ซูซานหลางเป็พระสหายของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน และเป็ลูกศิษย์ที่ผู้าุโฉีภาคภูมิใจที่สุด แม้ไม่ได้เข้าสู่วงการขุนนาง แต่คารมคมคายมิมีผู้ใดเทียบได้ เคยทำาปะทะฝีปากกับทูตจากต่างแคว้นมาแล้ว ทั้งยังสามารถแก้กลเก้าห่วง [1] ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถแก้ได้มาหลายทศวรรษ
บุคคลเช่นนี้ มาตรว่าเข้าสู่เส้นทางขุนนางก็ย่อมโดดเด่นเฉิดฉาย
เขาใช้สีหน้าเ็าจดจ้องิ่หวายเขม็ง
ซูซานหลางย่อมซาบซึ้งใจที่ิ่หวายเคยหลีกทางให้ในปีนั้น แต่ถ้าหยามิ่ภรรยา หยามิ่แว่นแคว้นของเขา ต่อให้เป็ใครหน้าไหน เคยติดค้างน้ำใจหรือไม่ เขาก็ไม่ไว้หน้าทั้งสิ้น
นอกจากนี้... แววตาของเขาไหวระริก ยังมีเหตุผลอื่นที่ไม่อาจกล่าวได้
นอกเหนือจากซูซานหลาง สีหน้าของคนอื่นๆ ล้วนย่ำแย่ ซูซานหลางย่อมกล่าวถูกต้อง เมื่อรู้สึกว่าจงหยวนไม่ดีไปเสียทุกเื่ แล้วจะแต่งเข้ามาทำไม!
อูเอ่อร์จูเห็นสีหน้าไม่เป็มิตรของทุกคน ก็ยิ่งชูคอแข็งกร้าว "ข้าพูดผิดตรงไหน ข้าไม่รู้หลักการทฤษฎีของคนจงหยวนอย่างพวกเ้าเสียหน่อย แต่ที่รู้ๆ พอข้ามาถึง พวกเ้าก็ดูแคลนข้า พวกเ้ายังว่าข้าเป็หญิงชนเผ่า!"
"พอแล้ว!" ิ่หวายตวาดเสียงเข้ม
อูเอ่อร์จูเงียบลงทันควัน
ิ่หวายเอ่ยว่า "หากยังอยากอยู่อย่างสงบสุขก็ไสหัวไปให้ข้าเดี๋ยวนี้"
อูเอ่อร์จูมองไปสามีของตนเองอย่างไม่อยากเชื่อ ิ่หวายพูดเน้นทุกคำทุกประโยค "เ้าจำสิ่งที่ตนเองเคยพูดไว้ตอนที่พวกเราแต่งงานกันได้หรือไม่ เ้าบอกว่าจะถือว่าต้าฉีเป็บ้านของตนเอง จะถือว่ามารดาข้าเป็มารดาของเ้า หากเ้ายังรังเกียจแว่นแคว้นของตนเองเยี่ยงนี้ แล้วจะปฏิบัติต่อมารดาของตนเองอย่างดีได้อย่างไร?"
อูเอ่อร์จูพลันรู้สึกไม่รู้จะพูดอย่างไรไปชั่วขณะ นางขบริมฝีปาก "ขะ... ข้า ไม่ได้ ข้าก็แค่..."
