ติงเหว่ยทำได้แค่ปล่อยให้เด็กโตและเด็กเล็กเล่นกันต่อ จากนั้นนางก็เดินไปทางกงจื้อิที่ยืนอยู่ข้างๆ
“นายน้อยสิ่งที่ยากที่สุดของการออกกำลังกายคือการยืนหยัด แต่ก็ไม่สามารถออกจนเหนื่อยเกินไป ท่านออกมาครึ่งชั่วยามแล้ว พักสักหน่อยก่อนเถอะ”
หน้าผากของกงจื้อิปกคลุมไปด้วยเหงื่อ ยามที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้วเงยหน้าขึ้นมา แสงแดดก็สะท้อนกับเม็ดเหงื่อระยิบระยับ
ติงเหว่ยหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดให้เขาโดยไม่รู้ตัว เมื่อนางหยุดมือก็เห็นภาพใบหน้าของนางเองสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา ด้วยเหตุนี้ทำให้นางหน้าแดง พูดอย่างเก้อเขิน “นั่น…เอ่อ…อากาศร้อนเกินไปแล้ว”
กงจื้อิได้ฟังก็รู้สึกขบขันเป็อย่างมาก ตาและคิ้วของเขาโก่งขึ้น ตอบรับอยู่ในลำคอ “อืม…”
ติงเหว่ยรู้สึกเขินอาย รีบพยุงเขานั่งบนเก้าอี้ ใช้การไปชงชาเป็ข้ออ้างในการหนีไป แม้กระทั่งลูกของนางก็ลืมไว้ในอ้อมกอดของท่านลุงอวิ๋น
ท่านลุงอวิ๋นหอมใบหน้าเล็กๆ ของอันเกอเอ๋อร์ เขายิ้มแล้วพูดเสียงเบาว่า “คุณชายน้อย นายน้อยกับแม่ของท่านกำลังทำเื่ส่วนตัวอยู่ ท่านก็เล่นกับบ่าวชราอีกสักพักเถอะ”
อันเกอเอ๋อร์ไม่รู้ว่าตนเองถูก “ทอดทิ้ง” กลับหัวเราะเบาๆ ไม่หยุด
กงจื้อิได้ฟังก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจ แล้วพูดว่า “ท่านลุงอวิ๋น ข้าขออุ้มสักหน่อย”
ท่านลุงอวิ๋นรีบส่งอันเกอเอ๋อร์ไปให้ กงจื้อิอุ้มลูกอย่างระมัดระวัง สังเกตอย่างละเอียดว่าเขาสวมใส่ชุดไม่มากไม่น้อยไป เสื้อผ้ากางเกงล้วนอ่อนนุ่ม การตัดเย็บก็ประณีต ดังนั้นจึงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ถือโอกาสหยิบถ้วยสีขาวบนโต๊ะให้เขาเล่น
ติงเหว่ยในที่สุดก็คิดออกว่าลูกน้อยหายไป ตอนที่หยิบชาและขนมกลับมา อันเกอเอ๋อร์ก็นอนหลับอยู่ในอ้อมกอดของกงจื้อิแล้ว
ลมอ่อนๆ ในฤดูใบไม้ผลิพัดโชย ร่างใหญ่หนึ่งเล็กหนึ่ง ทั้งรู้สึกปลอดภัยและงดงาม ทำให้ในใจติงเหว่ยคิดถึงความสงสัยก่อนหน้านี้ของนางอีกครั้ง
แต่เพียงครู่เดียว นางก็ส่ายศีรษะไปมา ล้มล้างความสงสัยนี้ด้วยตัวนางเอง
กงจื้อิวางหนังสือลง หันกลับไปเห็นติงเหว่ยยืนส่ายศีรษะไม่หยุดอยู่กลางแสงแดด สายลูกปัดบนปิ่นปักผมด้านหลังศีรษะของนางส่ายไปมาส่งเสียงดังไม่หยุด แสงจากเครื่องประดับหยกขาวสะท้อนอยู่ที่คอขาวบริสุทธิ์ ดูอ่อนโยนเป็พิเศษ
“มานั่งเถอะ!”
“หืม?” ติงเหว่ยหายใและได้สติกลับมา อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงอีกครั้ง ทำได้เพียงรีบพูดออกมา “นายน้อย เถ้าแก่ที่ร้านกลับมารายงานบัญชี เื่ั้แ่วันนี้…อืม…นายน้อยให้เฟิงจิ่วจัดการเถอะ ขอบคุณนายน้อย!”
