สตรีแซ่อวี๋โจวสั่งให้สตรีแซ่ซ่งตั้งสำรับเป็การต้อนรับ ทุกคนในจวนเพิ่งจะนั่งลงที่โต๊ะอาหารไม่นาน อวี๋หรูไห่พลันเอ่ยออกมาอย่างสง่าผ่าเผยว่า “แม่หนูเมิ่ง ข้ารู้ว่าเ้าน้อยเนื้อต่ำใจยิ่งนักที่ต้องเป็ภรรยาของเจ๋อเกอเอ๋อร์ ทว่าสกุลเมิ่งใจดำขายเ้ามาแล้ว เช่นนั้นก็ไม่จำเป็ต้องกลับไปอีก เ้าอายุน้อยกว่าฉี่เจ๋อ มิสู้ยอมอยู่ภายใต้นามของครอบครัวรอง ภายหน้าเ้าก็คือบุตรสาวสกุลอวี๋ของข้าเป็อย่างไร?”
ทันทีที่สิ้นคำกล่าวนี้ สตรีแซ่ซ่งกับอวี๋เมิ่งซานพลันเปลี่ยนสีหน้า ไม่ว่าอย่างไรก็คาดไม่ถึงว่าบิดาของตนจะมีแผนการเช่นนี้
“แม่หนูเมิ่งคือภรรยาของเ้าห้า ท่านพ่อ ท่านอย่าได้หยอกล้อไปเรื่อยขอรับ” อวี๋เมิ่งซานเอ่ยด้วยน้ำเสียงอัดอั้น
อวี๋หรูไห่ถลึงตาใส่อวี๋เมิ่งซาน “แม่หนูเมิ่งไม่ได้เป็ภรรยาของฉี่เจ๋อทั้งในนามและการกระทำ ยังเป็สตรีบริสุทธิ์ หากมาเป็บุตรสาวในสกุลอวี๋ของข้าย่อมไม่มีสิ่งใดไม่เหมาะสม”
เขาหันไปทางอวี๋เจียวอีกครั้ง เอ่ยต่อว่า “ข้าจารึกชื่อของเ้าลงในบันทึกลำดับวงศ์ตระกูลแล้ว อีกทั้งยังเอาทะเบียนรายชื่อของเ้าใส่ไว้ในสกุลอวี๋ของข้า ภายหน้าเ้าก็คือน้องสาวของอวี๋ฝูหลิงกับอวี๋ฉี่เจ๋อ เป็หลานสาวคนเล็กในสกุลอวี๋ของข้า พวกเรากลายเป็คนครอบครัวเดียวกันโดยสมบูรณ์แล้ว”
อวี๋เจียวไม่ทันเตรียมตัวรับเื่เช่นนี้ เดิมนางคิดเพียงว่าหากทำลายใบสัญญาซื้อขายตัว อวี๋หรูไห่ก็จะขู่เข็ญนางไม่ได้อีกต่อไป คิดไม่ถึงว่าอวี๋หรูไห่จะมีแผนการรับมือ คงต้องโทษที่นางไม่เข้าใจเื่ทะเบียนรายชื่อทางราชการในรัชสมัยไท่เยี่ยนนัก
นางกลืนสิ่งที่อยู่ในปากลงคอ นิ่งเงียบไม่เอ่ยสิ่งใด
ตะเกียบในมือของอวี๋ฉี่เจ๋อชะงัก เขาหันมองอวี๋เจียวอย่างเลื่อนลอย ครั้นเห็นท่าทางคล้ายกับยอมรับโดยนัยของนาง ริมฝีปากบางของเขาขบเม้มเข้าหากัน ทว่าท้ายที่สุดยังคงไม่เอ่ยสิ่งใดออกไป
อวี๋ฝูหลิงร้อนใจจนลอบหยิกอวี๋ฉี่เจ๋อไปหนึ่งหน พยายามส่งสายตาให้เขาแต่กลับไม่ได้รับความสนใจไยดีแม้แต่น้อย นางเอ่ยออกไปอย่างอดไม่อยู่ว่า “ท่านปู่ หลานสะใภ้กลายเป็หลานสาวนั้นมีที่ใดกันเ้าคะ ในหมู่บ้านต่างรู้กันโดยทั่วว่าอวี๋เจียวก็คือภรรยาของเจ๋อเกอเอ๋อร์ ท่านทำเช่นนี้ไม่เท่ากับทำให้ชาวบ้านติฉินนินทาหรือเ้าคะ?”