ทว่าไม่นานนางก็เชิดหน้าพูดท้าทาย "ท่านก็เคยบอกว่าจะทะนุถนอมข้า"
"ห้ามรังแกมารดาข้า" รุ่ยเอ๋อร์วิ่งเข้ามาผลักิ่หวายออกไปทันที หลังจากนั้นก็ทำท่าราวกับเสือน้อย "อย่ามารังแกมารดาข้า"
ซูซานหลางแค่นหัวเราะเสียงเย็น ก่อนเอ่ยว่า "ท่านป้า ข้าคิดว่าพวกท่านคงมีเื่ที่ต้องจัดการภายในครอบครัว ครานี้พวกเราคงจะไม่รั้งอยู่นาน"
ฮูหยินผู้เฒ่าิ่ไหนเลยจะเคยเสียหน้าเยี่ยงนี้ ตอนิ่หวายปล่อยมือจากฉีอิ่งซินก็ยังไม่ทำให้นางรู้สึกลำบากใจเท่านี้เลย
นางลุกขึ้น "ข้ารู้สึกไม่สบาย คงไม่อยู่ต้อนรับพวกเ้าแล้ว"
เสี่ยวเฉียวเยว่รีบทำท่าฉอเลาะฮูหยินผู้เฒ่าจนอีกฝ่ายอมยิ้ม "เป็เด็กน้อยที่ฉลาดรู้ความจริงๆ"
จากนั้นก็มองรุ่ยเอ๋อร์อีกครา ถ้อยคำซึ่งเดิมทีคิดจะพูดก็ถูกกลืนกลับลงไป แม้ซูซานหลางจะดูเป็คนคุยง่าย แต่จากสถานการณ์ตอนนี้ เขาต้องไม่ยอมอย่างแน่นอน
นางส่งเด็กคืน ก่อนสั่งว่า "หมัวมัว ประคองข้ากลับห้อง"
ซูซานหลางมิรั้งรอ เอ่ย "ขอลา" ออกไปตรงๆ โดยไม่คำนึงถึงน้ำใจไมตรีอันใดทั้งสิ้น
แม้ไท่ไท่สามจะรู้สึกเก้อเขิน ทว่านางล้วนคล้อยตามสามีมาโดยตลอด อีกอย่างเื่นี้พวกเขาก็เป็ฝ่ายถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้อง
ขณะที่พวกเขาเดินไปถึงหน้าประตู เสี่ยวอิ้งเยว่ก็เงยหน้าขึ้นถามด้วยเสียงดังฟังชัด "ท่านพ่อ ลูกมีบางเื่ไม่เข้าใจ อยากขอคำชี้แนะเ้าค่ะ"
"ว่ามาสิ"
"ท่านมักกล่าวเสมอว่าต้องปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยคุณธรรม แต่คนบางคนไม่ฟังเหตุผล พอท่านใช้เหตุผล นางก็จะหาเื่ก่อกวนสุ่มสี่สุ่มห้า เช่นนี้ควรทำเช่นไรเ้าคะ" เสี่ยวอิ้งเยว่ทำท่าเหมือน้าคำแนะนำอย่างจริงจัง
ซูซานหลางแค่นเสียวหัวเราะหึๆ "คนเยี่ยงนี้หรือ? เ้าไม่ต้องไปสนใจ ไม่ช้าก็เร็วนางจะพบเจอกับคนที่ร้ายกาจกว่าเอง"
"ลูกทราบแล้วเ้าค่ะ"
เสี่ยวเฉียวเยว่รำพึงในใจ โอ้แม่เ้า... พี่สาวของข้าไม่ธรรมดาเลย เื่ชี้หม่อนด่าไหว [2] เช่นนี้เก่งยิ่งกว่าบิดาเสียอีก
แม้อายุยังน้อยแต่ถ้อยคำช่างน่าทึ่ง นี่คือตัวอย่างของการตบหน้าคนโดยไม่ต้องใช้มือเลยนะ!
นางรู้สึกสะท้อนใจอยู่ครู่ใหญ่ หลังจากนั้นก็ค่อยๆ หลับไปในอ้อมแขนของสาวใช้ด้วยความอ่อนเพลีย
พอเห็นเด็กน้อยสองคนหลับแล้ว ไท่ไท่สามก็เอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกไม่สบายใจ "พวกเราไปเป็แขก แต่กลับสร้างปัญหาให้กับผู้อื่นในบ้านของพวกเขา"
จิตสำนึกของนางรู้สึกละอายยิ่งนัก
ครานี้ซูซานหลางขึ้นมานั่งรถม้าคันเดียวกันกับพวกนาง มิได้นั่งคนเดียว เขาเอ่ยว่า "หากคนคนหนึ่งชิงชังเ้า ไม่ใช่ตอนนี้ก็เป็วันหน้า ไม่ช้าก็เร็วต้องะเิออกมาแน่นอน"
"แต่พวกเราติดค้าง..."
