ชายหนุ่มชุดดำรูปร่างผอมบางคนหนึ่งกำลังก้าวเดินออกมาจากห้อง
ชายหนุ่มคนนี้มีร่างกายสูงหกฉื่อ ระหว่างคิ้วกว้าง ดวงตาดั่งพญาอินทรี ใบหน้าตอบเหมือนหนังหุ้มกระดูก ดวงตาทั้งสองลึก กระดูกสูงโปน มีใบหน้าซีดขาว ดูเหมือนคนป่วยหนัก เสื้อคลุมสีดำขนาดใหญ่ที่เขาสวมใส่ดูใหญ่กว่าตัวมาก มองแล้วดูเหมือนร่างกายเขาสามารถปลิวไปตามสายลมที่พัดผ่านได้
แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกแปลกใจคือ แม้ชายหนุ่มผู้นี้จะดูผอมมาก แต่กระดูกทั่วทั้งร่างของเขาดูหนาเป็พิเศษ แม้แต่ฝ่ามือก็ดูใหญ่กว่าคนปกติถึงเท่าตัว มองดูเหมือนพัดอันหนึ่ง
ที่ระหว่างคิ้วของชายหนุ่มคนนี้มีรอยประทับอยู่รอยหนึ่ง จะเห็นได้ว่า ชายหนุ่มคนนี้ก็เปิดรอยผนึกทะเลทุกข์แล้วเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น พลังทางร่างกายของเขาก็อาจอยู่ในระดับที่สูงมาก
“ทำไมกัน พวกเ้าสองคนทะเลาะกันทั้งวันได้อะไรขึ้นมาบ้าง?” สายตาที่เฉียบคมของชายหนุ่มชุดดำจ้องตรงไปยังไป๋ฉีและหวังมู่ และพูดอย่างเฉยเมย
“เหล่าเอ้อ เ้าว่าข้าพูดถูกหรือไม่ ไป๋ฉีคนนี้้าจะเข้าร่วมการท้าประลองในอีกครึ่งปีข้างหน้า เ้าคิดว่าเขากำลังล้อเล่นอยู่หรือไม่ล่ะ? เขาคิดว่าการท้าประลองเป็เื่เล่นขายของหรือ นั่นเป็เื่ถึงชีวิตเลยทีเดียว ข้าเกลี้ยกล่อมเขา แต่เขากลับมาไม่พอใจข้า” หวังมู่กล่าว
ชายหนุ่มชุดดำหรี่ตาลงมองไป๋ฉี และพูดอย่างเฉยเมย “อยากจะลองก็ไปลองดูเถอะ จะได้รู้กันว่าผู้แข็งแกร่งหนุ่มของแดนต้าโหมวเทียนก็ไม่ด้อยกว่าใคร แต่อย่าไปตั้งความหวังไว้มากเกินไปก็พอ”
ใบหน้าของไป๋ฉีกระตุก และพูดขึ้น “ข้าแค่อยากรู้ว่าข้ากับเจ็ดสิบสองอสูรธรณีจะยังห่างกันเพียงใด”
“หากเ้า้ารู้เื่นี้ เ้าก็ลองประลองกับเหล่าเอ้อดูสิ อย่างไรเหล่าเอ้อก็เป็หนึ่งในเจ็ดสิบสองอสูรธรณี ถ้าไม่ใช่ไปพบกับเ้าคนนั้น” หวังมู่พูด
ดูเหมือนว่าเหล่าเอ้อจะมีความคุ้นเคยกับปากอันอยู่ไม่สุขของหวังมู่ เขาหรี่ตาลงมองไปทางโถงด้านใน ด้วยสายตาที่หวาดกลัว “เหล่าต้ายังไม่ออกจากฝึกฝนหรือ?”
