เมื่อเห็นเย่เฟิงไม่ไว้หน้าหลินเต๋อเทียน หลินซือฉิงที่อยู่ด้านข้างก็มีท่าทีสงสัย เธอดึงแขนหลินเต๋อเทียน “พ่อคะ งั้นเราโทรหาลุงสามดีไหมคะ?”
หญิงสาวเข้าใจเย่เฟิงดี เข้าใจยิ่งกว่าเธอเข้าใจตัวเองเสียอีก เมื่อเจอเื่เช่นนี้ เป็ไปไม่ได้แน่นอนที่เย่เฟิงจะยอม เธอเงยหน้ามองเย่เฟิงและเห็นว่าเย่เฟิงก็หันมามองพอดี สองสายตาประสานกัน ดวงตาของเย่เฟิงเต็มไปด้วยรอยยิ้มและคำขอโทษ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่้าให้หลินซือฉิงอึดอัด แต่การกระทำของหลินเหรินเทียนทำให้เขาต้องใช้วิธีนี้
ไม่ใช่เพียงเพราะสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของหลินเหรินเทียนก่อนหน้านี้ แต่ยังเป็เพราะเย่เฟิง้าใช้โอกาสนี้โค่นอำนาจของผู้มีอำนาจตำแหน่งสูงอื่นๆ ในเมืองเยี่ยนจิงด้วยเช่นกัน
คนอย่างหลินเหรินเทียนหรือเฉินเทียนเจียวมีอยู่มากมายทั่วเมืองเยี่ยนจิง และตอนนี้สาวงามรอบตัวเย่เฟิงก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ หากตนไม่มีกำลังยับยั้งมันได้ เดาได้เลยว่าพวกเธอจะต้องเจอปัญหามากมายเมื่อต้องออกไปข้างนอกแน่นอน มันจะดีกว่าถ้าเย่เฟิงใช้โอกาสนี้สร้างบารมีให้ตนเอง ให้ทั่วทั้งเมืองเยี่ยนจิงรับรู้ว่าผลลัพธ์จะเป็อย่างไรหากยั่วยุเย่เฟิง!
แม้จะเป็คนจากตระกูลหลินหรือประธานศาลเมืองเยี่ยนจิงอย่างหลินเหรินเทียนก็ยังถูกบังคับให้คุกเข่าขอโทษเย่เฟิง คนอื่นๆ ที่คิดจะหาเื่เย่เฟิงก็ต้องชั่งน้ำหนักก่อนว่าคุ้มค่าพอที่จะกระทำหรือไม่
เดิมอิทธิพลของเย่เฟิงสูงขึ้นอย่างฉับพลันก็เป็การคุยโอ้อวดพักหนึ่งเท่านั้น แต่ตอนนี้เย่เฟิง้าให้คนพวกนั้นได้รู้ว่า เขาไม่ใช่คนที่ดีแต่ปากข่มขู่ผู้อื่น แต่เป็เพราะเขาแข็งแกร่งต่างหาก
“ลุงหลิน พี่หลินนั่งก่อนเถอะ”
เย่เฟิงไม่้าทำให้พวกเขาลำบากใจมากเกินไป นอกจากนี้ยังมีเื่ของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติที่ทั้งสองคนช่วยเหลือเขาไว้ บุญคุณนี้เขาไม่ลืมแน่นอน
“นั่งลงเถอะ พ่อจะโทรหาเหรินเทียน”
หลินเต๋อเทียนพยักหน้าให้ลูกสาว พยักพเยิดให้เธอไปนั่งกับเย่เฟิง เพื่อสร้างความสัมพันธ์
หลินซือฉิงมองโดยรอบก่อนพบว่าไม่มีคนอื่นอยู่เลย มีเพียงเย่เฟิงและสองสาวที่นั่งอยู่บนโซฟา นั่นก็คือหลงหว่านเอ๋อร์และจื่อเจี้ยนหลาน แต่หลินซือฉิงไม่อาจเข้าไปนั่งแทรกได้ จึงหยิบกระเป๋าและลุกขึ้นเดินอย่างสง่างามไปนั่งข้างเย่เฟิง หลังจากนั่งลงแล้ว เธอก็หันไปมองหลินเต๋อเทียนและพบว่าเขาวางสายแล้ว
“รอเหรินเทียนสักครู่ เดี๋ยวเขาก็มาแล้ว”
หลินเต๋อเทียนยิ้มอย่างใจเย็นขณะนั่งลง เขาไม่คาดคิดว่าเมื่อตนบอกให้หลินเหรินเทียนมาที่นี่ อีกฝ่ายจะตอบตกลงทันที
ชายวัยกลางคนครุ่นคิดพักหนึ่งก่อนถาม “เย่เฟิง ลุงหลินต้องเตือนนายสักครั้ง สองเดือนหลังจากนี้นายต้องสัญญาว่าจะส่งคืนอุปกรณ์ของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติทั้งหมด...”