“พวกเขาอยากพูดอะไรก็ปล่อยให้พวกเขาพูดไป แม่หนูเมิ่งย้ายเข้าทะเบียนบ้านจวนของเราแล้ว นี่ก็คือประเด็นหลัก” อวี๋หรูไห่หันไปมองอวี๋เจียว เอ่ยพลางยิ้มแย้ม “ภายหน้าเ้าไม่ต้องใช้ชื่อแซ่ของตัวเองแล้ว ชื่อของเ้ายังมีแซ่อวี๋ของพวกเรา เหมาะจะเป็คนในครอบครัวเดียวกันยิ่งนัก”
มุมปากของอวี๋เจียวยกยิ้มเย้ยหยัน นางไม่ใส่ใจอวี๋หรูไห่
สตรีแซ่ซ่งและอวี๋เมิ่งซานรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก อยู่ดีๆ ลูกสะใภ้กลับกลายเป็ลูกสาว การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ในใจพวกเขาไม่อาจรับได้ในทันที มิใช่ว่าการมีอวี๋เจียวเป็บุตรสาวเป็เื่ไม่ดี แต่หลายวันมานี้พวกเขาเฝ้ามองอวี๋เจียวคอยดูแลอวี๋ฉี่เจ๋อ คนทั้งสองสนิทสนมกันมากขึ้น เป็สามีภรรยากันย่อมต้องดีกว่า
สตรีแซ่ซ่งหารือกับอวี๋เมิ่งซานเป็การส่วนตัว รอกระทั่งร่างกายของเจ๋อเกอเอ๋อร์ดีขึ้นสักหน่อยก็จะจัดงานแต่งงานให้ทั้งสองคน อย่างน้อยอวี๋เจียวก็จะได้เป็ภรรยาที่ถูกต้องและสง่าผ่าเผยของเจ๋อเกอเอ๋อร์ ทว่ายามนี้ทุกอย่างกลับเสียเปล่าแล้ว
เื่นี้ไม่เกี่ยวอะไรกับครอบครัวใหญ่ พวกเขาต่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร เมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของซ่งชุน สตรีแซ่จางรีบช่วยนางเก็บถ้วยชามเข้าไปไว้ในห้องหุงต้ม
“ท่านผู้เฒ่ากำลังคิดอะไรอยู่ เ้าก็รู้ดีแก่ใจ มิใช่เพราะทำเพื่อรั้งอวี๋เจียวไว้ในจวนของเรา ภายหน้าจะได้พลอยมีหน้ามีตาไปด้วยหรอกหรือ” สตรีแซ่จางล้างถ้วยชามแทนสตรีแซ่ซ่ง เอ่ยเสียงเบาไม่หยุดปากว่า “ใส่ชื่อในทะเบียนรายชื่อไปแล้ว เ้าก็เลิกคิดเสียเถิด”
สตรีแซ่ซ่งถอนหายใจ ในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์ แต่เื่มาถึงขั้นนี้แล้ว หนำซ้ำในจวนสกุลอวี๋แห่งนี้ ครอบครัวรองก็ไม่มีสิทธิ์เอ่ยสิ่งใด
สตรีแซ่จางยังปลอบใจซ่งชุนอีกสองสามประโยค เอ่ยวาจาเกลี้ยกล่อมว่า “เมิ่งอวี๋เจียวมีวิชาหมอที่ยอดเยี่ยมนัก มีลูกสาวเช่นนี้ ต่อไปเ้ากับเมิ่งซานยังจะได้เสพสุขไม่มีสิ้นสุด ข้าดูแล้วแม่หนูผู้นั้นปฏิบัติต่อพวกเ้าสองสามีภรรยาด้วยความจริงใจอยู่หลายส่วน อีกทั้งยังเป็ผู้ที่มีความคิด ไม่ว่าจะเป็ภรรยาเ้าห้าหรือไม่ เ้ากับเ้ารองก็ยังได้สุขสบายอยู่บ้าง”
สตรีแซ่ซ่งพยักหน้า เอ่ยพลางถอนใจ “ข้ารู้ แม่หนูเมิ่งเป็คนรู้คุณคน ทั้งยังรู้จักดูแลเอาใจใส่ แค่เื่ไปหาสมุนไพรมาบำรุงร่างกายของฉี่เจ๋อ ตลอดหลายวันมานี้ก็เที่ยววิ่งขึ้นเขาไม่น้อยหนแล้วเ้าค่ะ!”
