ในเรือนท้ายจวนซินเยว่กำลังช่วยมารดา เปลี่ยนแปลงใบหน้าที่งดงามด้วยเครื่องประทินโฉมให้ดูซูบซีด ประหนึ่งคนป่วยที่มีอาการหนัก หากใครเห็นนางยามนี้คงคิดว่าอาจมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานก็เป็ได้
“เสร็จแล้วเ้าค่ะ ท่านแม่ลองดูตนเองในกระจกสิเ้าคะ” เพื่อให้เป็ไปตามแผนการ ซินเยว่จึงต้องเปลี่ยนใบหน้าของมารดา ให้ดูซูบผอมซีดเซียวไร้สีเื
“อืม ถ้าแม่ไม่เห็นใบหน้าของตนเองก่อน แม่คงคิดว่าตนเองนั้นป่วยหนักจนมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงครึ่งปีแน่ ๆ ลูกสาวของแม่ช่างเก่งกาจยิ่งนัก” ลี่หลินส่องดูใบหน้าในกระจก ก่อนจะหันมาเอ่ยชมบุตรสาวที่น่ารักของนางพร้องลูบศีรษะอย่างเบามือ
“นายหญิง คุณหนูเ้าคะ ตอนนี้นายท่านอยู่ที่ห้องหนังสือเ้าค่ะ” เสี่ยวหลานเดินเข้ามารายงานตามคำสั่งของซินเยว่ แต่เมื่อมารดาของนางหันหน้ากลับมาเท่านั้นแหละ
“นะ นะ นายหญิงของบ่าว ฮือ ๆ ๆ ท่านเป็อะไรไปเ้าคะ เมื่อวานยังดูสดใสแข็งแรงอยู่เลย ทำไมวันนี้ถึงได้เจ็บป่วยอาการหนักเช่นนี้ ถ้านายหญิงเป็อะไรไปบ่าวกับคุณหนู จะอยู่เพียงลำพังได้อย่างไรเ้าคะ ฮือ ๆ ๆ”
ซินเยว่นั่งเท้าคางมองเสี่ยวหลาน ที่ตอนนี้ร้องไห้น้ำตาดั่งสายเื จนทำให้แป้งที่ทาไว้เป็คราบเลอะไปทั่วไหน้า ซินเยว่อยากจะหัวเราะแต่จำเป็ต้องกลั้นไว้แทน
“เสี่ยวหลานข้าไม่ได้เป็อะไรเสียหน่อย ทุกอย่างยังปกติดีเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่ที่เ้าอยู่ตอนนี้เป็เพราะฝีมือการแปลงโฉม ที่เยว่เอ๋อร์จะใช้ตัดขาดกับนายท่านต่างหากเล่า เ้าเล่นคิดไปถึงไหนแล้วน่ะ” ลี่หลินพูดพร้อมส่ายหน้าเบา ๆ
“นายหญิงพูดจริงนะเ้าคะ เฮ้อออ บ่าวใแทบแย่ แต่ฝีมือการแต่งหน้าของคุณหนูก็ยอดเยี่ยมมากเลยเ้าค่ะ ในแผ่นดินนี้คงไม่มีใครสามารถทำได้แบบคุณหนูแน่ ๆ ถือว่ามีหนึ่งไม่มีสองกระมัง” เสี่ยวหลานรีบปาดน้ำตาหันไปยกยอคุณหนูของตน ซินเยว่ได้แต่มองบนกับการเล่นใหญ่ของพี่เสี่ยวหลาน ที่สามารถปรับเปลี่ยนอารมณ์ได้รวดเร็วเสียจริง
“เยว่เอ๋อร์ เ้าอยู่รอแม่ที่เรือนกับเสี่ยวหลานนะ แม่จะไปขอเข้าพบนายท่านที่ห้องหนังสือ เพื่อจัดการเื่ราวให้จบพวกเราจะได้ออกไปจากจวนแห่งนี้เสียที” ลี่หลินไม่อยากให้เสิ่นิเหยียนได้เจอกับบุตรสาวของนางหรอกนะ
“ท่านแม่ท่านไม่ให้ข้าตามไปด้วยจริง ๆ หรือเ้าคะ ข้ากลัวว่าเขาจะทำร้ายท่าน” ซินเยว่พูดออกไปด้วยความเป็ห่วง
