ ขั้นที่เจ็ดจุนเจ่อประมุขทั้งปวง ซึ่งการแบ่งระดับขั้นตบะของสัตว์อสูรสามารถเทียบกับของมนุษย์ผู้ฝึกตนได้เลย
สัตว์อสูรขั้นที่หนึ่งและขั้นที่สองค่อนข้างธรรมดา สัตว์อสูรขั้นที่สามมีการโจมตีที่สามารถปลดปล่อยคลื่นพลังออกมาภายนอกได้ ส่วนใหญ่จะเป็การตะปบคลื่นพลังที่ออกมาจากกรงเล็บ
เมื่อบรรลุขั้นที่สี่ ความเร็วและพลังของสัตว์อสูรจะเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ ส่วนสัตว์อสูรั้แ่ขั้นที่ห้าขึ้นไปจะเริ่มมีชื่อเรียกสถานะ อสูรขั้นที่ห้าเรียกว่าแม่ทัพอสูร ขั้นที่หกเรียกราชันย์อสูร โดยสัตว์อสูรที่บรรลุขั้นที่หกจะสามารถจำแลงกายเป็มนุษย์ได้ นอกจากมีนิสัยต้นกำเนิดแตกต่างจากมนุษย์ อย่างอื่นที่เหลือก็เหมือนกันจนแทบแยกไม่ออก
ฉินชูยังพอสู้กับสัตว์อสูรขั้นที่สี่ไหวและยังเคยฆ่ามาแล้วไม่น้อย แต่ภายในโบราณสถานชิงหวางแห่งนี้ เขาจำเป็ต้องระวังตัวกว่าเดิม เพราะถ้าหากพวกเจิ้งชิวมองระดับของสัตว์อสูรไม่ออก แล้วพวกมันไม่ใช่สัตว์อสูรขั้นที่สี่ แต่เป็แม่ทัพอสูรขึ้นมาจะทำอย่างไร หากสู้กับสัตว์อสูรขั้นนี้ มีหวังตายสถานเดียว
เดินหน้าต่อไปอีกสักพัก อยู่ๆ ฉินชูก็ััได้ถึงการโจมตีที่ใกล้เข้ามา กระบี่พลันชักออกจากฝักและฟันเข้าไปที่เงาตะคุ่มทันที
ตุบ
ครั้นเงาดำร่วงลงพื้น พบว่ามันคือกระรอกดินตัวใหญ่เกือบสิบสองนิ้ว
“กระรอกดินตัวใหญ่ขนาดนี้เชียวหรือ” เมื่อเห็นศพกระรอกดิน เจิ้งชิวก็อุทานขึ้นอย่างใ
“นี่ไม่ใช่กระรอกดิน แต่เป็หนูกระหายเื เท้าหน้าของมันมีปีกพังผืดเชื่อมต่อกับลำตัว ทำให้บินร่อนลู่ลมได้ชั่วขณะ ทุกคนระวังตัวดีๆ” ฉินชูพูดเตือนทุกคน
ครั้นเดินหน้าต่อไป หนูกระหายเืก็โผล่มาโจมตีพวกเขาเรื่อยๆ แต่พวกฉินชูตอบสนองฉับไว ทำให้พวกหนูกระหายเืถูกฆ่าก่อนที่จะโจมตีใส่พวกเขา
“หนูกระหายเืพวกนี้มันตะกละเกินไปแล้ว หากถูกพวกมันกัดเข้า พวกมันคงแทะพวกเราเหลือแต่กระดูกแน่ๆ” หานอวี้พูดขึ้น
“ตอนนี้พวกเรายังอยู่ที่เขตทางเดินรอบนอกของโบราณสถานชิงหวางอยู่ ต่อจากนี้ไป ไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ จุดหมายของพวกเราในครั้งนี้คือไปให้ถึงเขตหอร้อยชัยภายในโบราณสถานชิงหวางให้ได้” ฉินชูมองศพหนูกระหายเือีกรอบ ก่อนพูดขึ้น
“หอร้อยชัยคืออะไร” ไป๋อวี้มองฉินชูพลางเอ่ยถาม
“ดูเหมือนว่าพวกเ้ายังไม่รู้จักนิสัยของชิงหวาง เป็เพราะเขาโปรดปรานการเข่นฆ่า จึงถูกท่านบรรพชนผู้ก่อตั้งสำนักชิงหยุนขับไล่ออกจากสำนัก และหอร้อยชัยก็คือเขตสถานที่ที่เขาสร้างขึ้นหลังจากฆ่าเหล่ายอดฝีมือได้หนึ่งร้อยคน โดยแต่ละจุดจะมีบันทึกของคู่ต่อสู้ทิ้งเอาไว้ บางทีอาจจะมีของกำนัลหลังการต่อสู้หลงเหลืออยู่ หากโชคดี อาจเจอสมบัติหายากก็เป็ได้” ฉินชูบอกข้อมูลที่ตัวเองรู้ให้ทุกคนฟัง
“จะบอกว่าบริเวณหอร้อยชัยมีของขวัญแห่งวาสนามากมายรอพวกเราอยู่สินะ” เจิ้งชิวพูดอย่างตื่นเต้น