“อืม ดูเหมือนจะกำลังเตรียมตัวกับเื่สามสิบหกขุนพล์ อ้อจริงสิ เหล่าเอ้อ แม่นางคนนั้นได้พาคนขั้นกุมารทิพย์ระดับต้นคนหนึ่งมาที่นี่...” หวังมู่เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ระหว่างที่กำลังพูด และรีบชี้นิ้วไปทางประตูห้องด้านข้างเหล่าเอ้อที่ปิดสนิทอยู่
เหล่าเอ้อขมวดคิ้ว ขั้นกุมารทิพย์ระดับต้นหรือ? เขาตรวจเจอนานแล้วว่าฉินอวี่ได้เข้ามาอยู่ที่นี่ แต่มโนจิตไม่อาจผ่านค่ายกลเวทเข้าไปได้ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดอย่างเรียบเฉย “กฎจะฝ่าฝืนไม่ได้ เรียกเขาออกมาเถอะ”
“ทราบ!” หวังมู่พยักหน้า และเดินตรงไปยังห้องของฉินอวี่ เขาเคาะประตูสองสามครั้ง และะโเสียงดัง “หลี่โหย่วฉาย ออกมาเดี๋ยวนี้”
ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จากภายในห้อง และไม่ได้ยินการตอบรับ หวังมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนผลักประตูเข้าไปอย่างแรง
ทันทีที่ประตูถูกผลักออก ฉินอวี่ที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นก็ลืมตาขึ้นทันที พลังอสุนีที่น่ากลัวซึ่งมีอยู่เต็มค่ายกลเวทได้ก่อตัวและพุ่งเข้าสู่ร่างกาย ดวงตาของเขาเปล่งประกายแสงสีม่วง จ้องตรงไปทางหวังมู่ตรงหน้าประตู
“เ้าไม่ได้กำลังฝึกฝนแล้วทำไมไม่ขานตอบเล่า?” หวังมู่มองฉินอวี่อย่างแปลกๆ เขามีความสงสัยอยู่ในใจ ทันทีที่ผลักประตูออกไปจนหมด เขาก็เหมือนรู้สึกได้ว่ามีแสงสีม่วงสว่างวาบผ่านไป
ฉินอวี่ค่อยๆ เก็บค่ายกลเวทอย่างช้าๆ ก่อนจะพูดอย่างเ็า “มีเื่อะไร?”
“เหล่าเอ้อออกจากฝึกยุทธ์แล้ว ตามกฎแล้วเ้าต้องรับหมัดเขาให้ได้หนึ่งหมัด จึงจะมีสิทธิ์ได้อยู่ในห้อง” หวังมู่มองฉินอวี่และพูดออกไป
“ใครเป็คนกำหนดกฎที่เ้าว่า?” ฉินอวี่พูดอย่างไม่แยแส
หวังมู่ตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าฉินอวี่จะกล้าย้อนถาม และพูดขึ้นหลังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “เหล่าต้า นี่ไม่ใช่การรังแกเ้านะ พวกข้าเองก็ผ่านมาเช่นนี้”
“เหล่าต้าเป็ใคร?” ฉินอวี่ถามต่อไป
“เ้าจะหยุดได้หรือยัง? แค่เ้ารับหมัดของเหล่าเอ้อได้ เ้าก็มีสิทธิ์รู้แล้วว่าเหล่าต้าคือใคร” หวังมู่ขมวดคิ้ว และเริ่มหมดความอดทน
ฉินอวี่ลุกขึ้นช้าๆ มองไปยังเหล่าเอ้อที่ยืนอยู่ตรงลานด้านนอก ดวงตาเปล่งประกายเล็กน้อย และถามต่อ “เหล่าเอ้อเป็หนึ่งในเจ็ดสิบสองอสูรธรณีหรือไม่?”
“เ้านี่ก็แปลกคน ทำไมเห็นอะไรก็ชอบถามไปหมด? เหล่าเอ้อเคยเป็คนในเจ็ดสิบสองอสูรธรณี แต่ในการท้าประลองในอีกครึ่งปีข้างหน้า เหล่าเอ้อจะต้องได้กลับไปอยู่ในตำแหน่งเจ็ดสิบสองอสูรธรณีแน่นอน” หวังมู่มองฉินอวี่ด้วยความประหลาดใจ
“เคยเป็เจ็ดสิบสองอสูรธรณีหรือ? แสดงว่าพ่ายแพ้ในงานท้าประลองมาใช่หรือไม่?” ฉินอวี่มองไปทางเหล่าเอ้อ หัวใจเขาเริ่มฮึกเหิม และเดินออกมาจากห้อง