ซูซานหลางกุมมือของนางแล้วเอ่ยอย่างจริงจัง "คนที่พวกเราติดค้างคือพี่ิ่หวาย ไม่ใช่นางอูเอ่อร์จู ข้าคิดว่า ไม่ว่าจะเป็ใครก็ตาม ขอเพียงเป็ชาวต้าฉี ย่อมจะทนฟังคำพูดว่าร้ายของนางไม่ได้ ไม่ใช่เพียงแค่เหยียดหยามเ้า ยังดูิ่ศักดิ์ศรีต้าฉีของพวกเรา ไม่ว่าจะเป็จุดไหน ข้าล้วนทนไม่ได้ ข้ายังคงเคารพนับถือพี่หวายิ่เป็พี่ชาย แต่สตรีผู้นั้น นางไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเราทั้งสิ้น ข้าจะไม่เรียกนางเป็พี่สะใภ้"
ไท่ไท่สามทอดถอนใจ "พฤติกรรมของนางวันนี้ ต่อไปคงจะยืนอยู่ในเมืองหลวงได้ยาก"
ซูซานหลางก็เข้าใจในจุดนี้ "ไม่ช้านี้พี่ิ่หวายก็จะกลับไปชายแดนอีกครั้ง"
ไท่ไท่สามเอนซบบนลาดไหล่ของเขา เอ่ยเสียงเบา "เช่นนั้นท่านป้าก็คงต้องอยู่คนเดียวอีกแล้ว"
พูดมาถึงตรงนี้ ก็ถอนหายใจ
สามีเสียชีวิตในสนามรบ บุตรชายเพียงคนเดียวก็ไม่อาจรั้งอยู่ข้างกาย ทุกคนล้วนมองว่าฮูหยินผู้เฒ่าิ่มีฐานะสูงศักดิ์ ไม่มีผู้ใดจะเทียบเทียมได้ แต่ใครเล่าจะเห็นความระทมใจของนาง?
ซูซานหลางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดว่า "พี่หวายิ่ไปครานี้จะทิ้งบุตรชายของพวกเขาไว้ในเมืองหลวง"
ไท่ไท่สามเบิกตากว้าง แต่พอตรึกตรองถี่ถ้วนแล้วกลับรู้สึกว่าเป็เื่ธรรมดายิ่ง เพียงแต่เด็กคนนั้น...
นางไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
อิ้งเยว่ฟังบิดามารดาสนทนากันอยู่ด้านข้าง ก็พูดแทรกขึ้นมา "เด็กไร้การอบรม"
"สตรีไม่ควรพูดจาเช่นนี้" ไท่ไท่สามดุทันที
ซูซานหลางย่อมไม่ขัดที่ภรรยาของตนเองจะอบรมบุตร เขากล่าวว่า "ถึงเ้าจะพูดถูก แต่วาจาเช่นนี้ควรเก็บไว้ในใจก็พอ อย่าได้เอ่ยออกมา"
เสี่ยวอิ้งเยว่พยักหน้า "ลูกทราบแล้วเ้าค่ะ ท่านพ่อ"
นางเองยังกล่าวเสริมอีกว่า "ไม่ควรหัวเราะเย้ยหยันในความโง่งมของผู้อื่นต่อหน้า เพียงค่อนขอดในใจก็พอแล้ว นี่คือการไว้หน้าให้แก่ผู้อื่น"
"ผู้รู้จักปรับปรุงตนเองควรค่าแก่การสั่งสอน" ซูซานหลางเอ่ย
ไท่ไท่สามอมยิ้ม "ท่านก็สอนสิ่งที่ดีกว่านี้ไม่ได้หรือ? ต่อไปเสี่ยวฉีอันกับเสี่ยวเฉียวเยว่ของพวกเราโตขึ้น ข้าจะไม่ให้ท่านสอนสักนิดเลย"
ซูซานหลางเลิกคิ้ว แฝงแววยิ้มหยอกเย้าจางๆ มุมปากโค้งขึ้นถามว่า "แล้วข้าไม่ดีหรือ?"
ไท่ไท่สามเห็นเสี่ยวอิ้งเยว่ทำตาโต ก็ติงว่า "สิ่งไร้จรรยา อย่าดู"
หลังจากนั้นก็หันมาหยิกซูซานหลาง "ท่านอย่าพูดเหลวไหล"
...