“วางใจได้ครับ ผมคิดจะคืนอยู่แล้ว”
เย่เฟิงยิ้ม นี่ไม่ได้ใช้จุดวาร์ปเหรอ? เพราะอีกฝ่ายสามารถมารับของได้ทุกเมื่อ แต่อีกฝ่ายกลับบอกว่าสองเดือนหลังจากนี้ถึงจะขอคืน
เขาตรวจสอบหลินเหรินเทียนอย่างระมัดระวังสักพักและเห็นอะไรบางอย่างในดวงตาของอีกฝ่าย หลินเหรินเทียนกล่าวเช่นนี้ย่อมไม่ใช่ไร้เหตุผล เขาเตือนเย่เฟิงอย่างกำกวม หากไม่ใช่เพราะเื่เย่เฟิงในตอนนี้สำคัญอย่างยิ่ง เื่ของหลินเหรินเทียนคงโดนคนจากสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติเข้ามาแทรกแซงการตรวจสอบไปนานแล้ว
แน่นอนเย่เฟิงรู้เื่นี้อยู่ในใจ เขาไม่จำเป็ต้องกลัวการคุกคามจากหลินเหรินเทียน ชายหนุ่มไม่เชื่อที่สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติบอกว่าหลินเหรินเทียนสำคัญกว่าเทคโนโลยีการส่งผ่านอากาศ...
ทั้งสองฝ่ายต่างไร้การพูดคุย หลังจากนั้นไม่นานหลินเต๋อเทียนก็เหลือบมองเวลา และคิดว่าหลินเหรินเทียนควรจะมาถึงได้แล้ว คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย ตอนนี้ทั้งเมืองเยี่ยนจิงกำลังให้ความสนใจกับเื่นี้ ไม่รู้ว่าหลังจากหลินเหรินเทียนมาแล้วจะเกิดข้อขัดแย้งแบบไหนเมื่อเผชิญหน้ากับเย่เฟิง หลินเหรินเทียนเป็น้องชายของเขา หลินเต๋อเทียนรู้จักอีกฝ่ายเป็อย่างดี การให้อีกฝ่ายขอโทษเย่เฟิงคงเป็เื่ยากเกินไป เวลานี้เขาไม่รู้จะทำเช่นไร หลินเต๋อเทียนต้องเป็คนกลางระหว่างหลินเหรินเทียนและเย่เฟิง จำเป็ต้องไปทักทายเย่เวิ่นเทียน เพื่อแก้ไขความขัดแย้งนี้อย่างสันติ
ผู้มีอิทธิพลระดับสูงทั้งเมืองเยี่ยนจิงกำลังให้ความสนใจเื่นี้รวมถึงตระกูลใหญ่อื่นๆ ยกเว้นตระกูลหลิน ใครจะเป็ผู้ชนะในการเผชิญหน้าระหว่างหลินเหรินเทียนและเย่เฟิง เป็เื่สำคัญมาก หากหลินเหรินเทียนชนะก็ไม่จำเป็ต้องพูดอะไรเพราะเป็ไปตามที่ทุกคนคาดไว้ั้แ่แรก แต่หากเย่เฟิงชนะก็หมายความว่าหลังจากนี้เมืองเยี่ยนจิงจะปรากฏบุคคลที่ไม่อาจล่วงเกิน!
ทุกคนต่างหันไปจ้องด้านข้าง เมื่อหลินเหรินเทียนนั่งรถของกองทัพเข้ามาวิลล่าชิงเฟิง ด้านนอกมีจำนวนคนไม่น้อยที่รอสอบถาม เมื่อเห็นว่าหลินเหรินเทียนซึ่งได้รับพิษรุนแรงแต่ยังมาที่นี่ด้วยตัวเอง พวกเขาก็ลอบประเมินว่าเย่เฟิงเก่งกาจขนาดนี้เลยหรือ? ั้แ่หลินเหรินเทียนมาด้วยตัวเอง เขาก็แพ้ในสนามนี้แล้ว
เมื่อหลินเหรินเทียนลงจากโดยมีหลินซิวเหวินประคอง คนตระกูลหลินโดยรอบก็เข้ามาล้อมทันที มองเพียงแวบเดียว สภาพของหลินเหรินเทียนในตอนนี้ก็ทำให้สีหน้าพวกเขามืดครึ้ม จากท่าทางยามปกติที่ดูสุขุมเช่นชายชาตรี แต่เวลานี้เมื่อถอดแว่นออก ใบหน้าของเขาก็มีรอยจ้ำสีม่วง ท่าทางเหมือนคนไร้ชีวิต
พิษใจสลายเริ่มกระจายไปทั่วร่างกายของเขาแล้ว!
ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็สีม่วงสลับแดง ทั้งยังขาวซีด ทั้งใบหน้าหมองคล้ำราวถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอก คล้ายกับว่าพิษแทรกซึมไปมากแล้ว ไม่มีใครคิดว่าหลินเหรินเทียนไร้วิธีถอนพิษ นอกจากนี้ดูเหมือนพิษชนิดนี้จะร้ายแรงมาก!
มือและเท้าของหลินเหรินเทียนสั่นเล็กน้อยภายใต้การช่วยเหลือของลูกชายอย่างหลินซิวเหวิน มุ่งหน้าไปที่คฤหาสน์ด้วยแววตาไม่ยินยอมนัก เขาเข้าใจดี ตนเป็คนของตระกูลหลิน ชื่อเสียงในเมืองเยี่ยนจิงต้องตกต่ำลงแน่นอน กลับกันเย่เฟิงจะเดินทางสู่ความสำเร็จจนกลายเป็มีชื่อเสียงขึ้นมา เขาไม่เต็มใจอย่างยิ่ง แต่ไม่มีหนทางอื่นแล้ว เพราะคนในโรงพยาบาลในเขตทหารต่างแนะนำให้เขารีบมาหาเย่เฟิง มิเช่นนั้นก็ยากที่จะมีชีวิตต่อไปได้ เมื่อเทียบกับชีวิต ชื่อเสียงก็ไม่มีค่าอะไรเลย ด้วยวัยของเขา หลินเหรินเทียนเข้าใจดีว่าหากยังมีชีวิต ตนก็ยังมีความหวัง
“ลุงสามของตระกูลหลินมาพบคนรุ่นเยาว์ด้วยตัวเอง ทำเอาผมประหลาดใจจริงๆ”
ครั้งนี้เย่เฟิงลุกขึ้นเดินออกไปพร้อมหลินเต๋อเทียนและหลินซือฉิง เมื่อออกจากห้องโถง ก็มองผู้มาใหม่ด้วยรอยยิ้มเลือนรางขณะค่อยๆ เดินเข้าไปหา
ผู้ชายร้ายกาจคนนี้พร้อมจะขอโทษหรือพร้อมจะสร้างปัญหากันแน่?
“ฉันขอโทษ—”
หลินเหรินเทียนกัดฟันพูด เค้นเสียงออกมาสามคำ
เขาเงยหน้าขึ้น ใบหน้าดูมีสีสันภายใต้แสงจันทร์สว่างไสว มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่ส่องประกายขึ้นมา หลังจากเขารักษาชีวิตตัวเองไว้ได้ ค่อยรอเวลาจัดการเย่เฟิง!
น่าเสียดายที่เย่เฟิงไม่ยอมให้โอกาสนี้แก่เขาแน่นอน
พรึ่บ!
ทันทีที่เย่เฟิงยกมือขึ้น เข็มยาวหลายเล่มก็ถูกส่งออกไป และพุ่งไปยังร่างของหลินเหรินเทียนหลายจุดทันที
“พิษใจสลายของแกถูกถอนแล้ว แต่ยังเหลือตกค้างในร่างกายเล็กน้อย” เย่เฟิงกระซิบ “แกจะไม่ตายเร็วขนาดนั้นหรอก แต่ชีวิตหลังจากนี้ของแกอยู่ในกำมือฉัน หวังว่าต่อจากนี้แกจะไม่มาวุ่นวายกับฉัน ถ้าแกยังสร้างปัญหาให้ฉันอีก ฉันก็คร้านจะคอยทะเลาะกับแกแล้วล่ะ...”
เปรี้ยง!
บทสนทนาสั้นๆ ระหว่างทั้งคู่เปรียบดั่งลมพายุฝน ในเวลานั้นทุกคนรอบข้างรวมถึงหลินเต๋อเทียนต่างก็เงียบเสียง