เหอตังกุยยกถ้วยชาใบที่สามให้เมิ่งเซวียนพลางเอ่ย “เมื่อไรจะได้ตัดกระดาษใต้แสงเทียนข้างหน้าต่างตะวันตกด้วยกัน” เมิ่งเซวียนรับถ้วยชา แววตาสับสนกะพริบปริบ ๆ ภายใต้ไอร้อนพวยพุ่ง
เมิ่งเซวียนมักคิดว่าสตรีผู้นี้แตกต่างกับคนอื่นแต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าต่างกันตรงไหน ทว่าเมื่อหวนคิดกลับพบว่าเด็กสาวผู้นี้มีบุคลิกเหมือนคนชั้นสูง นางเดินช้า แม้แต่ชายกระโปรงยังไม่ขยับ ท่าทางการพูดและการแสดงออกก็ผ่อนคลายเสมือนขุนนางติดต่อ “กิจการทางการทูต” หากนางไม่ได้เป็เช่นนี้ั้แ่เกิดก็หมายความว่านางต้องผ่านการฝึกฝนจริงจังเป็พิเศษ นอกจากองค์หญิงในราชวงศ์แล้ว สตรีธรรมดาตระกูลใดจะฝึกเช่นนี้กัน?
ตระกูลเมิ่งมีศักดิ์เป็ถึงตระกูลขุนนาง ฐานะทางสังคมก็ไม่ธรรมดา น้องสาวทั้งสามของเขาเรียนมารยาทจากมามาในวังหลวง เริ่มจากสอนให้ยิ้มไม่เห็นฟัน ขณะเดินห้ามเห็นเท้า แต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีใครสามารถนำมารยาทเหล่านี้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ เมื่ออยู่กับคนในครอบครัว ใครบ้างจะอดยิ้ม อดหัวเราะหรือห้ามไม่ให้วิ่งเมื่อมีความสุขได้เล่า?
เมื่อครู่เขาได้ยินเหล่าไท่ไท่เรียกนางว่า “ตังกุย” คุณหนูสามกวนอวินเรียกนางว่า “คุณหนูเหอ” เช่นนั้นสตรีเด็กนาม “เหอตังกุย” ผู้นี้เติบโตในสภาพแวดล้อมแบบใดกัน? นางต้องอาศัยในที่ของคนชั้นสูง เป็ที่ที่ผู้คนไม่สามารถพูดคุยหรือหัวเราะได้ตามใจชอบหลายปีเป็แน่ นางจึงมีท่าทางเหมือนคนชั้นสูงราวสิ่งเหล่านี้อยู่ในสายเื
“เสี่ยวอี้” เหล่าไท่ไท่ดื่มชาหมดถ้วยราวลืมสถานการณ์ปัจจุบันเสียสิ้น นางเอ่ยถามเหอตังกุยถึงชีวิตประจำวัน “ชวนสยงแม่ของเ้าเคยเรียนรู้ทักษะการชงชาจากซ่งซู่เหวินผู้ชำนาญซึ่งมีฉายาว่า ‘เสี่ยวลู่อวี้’ นางเรียนรู้ทักษะนี้จนเชี่ยวชาญการชงชา แต่ข้าคิดว่าฝีมือการชงชาของนางสู้เ้าไม่ได้ เ้าเรียนรู้ทักษะนี้มาจากแม่หรือไม่? เหตุใดจึงเก่งกว่านางยิ่งนัก?”
เหอตังกุยตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะกล้าเทียบท่านแม่ได้อย่างไรเ้าคะ? การชิมชาไม่มีอะไรมากไปกว่าสภาพจิตใจที่สงบสุข ตอนนี้ท่านยายสงบและผ่อนคลาย ชาจึงเต็มไปด้วยกลิ่นหอมตามธรรมชาติและเสน่ห์ที่หลงเหลืออย่างยาวนาน” สิ้นประโยค เหอตังกุยก็รินชาถ้วยที่สี่พลางเอ่ย “พูดถึงความอ้างว้างท่ามกลางสายฝนพรำในหุบเขาปาซาน” ก่อนยกถ้วยชาขึ้นดื่ม ขณะเดียวกันก็คิดในใจ ‘ท่านยาย มีบางสิ่งที่ท่านไม่รู้ อาจารย์สอนชงชาของแม่ข้าคือ “ซ่งซู่เหวิน” ผู้มีฉายา “เสี่ยวลู่อวี้” แต่อาจารย์ที่สอนทักษะการชงให้ข้าเมื่อชาติก่อนนั้นคือ “ไซ่ลู่อวี้” ผู้เป็บิดาของซ่งซู่เหวิน’
ยามนี้ไม่มีใครในห้องโถงสังเกตเห็นว่ามีชายสวมหน้ากากอีกคนซุ่มอยู่นอกหน้าต่างเหนือห้องโถง
หลังเหอตังกุยรินชาสี่ถ้วยเสร็จสิ้น สามถ้วยก่อนหน้าถูกจิบแล้วเว้นแต่ถ้วยชาของเกิ่งปิ่งซิ่ว กลิ่นหอมของชาอบอวลชัดเจนทั่วห้องโถง ทันใดนั้นก็มีเสียงลอยมาแต่ไกล...มันคือเสียงของกวนไป๋ “คุณชายต้วนกลับมาแล้ว ได้ความว่าอย่างไรบ้าง ทหารนอกจวนมาทำอันใดกันแน่?”
ต้วนเสี่ยวโหลวกล่าวตอบ “เข้าไปก่อนค่อยว่ากัน ทุกคนคงรอจนร้อนใจแล้วกระมัง”
ไม่นานก็ได้ยินเสียงกวนอวินร้องะโ “อ๊ะ พี่เสี่ยวโหลว มือของเ้าเืออก เกิดอะไรขึ้น? เ้าสู้กับทหารหรือ? ข้าจะไปจัดการให้เ้าเอง”
ทุกคนในห้องโถงต่างเงี่ยหูฟังด้วยความตั้งใจ ทันใดนั้นชายสวมหน้ากากก็วิ่งหนีไปทางประตูข้างพร้อมจับตัวเหล่าไท่ไท่ด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งก็จับตัวคุณหนูสาม ทุกคนในห้องโถงต่างกรีดร้องด้วยความใ หยางมามาพลันะโ “เหล่าไท่ไท่ คุณหนูสาม” ขณะเดียวกันหลัวไป๋อิ่งดีใจยิ่งนักที่คนชั่วช้าผู้นั้นจากไปเสียที ก่อนเอ่ยสั่งให้สาวใช้ไปตามหาสี่องครักษ์ของตระกูลหลัวมาที่นี่ หลัวไป๋ฉยงที่บอกว่ากระดูกหักเมื่อครู่จู่ ๆ ก็วิ่งไปยังห้องโถงด้านข้างอย่างรวดเร็วราวขาที่หักฟื้นตัวได้โดยไม่ต้องพึ่งยาพลันครุ่นคิด “ฮือ ๆ ๆ ที่ใดปลอดภัยที่สุด? ที่ใดไม่อันตราย? จริงสิ ซ่อนตัวในห้องสุขาของห้องโถงข้างดีกว่า ที่นั่นไม่มีใครแน่นอน”
เมิ่งเซวียนเห็นคนทั้งสองถูกลักพาตัวต่อหน้าต่อตา เขาเดือดดาลและเสียใจไม่น้อย แต่ทันใดนั้นกลับต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าขาทั้งสองอ่อนแรงเกินกว่าจะลุกยืนได้ นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เป็ยาแฝดหรือไม่? มันจะเป็ไปได้อย่างไร ด้วยกำลังภายในของตน ยาแฝดในใต้หล้านี้ไม่สามารถทำอะไรตนได้