ถึงแม้ว่าการออกมาข้างนอกวันนี้จะไม่ราบรื่นนัก แต่เสี่ยวเฉียวเยว่ก็ยังคงเพลิดเพลินเจริญใจ นางเล่นกำไลหยก รู้สึกว่าชาติที่แล้วตนเองคงจะทำบุญใหญ่ไว้มาก มิเช่นนั้นจะมีชีวิตที่สุขสบายเยี่ยงนี้ได้อย่างไร
์คงเห็นว่าชาติก่อนนางใช้ชีวิตลำเค็ญมามากแล้วแน่ๆ ชาตินี้จึงประทานบิดามารดาและครอบครัวที่มีภูมิหลังที่ดีเช่นนี้ให้แก่นาง
บิดามารดาของนางไปเรือนหลัก หลันหมัวมัวกับสาวใช้อีกสองคนคอยดูแลพวกนางสองพี่น้อง เฉียวเยว่วิตกเล็กน้อย ไม่รู้ว่ามารดาของนางจะถูกโบยหรือไม่
แต่คิดดูดีๆ ท่านย่าก็ดีมาก ไม่น่าจะทำอะไรที่เกินไป
อาจเป็เพราะเห็นเสี่ยวเฉียวเยว่เล่นกำไลอยู่ตลอด หลันหมัวมัวจึงเอ่ยว่า "คนดีอย่างฮูหยินผู้เฒ่าิ่ ต้องมามีสะใภ้เช่นนี้ช่างน่าเวทนายิ่งนัก"
เสี่ยวเฉียวเยว่หูผึ่งทันควัน
หลันหมัวมัวกล่าวอีกว่า "ตามความเห็นข้า นายท่านสามแสดงโทสะออกไปถูกจังหวะยิ่งนัก มิเช่นนั้นครอบครัวของพวกเราคงเข้าแผนการพวกเขาไปแล้ว"
พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?
เสี่ยวเฉียวเยว่ยังงงอยู่
"ฮูหยินผู้เฒ่าิ่เป็คนดีแล้วมีประโยชน์อันใด หากต้องมีแม่สามีแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็คุณหนูห้าหรือคุณหนูเจ็ดก็ล้วนแต่โชคร้าย บุตรสาวของหัวหน้าชนเผ่าอันใด ไม่เห็นจะเหมือนคนได้รับการอบรมสั่งสอนสักนิด เด็กผู้ชายคนนั้นก็หยาบคายเหลือทน จิ๊ๆ เป็ไม้ผุเอามาแกะสลักไม่ได้"
เสี่ยวเฉียวเยว่เบิกตากว้าง อะไรกัน อะไรกัน!
เหตุใดเื่นี้ถึงเชื่อมโยงไปถึงการแต่งงานได้เล่า
นางยังเป็ทารกอยู่เลยนะ!
ต่อให้เป็อิ้งเยว่พี่สาวของนางก็แค่หกขวบเท่านั้นเอง นี่พวกเขาคิดจะหมั้นหมายให้พวกนางแล้วหรือ?
บรื๋อ น่ากลัวจัง!
เสี่ยวเฉียวเยว่ตะลึงงันกับข่าวนี้ไปแล้ว
จากนั้นก็ได้ยินหลันหมัวมัวพึมพำต่อไปว่า "เคราะห์ดีที่หญิงชนเผ่าผู้นั้นพูดจาเหลวไหล หยาบคายไร้มารยาท มิเช่นนั้น นายท่านสามของพวกเราคงหาข้ออ้างมาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไม่ได้ ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของสองตระกูลตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม จริงๆ เลย หากฮูหยินผู้เฒ่าิ่ใช้เื่ในปีนั้นมาบีบบังคับให้พวกเรายกหลานสาวแต่งให้หลานชายของพวกเขา คุณหนูของบ่าวก็ต้องลำบากแล้ว"
เสี่ยวเฉียวเยว่รู้สึกว่าเื่นี้น่าใเกินไป จึงร้องแว้ออกมาด้วยความหวาดผวา
นาง นาง นาง นางไม่ได้อยากจะร้องเลยนะ
แค่กลุ้มใจนิดหน่อยเท่านั้นเอง เหตุใดถึงควบคุมการร้องไห้ของตนเองไม่อยู่อีกแล้วล่ะ พอกลายเป็ทารก ก็ทำทุกอย่างตามอำเภอใจเลยเหรอ!