นางเบาเสียงลง “เมื่อวานเจ๋อเกอเอ๋อร์ยังแอบตามนางขึ้นเขาไปหาสมุนไพร ข้ากับเมิ่งซานเห็นว่าความสัมพันธ์ของเด็กทั้งสองเริ่มดีขึ้น ยังลอบดีใจเสียด้วยซ้ำว่าภายหน้าเจ๋อเกอเอ๋อร์จะมีนางคอยดูแล พวกเราจะได้เบาใจ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าท่านผู้เฒ่ากลับทำเื่เช่นนี้...”
สตรีแซ่จางเก็บถ้วยชามและตะเกียบที่ล้างสะอาดแล้วใส่ไว้ในตู้ผัก เอ่ยด้วยน้ำเสียงแ่เบาว่า “ท่านพ่อของพวกเราแก่จนเลอะเลือนแล้วจริงๆ คู่สามีภรรยาที่ดีต้องกลับกลายเป็พี่น้องกัน หากแพร่งพรายออกไปก็ยังไม่รู้ว่าผู้คนจะป่าวประกาศเื่อัปยศในสกุลอวี๋ของพวกเราอย่างไร ข้าว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะเื่สกุลเหอเป็ต้นเหตุ! เ้าวางใจเถิด แม่หนูเมิ่งกลายเป็น้องสาวของเจ๋อเกอเอ๋อร์แล้ว แต่ก็ยังคอยดูแลร่างกายของเขาได้เช่นกัน”
“การดูแลกันระหว่างพี่น้องจะเทียบกับความเอาใจใส่ของคนที่อยู่ในห้องเดียวกันได้อย่างไรเ้าคะ!” ยามซ่งชุนพูดคุยกับสตรีแซ่จาง นางไม่มีอะไรต้องกังวล
สตรีแซ่จางหัวเราะ “แต่ก็ไม่ใช่เื่เลวร้าย หลังจากฝูหลิงออกเรือนก็กลายเป็คนของผู้อื่นแล้ว ยามนี้เ้ามีลูกสาวเพิ่มมาอีกคน ทั้งยังมีความสามารถขนาดนี้ ข้ายังนึกอิจฉาด้วยซ้ำ!”
ซ่งชุนหัวเราะไม่ออก หลังออกจากห้องครัวแล้วกลับมายังเรือนฝั่งตะวันออก นางนึกอยากไปพูดคุยกับอวี๋เจียว แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยสิ่งใด ลังเลไปมาจนท้องฟ้ามืดลง นางจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
ทว่าอวี๋ฝูหลิงเป็คนไม่อดกลั้น ั้แ่ตามอวี๋เจียวกลับมาถึงห้อง นางก็เอ่ยวาจาประณามท่านผู้เฒ่าด้วยความโมโห อวี๋เจียวนั่งอ่านตำราอยู่ใต้แสงไฟตรงขอบเตียงอย่างเงียบเชียบ มีบางคราก็ส่งเสียงขานรับนางบ้าง
อวี๋ฝูหลิงเห็นนางมีท่าทีสงบเช่นนี้พลันวางเข็มกับด้ายลง จากนั้นเดินมาดึงตำราออกจากมือนางอย่างอดไม่ได้ “อวี๋เจียว เ้าไม่โมโหหรือ? เ้ากับน้องเล็กกลายเป็พี่น้องกันแล้ว เหตุใดเ้ายังอ่านตำราได้อยู่อีก?”