“เ้า้าจะเข้าร่วมท้าประลองในอีกครึ่งปีหรือ?” เหล่าเอ้อจ้องมองฉินอวี่ที่กำลังเดินออกมาและพูดอย่างสงสัย ในตอนนี้ระดับฝึกฝนของฉินอวี่ยังอยู่เพียงขั้นกุมารทิพย์ระดับต้น แต่คิดหวังจะเป็หนึ่งในเจ็ดสิบสองอสูรธรณี นี่เป็เพียงคำพูดของคนโง่เขลาอย่างไม่ต้องสงสัย
ฉินอวี่พยักหน้า และพูดอย่างเฉยเมย “ใช่ ข้าอยากจะลองดู”
“ฮ่าๆ ไป๋ฉี ทีแรกข้าคิดว่าเ้าไม่รู้จักเจียมตัว นึกไม่ถึงเลยว่าจะยังมีคนที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำยิ่งกว่าเ้าเสียอีก” หวังมู่หัวเราะเสียงดัง มองไปทางฉินอวี่ด้วยสายตาที่เย้ยหยัน
ใบหน้าของไป๋ฉีแข็งทื่อ จ้องไปยังหวังมู่อย่างดุเดือด จากนั้นจึงหันมามองฉินอวี่ และพูดด้วยความแปลกใจ “เ้าชื่อหลี่โหยว่ฉายสินะ? แม้ว่าทุกคนจะมีความปรารถนาของตนเอง แต่การที่คนระดับฝึกฝนอย่างเ้าจะร่วมการท้าประลอง มันเป็เื่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย”
“หาก้าเข้าร่วมการทดสอบสามสิบหกขุนพล์ ไม่ใช่ว่าต้องเป็หนึ่งในเจ็ดสิบสองอสูรธรณีก่อนหรอกหรือ?” ฉินอวี่กล่าวพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก เขาอยากรู้อย่างยิ่งว่าตนเองกับอสูรธรณีนั้นใครจะมีกำลังมากกว่ากันเพียงใด
พวกไป๋ฉีทั้งสามคนต่างตกตะลึง หวังมู่โน้มตัวลง และชี้นิ้วไปทางฉินอวี่ ส่วนนิ้วอีกข้างประคองหน้าท้องของตนเอง ก่อนจะหัวเราะออกมาน้ำตาไหล “ฮ่าๆ เ้าเด็กไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง นึกไม่ถึงเลยว่าเ้าคิดจะเป็หนึ่งในสามสิบหกขุนพล์ ฮ่าๆ หลายปีมานี้ เขาน่าจะเป็คนที่ไม่รู้จักเจียมตัวที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมา ไม่เจียมตัวเสียยิ่งกว่าไป๋ฉีอีก ฮ่าๆ!”
ใบหน้าของเหล่าเอ้อกระตุกและมองไปทางฉินอวี่ ราวกับกำลังมองดูเด็กโง่คนหนึ่ง ส่วนไป๋ฉีนั้นมองดูฉินอวี่ด้วยความรู้สึกสงสารมากกว่าเก่า คนผู้นี้บ้าไปแล้วหรือ?
เมื่อเห็นท่าทีของทั้งสามคน การแสดงออกของฉินอวี่ก็เปลี่ยนไป แต่สายตาของเขายังคงเต็มไปด้วยความแน่วแน่
“เ้าเด็กน้อย เ้าหยุดฝันกลางวันเถอะ อย่าว่าแต่เ้าเลย แม้แต่เหล่าต้าก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าจะได้เป็สามสิบหกขุนพล์ แล้วนี่เ้า... ยังคิดจะเป็สามสิบหกขุนพล์ หากพูดออกไป มันจะกลายเป็เื่ตลกของคนอื่นเสียเปล่าๆ อีกอย่าง เ้าอยู่รับหมัดของเหล่าเอ้อให้ได้ก่อนค่อยพูดเถอะ” หวังมู่หัวเราะชอบใจ พูดอย่างไม่ปิดบัง และแฝงไปด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
แต่ขณะที่หวังมู่ยังไม่ทันพูดจบ ก็มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นอย่างกะทันหัน หวังมู่มีสีหน้านิ่งทื่อไปทันที จ้องตรงไปยังฉินอวี่ด้วยความงุนงง
“เปรี้ยง ตูม ตูม”
ฉินอวี่อ้าแขนทั้งสองออก พร้อมรวบรวมอสุนีลึกลับทั่วทั้งร่าง
ปราณลึกลับป้องกันกาย