"ชีเจี่ยเอ๋อร์ของพวกเราก็ชังเ้าเด็กนั่นใช่หรือไม่ เด็กไร้การอบรมสั่งสอน มิคู่ควรกับชีเจี่ยเอ๋อร์ของพวกเราสักนิด" หลันหมัวมัวเอ่ย
หากไม่ใช่เพราะหลันหมัวมัวชอบพูดพล่ามไปเรื่อยเปื่อย เสี่ยวเฉียวเยว่จะรู้เื่ราวเบื้องลึกเหล่านี้ได้อย่างไร ก็คงกลายเป็คนโง่ที่ไม่รู้อะไรเลย
วันนี้นางไปแสดงความน่ารักต่อหน้าผู้อื่นได้อย่างไรกันนี่ ควรที่จะร้องๆๆ ให้บ้านแตกมากกว่า
โอ้ จริงสิ ทำอย่างที่บิดาบอกก็ได้ ฉี่ใส่อึใส่ไปเลย ต้องให้พวกเขารังเกียจถึงจะดี เช่นนี้ก็จะไม่ถูกหมายตามาเป็หลานสะใภ้แล้ว
เคราะห์ดีที่ตนเองนอนมาเต็มอิ่ม จึงไม่พลาดข่าวลับสำคัญนี้ หากไม่ใช่เพราะปฏิภาณไหวพริบของบิดา ป่านนี้นางคงขุดหลุมฝังตนเองไปแล้ว
โลกนี้ช่างอันตรายเหลือเกิน
หลันหมัวมัวโอ้โลมจนเห็นว่าเฉียวเยว่หยุดร้องแล้ว ก็เอ่ยว่า "ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ก่อนเลือกบุรุษควรล้างตาให้สะอาดดีเสียก่อน ครานั้นองค์หญิงใหญ่ทรงเป็สตรีที่โดดเด่นเพียบพร้อม บุรุษดีๆ มากมายไม่ทรงเลือก กลับไปเลือกแม่ทัพิ่ จิ๊ๆ ปกป้องแว่นแคว้นย่อมคู่ควรแก่การยกย่องนับถือ ทว่าแท้จริงแล้ว... เฮ่อ ตอนนี้บุตรชายก็ยังมาเป็เช่นนี้อีก เคราะห์ดีที่ไท่ไท่ของเราไม่แต่งให้เขาในปีนั้น หาไม่แล้วจะต่างอันใดกับหญิงม่ายร้างสามี หากติดตามไปชายแดน หึหึ ชีวิตที่ต้องผจญลมฝนเยี่ยงนั้นต้องยากลำบากเป็แน่ ดีไม่ดีแม่ลูกต้องพรากจากกันอีก"
พูดมาถึงตรงนี้ หลันหมัวมัวก็รีบวางเสี่ยวเฉียวเยว่ลง แล้วเอ่ยว่า "ไม่ได้ ไม่ได้ ข้าต้องสวดมนต์ภาวนาให้ดี ขอบคุณ์ที่ประทานสิ่งดีๆ ให้คุณหนูของพวกเรา"
เสี่ยวเฉียวเยว่ "..."
หลันหมัวมัว การพูดเองเออเองของท่านช่างเติมเต็มให้ผู้อื่นได้จริงแท้!
...
[1] กลเก้าห่วง หรือ จิ่วเหลียนหวน เป็เกมลับสมองที่อยู่คู่คนจีนมาเนิ่นนาน ผู้เล่นต้องอาศัยความเพียรในการฝึกและความอดทนเพื่อเล่นให้จบไม่น้อย จึงจะสามารถนำพาห่วงทั้งเก้าที่เกี่ยวกันอยู่นั้นคล้องและปลดออกจากแกนได้หมด เพราะวิธีการแก้ห่วงทั้งเก้านั้นต้องใช้ขั้นตอนทั้งสิ้น 341 ขั้นตอน
[2] ชี้หม่อนด่าไหม ใช้อุปมาถึงการด่าผู้อื่นทางอ้อม คล้ายกับสำนวนตีวัวกระทบคราดของไทย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้