“ครอบครัวเดียวกันไม่จำเป็ต้องเกรงใจ” ไม่รู้เพราะเหตุใดใน่เวลาสั้นๆ กงจื้อิไม่ชอบใจหญิงสาวที่ปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพ จึงชี้ไปที่เด็กในอ้อมกอดแล้วถามว่า “อันเกอเอ๋อร์คลานได้แล้วใช่หรือไม่?”
เมื่อพูดถึงลูกน้อย ดวงตาของติงเหว่ยก็เป็ประกายในทันที ตอบอย่างร่าเริงว่า “ได้แล้ว เ้าเด็กคนนี้ค่อนข้างซุกซน ไม่กี่วันก่อนเขาเริ่มสร้างความวุ่นวาย เดิมทีอวิ๋นอิ่งทำหุ่นมือเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้ว่าหายไปั้แ่ตอนไหน สุดท้ายถูกเขาเอาไปซ่อนไว้ใต้ผ้าห่ม”
กงจื้อิลูบผมที่อ่อนนุ่มของอันเกอเอ๋อร์อย่างอ่อนโยน รอยยิ้มในดวงตาของเขาก็อบอุ่นขึ้น ติงเหว่ยเห็นแล้วไม่รู้เพราะเหตุใดในใจจึงรู้สึกเศร้าขึ้นมา อันเกอเอ๋อร์ยามนี้ยังเล็กนัก ไม่รู้ว่าท่านพ่อคือใคร รอจนเขาโตขึ้นแล้วถามขึ้นมา นางไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรจริงๆ แม้ว่าทุกคนในบ้านนี้ ั้แ่คุณชายจนถึงคนรับใช้ทุกคนจะรักและห่วงใยเขา แต่ในที่สุดล้วนไม่มีใครที่เขาเรียกว่าท่านพ่อได้
กงจื้อิเหลือบมองติงเหว่ยที่มีสีหน้าเปลี่ยนไป หน้าตาดูเหงาหงอยเศร้าสร้อยเป็อย่างมาก ยังคิดว่าพวกอันธพาลในเมืองมาทำให้นางกระวนกระวายอีก ดังนั้นจึงพูดว่า “ถ้าที่ร้านยังมีเื่อะไรที่จัดการไม่ได้ก็บอกเฟิงจิ่วให้เขาไปจัดการ”
ติงเหว่ยรีบโบกมือ อันธพาลในเมืองไม่ใช่หญ้าป่า ตัดไปหนึ่งต้นก็ยังมีอีกต้น แม้ว่าพวกเขาจะเป็บุคคลที่ก่อให้เกิดความหายนะ แต่ที่พวกเขายังดำรงอยู่ก็ต้องมีเหตุผล ยิ่งไปกว่านั้นเฟิงจิ่วก็ไปแก้แค้นให้นางแล้ว ตอนนี้ตระกูลเหลียงที่เหลืออยู่ก็นับว่าเป็คนดี อย่างไรก็ไม่สามารถจัดการพวกเขาได้อีก
“ไม่ล่ะ ไม่ล่ะ นายน้อยท่านไม่รู้อะไร หลังจากนั้นในเมืองก็กลัวจนไม่มีใครกล้ามารังแกที่ร้านอีก เมื่อก่อนยังมีคนมาส่งของขวัญให้ถึงหน้าประตู ข้าให้เฉิงต้าโหยวส่งของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ กลับไป หลังจากนี้จะได้อยู่กันอย่างสงบสุขไม่มีเื่อะไร”
กงจื้อิได้ฟังแล้วสายตาที่เดือดดาลก็ผ่อนคลายลง พยักหน้าอย่างช้าๆ
ติงเหว่ยยกมือรินน้ำชาให้เขา ตอนที่กำลังจะรับลูกกลับมา ท่านลุงอวิ๋นกลับล้มลุกคลุกคลานวิ่งมาจากนอกประตู ะโด้วยความประหลาดใจ “หาเจอแล้ว หาเจอแล้ว!”
ติงเหว่ยได้ยินก็รู้สึกประหลาดใจ เห็นชายชราเซเหมือนกำลังจะล้มลงอีกครั้ง จึงรีบมาพยุงเขาไว้และพูดปลอบว่า “ท่านลุงอวิ๋น เกิดอะไรขึ้น ท่านค่อยๆ พูดเถอะ!”