“นี่เป็เพียงข้อสันนิษฐานของข้าเท่านั้น บางครั้งก็ขึ้นอยู่กับโชคดวง ข้อมูลที่ข้ามี ลูกศิษย์จากยอดเขาอื่นก็มีเช่นกัน โดยเฉพาะพวกลูกศิษย์จากยอดเขาหลัก พวกนั้นมีข้อมูลเยอะกว่าพวกเรา แถมมีหัวคิดปราดเปรื่องไม่แพ้กัน” ฉินชูเอ่ย
คนอื่นๆ พยักหน้าตาม แน่นอนว่าพวกลูกศิษย์จากยอดเขาหลักย่อมมีข้อมูลที่มากกว่ายอดเขาอื่นๆ ที่เหลือ การที่พวกนั้นรู้มาก ย่อมเป็เื่ปกติ
ตัดมาทางฝั่งของกองกำลังยอดเขาหลัก หลังจากพวกเขาเข้ามาด้านในโบราณสถานชิงหวาง ก็ไม่ได้จับกลุ่มกันสำรวจ หลังจากซั่งซูอวี๋มองพินิจพวกหลิ่วหนานอยู่พักหนึ่ง ก็ขมวดคิ้วและเดินแยกตัวออกไปสำรวจคนเดียว นางรู้จักนิสัยของพวกหลิ่วหนานเป็อย่างดี ดังนั้นจึงไม่อยากเกลือกกลั้วด้วย
การแยกตัวออกไปของซั่งซูอวี๋ทำให้หลิ่วหนานโมโหเล็กน้อย เพราะเห็นได้ชัดว่าซั่งซูอวี๋ไม่เห็นว่าพวกเขาเป็พวกเดียวกันกับนาง แต่หลิ่วหนานกลับทำอะไรไม่ได้ เพราะก่อนที่เขาจะเข้ามาในโบราณสถานชิงหวาง ซูซานเหอได้กำชับกับเขาว่าภูมิหลังของซั่งซูอวี๋ยิ่งใหญ่ไม่ธรรมดา ห้ามมีเื่ด้วยเด็ดขาด ขนาดซูซานเหอยังพูดเช่นนั้นออกมาจากปากตัวเอง แล้วพวกหลิ่วหนานจะกล้าไปมีเื่ด้วยได้อย่างไร
“ภารกิจหลักของพวกเราคือฆ่าฉินชู แต่ตอนนี้พวกเรากลับไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน” ศิษย์สายในคนหนึ่งมองไปที่หลิ่วหนานพลางเอ่ย การพูดจาระหว่างพวกเขาไร้ซึ่งความเกรงใจ ไม่มีแม้แต่คำเรียกว่าศิษย์พี่ศิษย์น้อง เพราะพวกเขาเป็คนของเฉียนชิง
“ไม่ต้องรีบ แต่ตามข้ามาก็พอ แผนที่ในมือของซาหานจากยอดเขาเชียนหลัวเหมือนกับของพวกเรา เขาจะพาพวกนั้นไปรวมตัวกันยังจุดนัดพบ รอจัดการพวกนั้นในคราวเดียว หลังจากฆ่าพวกฉินชูได้แล้ว พวกเราค่อยฉลองชัยชนะด้วยเรือนร่างสตรีจากยอดเขาเชียนหลัว หลิวเสวี่ยเป็ของข้า ที่เหลือพวกเ้าเลือกกันเอง” ใบหน้าของหลิ่วหนานปรากฏรอยยิ้มอำมหิตขึ้นมา
ทางฝั่งของหลิวเสวี่ย
หลังจากแยกทางกับพวกฉินชู นางก็แสดงความไม่พอใจออกมา
“ซาหาน เ้ารู้หรือไม่ว่าใครเป็หัวหน้า” ลูกศิษย์ผู้หญิงข้างๆ หลิวเสวี่ยพูดขึ้น นางมีนามว่าหลินเหมย เป็เพื่อนสนิทของหลิวเสวี่ย การกระทำของซาหานทำนางไม่พอใจยิ่งนัก
“ฉินชูไม่ใช่คนดี พวกเราตามเขาไปมีแต่จะเสียเปรียบ” ซาหานพยายามหลบสายตา
“หากคิดว่าเขาไม่ใช่คนดีและไม่อยากร่วมเดินทางสำรวจกับเขา ทำไมเ้าไม่ต่อรองกับท่านปรมาจารย์เหลยั้แ่ก่อนหน้านี้ แต่กลับมาแสดงอาการเอาตอนนี้เนี่ยนะ” หลิวเสวี่ยพูดขึ้นอย่างโมโห นางรู้ซึ้งถึงพลังของฉินชูเป็อย่างดี หากร่วมสำรวจด้วยกันจะสามารถลดความเสี่ยงลงได้เป็อย่างมาก นอกจากนี้นางยังเชื่อใจฉินชู
“ข้าคิดว่าหากพวกเราสำรวจด้วยตัวเองก็ไม่ต่างจากร่วมสำรวจเท่าไร อย่างน้อยก็สามารถตัดสินใจได้อย่างอิสระ ซ้ำยังไม่ถูกจ้องเล่นงานจากพวกยอดเขาหลัก” ซาหานก้มหน้าพูด แต่กลับไม่มีใครสังเกตเห็นแววตาชั่วร้ายจากเขา