อวี๋เจียวเงยหน้ามองท่าทางโมโหจนเสียกิริยาของนาง หลังหัวเราะออกมาจึงหรี่ตาเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าควรทำอย่างไรเล่าเ้าคะ? หรือให้ข้าไปห้องพี่ห้าแล้วเข้าหอกับเขาเสียตอนนี้เลยดีหรือไม่?”
นางเพียงพูดจาหยอกเย้า แต่อวี๋ฝูหลิงกลับคิดจริงจัง ดวงตาพลันทอประกาย ดึงชายแขนเสื้อของอวี๋เจียวแล้วกล่าวว่า “เป็ความคิดที่ดี! แต่ไม่รู้ว่าร่างกายของน้องเล็กจะเข้าหอได้หรือไม่ ถ้าพวกเ้าสองคนเป็สามีภรรยากันอย่างแท้จริง ท่านปู่ย่อมไม่อาจทำเื่ขัดศีลธรรมเช่นนี้”
อวี๋เจียวเอื้อมมือไปคว้าตำราคืนมาจากมือของอวี๋ฝูหลิง หัวเราะพลางเอานิ้วจิ้มศีรษะนางเบาๆ “พี่ห้าเพิ่งจะอายุเท่าใดกันเ้าคะ? หากข้ามีอะไรกับเขาจริงๆ ข้าคงต้องประณามมโนธรรมของตนเป็แน่”
อวี๋ฉี่เจ๋อยังไม่บรรลุนิติภาวะ หากนางเกิดความคิดชั่วช้าเช่นนั้นจริงๆ ไม่เท่ากับเลวเสียยิ่งกว่าเดรัจฉานหรือ
คล้ายอวี๋ฝูหลิงจะเข้าใจความหมายของอวี๋เจียว นางอธิบายราวกับควรเป็เช่นนั้นจริงๆ “หลังจากผ่านวันเกิดในเดือนสอง ถือได้ว่าฉี่เจ๋ออายุสิบหกแล้ว คนที่แต่งงานตอนอายุเท่าเขามีถมเถไป”
ในสายตาของอวี๋เจียว บุรุษผู้หนึ่งที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบ ยังไม่มีความคิดสามมุมมอง [1] และความเป็ผู้ใหญ่ นับว่าเป็เพียงหนุ่มน้อยเท่านั้น
นางไม่คิดจะสาธยายเื่เหล่านี้กับอวี๋ฝูหลิง ทำเพียงพลิกหน้าตำราแล้วก้มหน้าอ่านต่อไป ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจว่า “เป็พี่น้องก็ดีเหมือนกัน ต่อไปนี้ข้าก็คือคนที่อายุน้อยที่สุดในครอบครัวรอง ผู้ที่เป็พี่สาวเช่นท่านก็อย่าได้รังแกข้าอีกเล่า”
อวี๋ฝูหลิงมองอวี๋เจียวด้วยสีหน้าจนปัญญา ครั้นหวนนึกว่าอวี๋ฉี่เจ๋อก็ไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจออกมาเช่นกัน นางกลับเป็คนที่ทุกข์ใจเสียเองจึงะโใส่อวี๋เจียวด้วยความไม่พอใจเช่นเดิมว่า “น้องสะใภ้ๆๆ! ข้าไม่อยากเรียกเ้าว่าน้องสาว”
อวี๋เจียวหัวเราะกับท่าทางน่ารักไร้เดียงสาของนาง เอ่ยเสียงเบาว่า “แล้วแต่ท่านเถิดเ้าค่ะ จะเรียกอะไร เพียงท่านพอใจก็พอ”
……..
เชิงอรรถ
[1] ความคิดสามมุมมองคือ มุมมองต่อโลก มุมมองต่อชีวิต และมุมมองต่อคุณค่า