เื่เล็กเพียงเท่านี้ลี่หลินย่อมไม่ทำให้บุตรสาวผิดหวังแน่นอน “เ้าวางใจเถิดเยว่เอ๋อร์ เขาไม่มีทางทำร้ายแม่ไม่ได้แน่ ส่วนเ้าเสี่ยวหลานเก็บข้าวของทุกอย่างให้เรียบร้อย บางทีพวกเราอาจจะได้ออกจากจวนภายในวันนี้ก็เป็ได้”
“นายหญิงอย่าได้กังวลบ่าวจัดการเก็บเรียบร้อยแล้วเ้าค่ะ เพราะว่าเรือนของท่านมีข้าวของเยอะมาก จนใช้เวลาในการเก็บทั้งหมดเสร็จเพียงสองเค่อเลยเ้าค่ะ” เสี่ยวหลานรีบรำคับจากเ้านายสาว เพราะข้าวของที่เรือนท้ายจวนจะมีอันใดให้เก็บกัน
‘นั่นปะไรถ้าไม่ได้กวนอารมณ์ท่านแม่สงสัยจะกินข้าวไม่อร่อย’
“เวลาไม่เช้าแล้วข้าจะรีบไปรีบกลับ ขืนยังอยู่ตรงนี้คงจะมีคนโดนทุบเป็แน่” ลี่หลินพูดจบก็เดินออกจากเรือนไปทันที
ซูลี่หลินเดินมาถึงห้องข้างในเรือนของเสิ่นิเหยียน ที่ใช้เป็ห้องหนังสือและห้องทำงาน “ข้ามาขอเข้าพบนายท่าน รบกวนเ้าช่วยรายงานนายท่านให้ข้าที”
“อนุซูโปรดรอสักครู่ บ่าวจะเข้าไปรายงานให้นายท่านทราบก่อนขอรับ” ยังไม่ทันที่บ่าวคนนั้นจะก้าวเท้าไปรายงาน ก็มีเสียงจากข้างในห้องดังออกมาเสียก่อน
“ข้าได้ยินแล้วให้นางเข้ามาได้” เสิ่นิเหยียนคิดว่าเขาไม่ได้เจอซูลี่หลินมานาน จนเกือบจะลืมนางไปแล้วว่ามีนางอยู่ที่จวน แล้วนางมีธุระอันใดถึงได้มาขอพบข้ากัน
“คารวะนายท่านเ้าค่ะ”
“มีธุระอะไรก็รีบพูดมาข้ามีเวลาไม่มากหรอกนะ” เขาพูดจบก็เงยหน้ามองพิจารณาใบหน้าที่ดูซีดเซียวเหมือนคนไม่มีชีวิตชีวา หรือข้าจะละเลยนางมากเกินไปจนนางได้รับความลำบากตอนที่ข้าไม่อยู่
“ที่ข้ามาขอพบนายท่าน เพราะข้า้าให้ท่านเขียนหนังสือหย่าและตัดขาดให้ข้ากับเยว่เอ๋อร์ ในเมื่อหลายปีที่ผ่านมาท่านไม่เคยใส่ใจใยดีพวกเราสองคนแม่ลูก ไม่สู้ท่านเขียนหนังสือหย่าและตัดขาดยกเยว่เอ๋อร์ให้ข้า ๆ จะเป็คนดูแลนางเอง” ลี่หลินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่สนใจว่าสิ่งที่พูดไปจะทำให้เสิ่นิเหยียนมีสีหน้าเช่นไร
“นี่เ้ากำลังคิดจะทำอะไร!!” เขาคิดว่านางคงวางแผนเข้าหาโดยการใช้เื่ของบุตรสาวมาเป็ข้ออ้าง
“ข้าไม่เคยคิดที่จะทำอะไร เื่เดียวที่ข้าคิดคือการได้ออกไปจากที่โสมมแห่งนี้เท่านั้น” นางตอบกลับไปด้วยสีหน้านิ่งเฉย ไร้ความรู้สึกยินดียินร้ายกับท่าทางอันเดือดดาลของเสิ่นิเหยียน
“ซูลี่หลิน!! นี่เ้า!! ซินเยว่เป็บุตรสาวข้าและนางเป็คุณหนูใหญ่ของจวนตระกูลเสิ่น หากเ้าคิดจะไปต้องไปเพียงผู้เดียวส่วนซินเยว่นางต้องอยู่ที่นี่”