สิ่งที่แตกต่างออกไปจากครั้งก่อนคือ อสุนีลึกลับของฉินอวี่ในเวลานี้มีความลึกลับมากขึ้น และมีสีที่เข้มขึ้นกว่าเก่า ในขณะที่อสุนีลึกลับปรากฏขึ้น ฉินอวี่ก็กำหมัดทั้งสองข้างไว้แน่น ส่งเสียงคำรามดังก้อง งูสายฟ้าสีม่วงปรากฏขึ้นในเส้นลมปราณทันที มันสวมทับลงบนเส้นลมปราณทั่วทั้งร่างอย่างดุเดือด ราวกับัสายฟ้ากำลังโบยบินอย่างอิสระ ท้ายที่สุดก็ครอบคลุมอยู่ในอสุนีลึกลับทั่วร่างกาย
ในทันใดนั้น ร่างกายของฉินอวี่ก็ะเิพลังที่น่าเกรงขามออกมา งูสายฟ้าเป็ดั่งภาพมายาของัอันสง่า เกิดเป็อสุนีลึกลับทั่วร่างกาย พลังปราณาได้แทรกซึมเข้าไปทั่วร่างทันที
งูสายฟ้านั้นพิเศษยิ่งนัก ฉินอวี่ได้สกัดพลังของมันออกมาเป็อสุนีคำรามประจำกาย และนี่นับเป็ของรางวัลที่มีค่าใน่เวลาครึ่งปีที่ผ่านมา
หินิญญาอสุนีในวงแหวนมิติถูกฉินอวี่ใช้ไปเกินกว่าครึ่ง และด้วยพลังที่มีอยู่ในหินิญญาอสุนีนั้นได้ถูกฉินอวี่รวบรวมขึ้นเป็หนึ่งเดียว และดูดซับเข้าสู่เส้นลมปราณในร่างกายอย่างต่อเนื่อง ท้ายที่สุดวิธีการอันเป็ไพ่ไม้ตายของตนเองก็ถูกกระตุ้นออกมาเป็อสุนีคำรามประจำกาย
สิ่งที่แตกต่างไปจากอสุนีคำรามในครั้งก่อน อสุนีคำรามประจำกายนี้เป็ดั่งแหล่งกำเนิดของพลังอสุนีบาตทั่วทั้งร่างของฉินอวี่ เหมือนดั่งระดับขั้นกุมารทิพย์ของผู้ฝึกตน ขอเพียงมีการกำเนิดขึ้นมา มันจะไม่สลายไปไหน มีแต่จะแข็งแกร่งมากขึ้น
สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่เศร้าใจอยู่บ้างคือ แม้ว่าจะมีสายเือสุนีปะปนอยู่ในร่างกาย แต่พลังอสุนีก็ยังไม่ถูกรวบรวมออกมาจนหมด
เพียงแต่ ฉินอวี่มีความมั่นใจอย่างยิ่งกับเวลาครึ่งปีจากนี้ไป เขาจะใช้อสุนีคำรามประจำกายเป็พลังไม้ตายของตนเอง และยกระดับมันขึ้นไปอีกเป็... อสุนี์ประจำกาย! เช่นนั้นแล้ว ฉินอวี่จึงจะมีความมั่นใจที่จะได้เป็หนึ่งในเจ็ดสิบสองอสูรธรณี
“เ้าแน่ใจนะว่าเ้าชื่อหลี่โหย่วฉาย ไม่ใช่เหลยโหย่วฉาย?” หลังจากตกตะลึง หวังมู่ก็ถามด้วยความใ
คำพูดของหวังมู่ไม่ได้ไร้เหตุผล ในแดนต้าโหมวเทียน ผู้สามารถควบคุมสายฟ้าได้ มีเพียงตระกูลเหลยของตี้หวังเท่านั้น
ฉินอวี่ไม่ได้ตอบอะไร แต่หันไปทางเหล่าเอ้อ และพูดว่า “เข้ามาเลย!”
เหล่าเอ้อมองอย่างจริงจัง พูดตามตรง ในตอนนี้ในใจของเขายังคงคิดว่าฉินอวี่คือคนของตระกูลเหลยของตี้หวัง หากหมัดของตนเองทำเขาเสียชีวิตไป นั่นไม่เท่ากับเป็การล่วงเกินตระกูลเหลยของตี้หวังหรอกหรือ? ในแดนต้าโหมวเทียน นี่เป็สิ่งที่ไม่อาจจะให้เกิดขึ้นได้เลย
หลังจากขัดขืนอยู่พักหนึ่ง เหล่าเอ้อก็ตัดสินใจอ่อนข้อให้ อย่างไรก็ตาม การสังหารคนของตระกูลเหลยของตี้หวังนับว่าเป็เื่ที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย ทันใดนั้น เขาก็พูดขึ้น “ข้าจะระงับระดับฝึกฝนเป็ขั้นกุมารทิพย์ก็แล้วกัน”
“ไม่ๆ ข้า้าให้เ้าโจมตีด้วยกำลังที่แข็งแกร่งที่สุด!” ฉินอวี่โบกมืออย่างรวดเร็ว และพูดอย่างจริงจัง