กงจื้อิมีสีหน้าเปลี่ยนไป ตาทั้งสองเป็ประกายน่ากลัว เสียงสั่นเล็กน้อย “หาเจอแล้ว?”
ท่านลุงอวิ๋นพยักหน้าอย่างแรง ยืนกรานที่จะคุกเข่าลงบนพื้น ะโเสียงดังว่า “นายน้อย หาหมอเทวดาเจอแล้ว มีความหวังที่จะแก้พิษได้แล้ว! ์คุ้มครอง บรรพบุรุษตระกูลกงจื้อคุ้มครอง!”
กงจื้อิเงียบไปนาน ในที่สุดมือทั้งสองก็ตีลงบนที่วางแขนของเก้าอี้อย่างแรง เขามองขึ้นไปบนฟ้าแล้วส่งเสียงคำรามออกมา
ในเสียงคำรามมีความสุข และที่ยิ่งไปกว่านั้นยังมีจิติญญาการต่อสู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด
อันเกอเอ๋อร์ถูกทำให้ใตื่น ปากเล็กๆ ของเขาเบะออกกำลังจะร้องไห้เสียงดัง
ติงเหว่ยรีบอุ้มเขามาในอ้อมกอด ตบเบาๆ เพื่อปลอบโยน ไม่นานเฟิงจิ่วก็ะโออกมาจากความมืด ซานอี หลินลิ่วที่กำลังยุ่งกับงานของตนเอง ยังมีอวิ๋นอิ่งที่ออกไปข้างนอกต่างก็รีบกลับมา
เมื่อได้ยินท่านลุงอวิ๋นบอกว่าในที่สุดก็หาหมอเทวดาพบ ทุกคนก็มีความสุขมาก คุกเข่าบนพื้นอย่างพร้อมเพรียงและพูดเสียงดังว่า “ยินดีด้วยกับคุณชาย มีความหวังที่ร่างกายจะกลับมาเป็ปกติแล้ว!”
กงจื้อิคำรามเสียงดัง ความทุกข์ที่อยู่เต็มอกพลันสลายไปทั้งหมด ความไม่สบายใจเศร้าใจสุดท้ายที่อยู่บนหน้าผากก็หายไป ยกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนลุกขึ้น เขามองไปยังท่านลุงอวิ๋นที่กำลังตื่นเต้นจนกลั้นไว้ไม่อยู่ “คนจะมาถึงตอนไหน?”
ท่านลุงอวิ๋นรีบตอบกลับไป “เฟิงอีส่งนกอินทรีส่งสารมาว่าหลังจากนี้สามวันก็จะมาถึง”
“ดี หนึ่งปีกว่าก็รอมาแล้ว รออีกแค่สามวันจะเป็อะไรไป” กงจื้อิพยักหน้า ซานอีนึกถึงพี่น้องกลุ่มเขาที่ในครั้งนี้ตามหลังกลุ่มเฟิง ก็อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยความโกรธว่า “พวกซานเอ๋อร์ต้องเอ้อระเหยอู้งานเป็แน่ ไม่อย่างนั้นเหตุใดจะถูกเ้าพวกบ้านี่แย่งความดีความชอบไปได้?”