ลี่หลินได้ยินเช่นนั้นก็คิ้วกระตุกจึงตอบกลับไปด้วยความโมโห “เสิ่นิเหยียน!! เ้ากล้าพูดจาเช่นนั้นออกมาได้อย่างไรว่านางเป็บุตรสาวของเ้า ไอ้คนเฮงซวย!! ในฐานะพ่อของนางเ้าเคยทำอะไรเพื่อนางบ้าง ั้แ่เล็กจนโตเ้าเคยอุ้มนางสักครั้งไหม
เวลาเจ็บป่วยเ้าเคยมาเยี่ยมหรือถามไถ่อาการของนางบ้างหรือไม่ นางชอบสิ่งใดเกลียดสิ่งใดท่านเคยรู้สักเื่เกี่ยวกับนางงั้นรึ หึ ไม่เลยเ้าไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับคนที่เ้าบอกว่าเป็บุตรสาวของเ้า ช่างกล้าพูดออกมาได้ไม่รู้สึกละอายใจบ้างรึ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ทันความคิดของเ้าที่อยากจะเก็บนางเอาไว้ เพื่อรอให้เติบโตจนถึงวัยปักปิ่นหลังจากนั้นเ้าก็จะประเคนนางให้กับคนพวกนั้นเพื่ออำนาจของเ้า”
ลี่หลินพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวมองไปที่เสิ่นิเหยียนด้วยสายตาที่ดุดัน ‘เ้าพ่อสารเลวเห็นบุตรสาวเป็แค่หมากบนกระดานการเมือง เพียงเพราะคำว่า อำนาจ คำเดียวแท้ ๆ’ เมื่อเสิ่นิเหยียนได้ยินคำพูดที่ลี่หลินต่อว่า ก็เงื้อมื้อคิดจะตบไปที่ใบหน้าของลี่หลิน
“เด็กชายที่เมืองชายแดนอายุคงจะราว ๆ หกเจ็ดหนาวแล้วกระมัง” นางเอ่ยด้วยเสียงที่ไม่ดังและไม่เบาจนเกินไป
“จะ จะ เ้าพูดถึงเื่อะไร!”
“ข้าพูดถึงเื่อะไรงั้นหรือ ท่านรู้ดีอยู่แก่ใจถ้าฮูหยินสุดที่รักของท่านรู้เื่นี้เข้าจะเป็เช่นไรนะ ข้าว่าท่านรีบเขียนหนังสือตัดขาดให้ข้าเถิด รับรองว่าข้าจะเก็บเื่นี้ไว้เป็ความลับไม่บอกผู้ใด ท่านก็รู้นี่ว่าข้าเป็คนพูดคำไหนคำนั้น” นางพูดพร้อมยกยิ้มที่มุมปากอย่างคนเหนือกว่าในครั้งนี้
“เ้า!! ได้ข้าจะเขียนหนังสือตัดขาดให้แต่เ้าก็ต้องทำตามที่พูดด้วยเช่นกัน ข้าจะรอดูว่าพวกเ้าจะไปได้สักกี่น้ำ ดูจากสภาพของเ้าคงอยู่ได้อีกไม่นาน ไปไม่รอดก็อย่ากลับมาอ้อนวอนข้าก็แล้วกัน” เขาหยิบพู่กันเขียนหนังสือตัดขาดอย่างรวดเร็วพร้อมประทับตรา
“ท่านอย่าคิดเป็ห่วงเื่การใช้ชีวิตของพวกข้า ให้เปลืองสมองที่มีอยู่น้อยนิดของท่านจะดีกว่าเ้าค่ะ”
“รีบไสหัวของพวกเ้าออกจากจวนของข้าไปได้แล้ว!”
“ขอบคุณนะเ้าคะ ลาก่อน ลาขาด ลาจากชีวิตท่านตลอดกาล หวังว่าพวกเราคงไม่ได้พบกันอีก เชอะ” เมื่อได้รับหนังสือตัดขาดแล้วลี่หลินก็รีบเดินกลับไปเรือนท้ายจวนอย่างรวดเร็ว และวันนี้เป็วันที่นางมีความสุขมากที่สุด ั้แ่ก้าวเท้าเข้ามาอาศัยอยู่ในจวนแห่งนี้