หลินลิ่วนึกถึงพี่ใหญ่ของกลุ่มตนเองแล้วก็กลอกตา “เกรงว่าพี่ใหญ่ของพวกเรารอบนี้คงต้องคิดไตร่ตรองว่าจะเพิ่มการฝึกพิเศษให้พวกพี่น้องยังไง”
ทุกคนนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างเฟิงฮั่วชานหลินทั้งสี่กลุ่ม ในไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ปัญหาเล็กน้อยของกันและกันมักถูกหัวเราะเยาะเสมอ
ติงเหว่ยที่อุ้มลูกอยู่ข้างๆ ก็มีความสุขแทนกงจื้อิจากใจจริง
ประการแรกนางเข้าใจดีถึงวิธีการของนาง ในชาติก่อนแค่เรียนวิธีการนวดเล็กน้อย กงจื้อิสามารถฟื้นฟูเหมือนทุกวันนี้ได้ส่วนใหญ่ก็เป็เพราะจิตใจที่แน่วแน่และความพยายามของเขา ส่วนน้อยถึงจะเป็ตัวยาอาหารบำรุงที่นางแนะนำ แต่หลังจากนี้หาก้าทิ้งไม้เท้าค้ำยันและกลับมาเดินได้เหมือนเดิมนั้น แม้ความมั่นใจสักนิดนางก็ไม่มี พอหมอเทวดาท่านนี้มาถึง ก็ช่วยคลายปัญหาที่แก้ยากของนางได้
ประการที่สองสกุลอวิ๋นปฏิบัติต่อนางด้วยความเมตตามาตลอด แม้ว่าหลังจากนี้นางจะช่วยอะไรไม่ได้ นางและลูกก็ไม่ถูกปฏิบัติอย่างโหดร้าย นางเองก็ไม่ได้ชั่วร้ายถึงขนาดคาดหวังให้กงจื้อิพึ่งพานางไปตลอดชีวิตอยู่แล้ว
ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ในคฤหาสน์หลังนี้ล้วนเป็คนดี ไม่จำเป็ต้องมองอย่างละเอียด แค่มองแวบเดียวก็จะเข้าใจความสุขที่แสดงบนหน้าของติงเหว่ยว่าคือเื่จริงหรือโกหก ดังนั้นท่านลุงอวิ๋นที่รู้เื่ราวจริงๆ ในใจก็ยิ่งดีใจมากขึ้นสามส่วน ส่วนหลินลิ่วที่เดาออกเป็ส่วนใหญ่ ก็เคารพมากกว่าสามส่วน…
……
วันเวลาที่รอคอยนั้นมักจะยาวนานที่สุดเสมอ
สามวันนี้เวลาของคฤหาสน์สกุลอวิ๋นเหมือนกับหยุดนิ่ง มันค่อยๆ เดินผ่านไปอย่างช้าๆ ท่านลุงอวิ๋นมองไปยังประตูคฤหาสน์จนแทบจะเปลี่ยนตัวเองเป็ยีราฟแล้ว ซานอีและหลินลิ่วก็กลายเป็คนเฝ้าประตู เฟิงจิ่วนั่งยองที่มุมกำแพง กลายเป็เด็กเฝ้ายาม แม้แต่อวิ๋นอิ่งที่ไม่ชอบพูดก็ยังตัดเสื้อคลุมของอันเกอเอ๋อร์มาทำเป็กางเกง
แม้ว่าผู้คนนอกบ้านจะไม่รู้ว่าคุณชายมีความสุขเื่อะไร ทว่าพวกเขาก็ยังพอมีแววอยู่สักสามส่วน พวกเขาล้วนเดินให้ช้าลงโดยไม่ได้นัดหมาย และทำงานกันอย่างขยันคล่องแคล่ว
หากพูดถึงคนที่ยังปกติก็คือแม่นางติงเหว่ยและกงจื้อิ ติงเหว่ยใจกว้างไม่ปรารถนาสิ่งใด นวดรักษากงจื้อิเหมือนเช่นเคย พิจารณาอาหารสามมื้อในหนึ่งวันอย่างรอบคอบ แน่นอนว่าปริมาณอาหารที่มากขึ้นนั้นเป็เพราะคนร่วมโต๊ะอาหารมากขึ้นอีกหลายคน อันเกอเอ๋อร์กำลังจดจ่ออยู่กับการคลานและซุกซน ไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นใด
คนเดียวที่น่าชื่นชมคือกงจื้อิ เขาเดินไม่ได้มาปีกว่า ยามนี้ยังมีความหวังที่จะฟื้นฟูกลับมาในที่สุด เขาเป็คนใจเย็นที่สุด นั่งนอนตามปกติ จัดการกับจดหมายอย่างปกติ ฝึกเดินอย่างปกติ แม้กระทั่งบางครั้งยังอุ้มอันเกอเอ๋อร์เล่นอยู่ชั่วขณะ พลางมองเห็นติงเหว่ยแอบแลบลิ้นใส่ ชายคนนี้สมกับที่เคยอยู่ในสนามรบจริงๆ ต่อใหู้เาไท่ซานจะถล่มลงตรงหน้าสีหน้าก็ไม่เปลี่ยน นับว่าไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทำได้
ไม่ว่าเวลาจะเดินช้าสักเพียงใด แต่ในที่สุดเวลาสามวันก็ผ่านไป
ในวันนี้ตอนอาหารเย็น ท่านลุงอวิ๋นส่งข้อความถึงท่านป้าหลี่ ไม่กี่วันมานี้ทุกคนทำงานได้เป็อย่างดี ให้รางวัลเป็กับข้าวที่มีเนื้อสองอย่าง เพิ่มเหล้าเก่าอีกสองไห ประตูหน้าและหลังถูกลงกลอนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่จำเป็ต้องมีคนเฝ้ายามและลาดตระเวน
แม้ว่าท่านลุงหลี่และเสี่ยวฝูจื่อจะรู้สึกแปลกใจ แต่ยังคงชอบและเห็นอกเห็นใจคุณชาย จะบอกว่าเป็ค่ำคืนที่อู้งานก็สมเหตุสมผล
ดังนั้นยังไม่ทันจะผ่านยามสอง ผู้คนที่กินดื่มอาหารดีๆ ก็ล้วนหลับอย่างรวดเร็ว ไม่รู้เลยว่า ในยามสามมีชายชุดดำกว่าสิบคนปีนขึ้นบนกำแพงและะโเข้าไปในลานหลักเบาๆ ราวกับใบไม้ที่ร่วงหล่น
ติงเหว่ยก็ไม่ได้ใจร้ายที่จะหลับใน่เวลาแบบนี้ เมื่อกินอาหารเย็นเสร็จก็ไปเย็บปักถักร้อยฆ่าเวลา แม่นางเฉิงถูกส่งกลับไปก่อน ยังเหลืออวิ๋นอิ่งที่อยู่ด้านข้างเป็เพื่อนอันเกอเอ๋อร์ที่กำลังหลับ ค่อยๆ ช่วยยัดนุ่นเข้าไปในผ้าฝ้าย
รอจนติงเหว่ยเย็บปลาโลมาในมือของนางเสร็จ กำลังจะอ้าปากพูด อวิ๋นอิ่งก็ะโลงจากตั่งไปที่พื้น หันไปพิงหน้าต่างเพื่อแอบฟัง
ติงเหว่ยก็เป็กังวลขึ้นมา และถามด้วยเสียงเบาๆ ว่า “มีคนมาอย่างนั้นหรือ?”
ดวงตาของอวิ๋นอิ่งเต็มไปด้วยความสุข นางหันกลับมาพยักหน้าเบาๆ “น่าจะมาถึงแล้ว”
“เ้าไปดูเถอะ ข้าจะนอนสักหน่อย” ติงเหว่ยคิดว่านางเป็แม่ครัว ไม่เหมาะที่จะมีส่วนร่วม ดังนั้นจึงไล่ให้อวิ๋นอิ่งออกไป จากนั้นนางก็หันกลับมาถอดเสื้อผ้าแล้วนอนข้างๆ ลูก
อวิ๋นอิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายนางก็ช่วยดับตะเกียงน้ำมัน และย่องออกไปอย่างเงียบๆ
ติงเหว่ยได้ยินเสียงเบาๆ จากเรือนหลัก ในหัวคิดถึงทางออกให้ตนเองและลูก หากเป็หมอเทวดาจริง อาจรักษาขาของกงจื้อิได้อย่างรวดเร็ว ถึงเวลานั้นนางก็จะสามารถพาลูกไปจากบ้านตระกูลอวิ๋นได้เร็วขึ้น ไปอยู่ในบ้านที่กว้างขวางในอำเภอ มีรายได้จากร้านค้าสองแห่ง ไม่ว่ายามที่ลูกโตขึ้นจะสอบคัดเลือกผู้มีความรู้หรือจะท่องเที่ยวไปทั่วใต้หล้า คาดว่าก็คงไม่ลำบาก
คิดได้แบบนี้นางก็ค่อยๆ หลับไป ในฝันเต็มไปด้วยภาพลูกสอบติดจอหงวน แล้วยังขอผู้หญิงดีๆ มาเป็ภรรยา อย่างไรก็ตามใบหน้าที่เคร่งขรึมของกงจื้อิก็ปรากฏขึ้นมาในความฝันของนาง และถามอย่างเข้มงวดว่า “เ้าจะไปที่ใด เ้าเป็ผู้หญิงของข้ากงจื้อิ!”
“อา ข้าไม่ใช่!” ติงเหว่ยตอบกลับอย่างไม่รู้ตัว แล้วนางก็ใตื่นขึ้นมา