เมื่อต้วนเสี่ยวโหลวได้ยินเสียงเอะอะโวยวายในห้องจึงรีบวิ่งเข้าไปทันที ก่อนเอ่ยถามเสียงดัง “เกิดอะไรขึ้น?” ขณะเดียวกันเขาก็พยายามมองหาใครบางคนอย่างสุดกำลัง ทว่าภายในห้องโถงนั้นวุ่นวายราวตลาดสด แม้จะมีคนตอบคำถามก็ได้ยินเพียงเสียงแตก ๆ ไม่กี่ประโยค “คุณหนูสาม...ดื่มชา...แล้ว”
ต้วนเสี่ยวโหลวได้ยินก็ตกตะลึงทันทีพลันค้นหาในห้องโถงต่อไป ก่อนเอ่ยถามจริงจัง “นางอยู่ที่ใด?” เมื่อมีคนชี้ประตูข้างของห้องโถง ต้วนเสี่ยวโหลวจึงใช้วิชาตัวเบาเหินไปยังประตูข้างทันที
คนที่อยู่ด้านข้างเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เ้าพูดอะไรกับต้วนซื่อจื่อ เหตุใดเขาจึงบ้าคลั่งเสมือนประทัดที่ถูกจุดเช่นนั้น?” สีหน้าเ้าของคำตอบเมื่อครู่ประหลาดใจมากกว่าเดิม “หา? เมื่อครู่ข้าเพียงบอกว่า ‘เหล่าไท่ไท่ขอให้คุณหนูสามชงชา เมื่อพวกนางดื่มไปเพียงครึ่งก็หยุดชะงัก’ ข้ายังไม่ทันบอกว่าที่พวกนางหยุดดื่มชาเป็เพราะ ‘ถูกคนร้ายจับตัว’ เหตุใดต้วนซื่อจื่อจึงวิ่งออกไปทั้งที่ยังฟังไม่จบ” คนที่สามถอนหายใจพลางเอ่ย “เหตุใดถึงเป็คนดีเช่นนี้”
ด้านนอกห้องโถงใหญ่ ต้วนเสี่ยวโหลวห้อตะบึงตามหาเหอตังกุยท่ามกลางความมืดอย่างรวดเร็ว แย่แล้ว เมื่อครู่เขาได้ยินว่าน้องเหอจะฆ่าตัวตายแต่ลืมถามว่านางจะฆ่าตัวตายด้วยวิธีใด จะะโทะเลสาบหรือบ่อน้ำ? หรือจะแขวนคอใต้ต้นไม้? มืดมิดเช่นนี้จะตามหานางเจอได้อย่างไร? ให้ตายเถอะ คิดไม่ถึงว่าเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน น้องเหอก็คิดจะฆ่าตัวตายเสียแล้ว
เขาแสร้งจำนางไม่ได้เพราะก่อนหน้านี้เขาขอให้อาจารย์เกิ่งเป็พ่อสื่อ หากคนอื่นรู้ว่าพวกเขาเคยพบกันในวัดสุ่ยซัง จากนั้นเขาผู้เป็ซื่อจื่อตระกูลขุนนางนำสินสอดมาสู่ขอสตรีนอกสมรสฐานะต่ำต้อยเช่นนางเป็ภรรยาถูกต้องตามกฎหมาย เช่นนั้นข่าวลือทุกประเภทอาจแพร่กระจายและทำลายชื่อเสียงของนางได้...มันถูกลิขิตไว้แล้ว ครั้งนี้เขาพยายามเต็มที่เพื่อแย่งชิงภารกิจจับตัวไป๋หยางไป่ในเมืองหยางโจวเพื่อจะได้พบนางอีกครา เมื่อต้วนเสี่ยวโหลวได้ยินว่าตระกูลกวนและตระกูลหลัวเป็สหายกันรุ่นสู่รุ่น จึงขอให้กวนไป๋พาเขาไปงานเลี้ยงจวนตระกูลหลัว คิดไม่ถึงว่านางจะฆ่าตัวตายเพราะเขาจำนางไม่ได้
น้องเหอ...เ้ารู้หรือไม่ว่าขณะอยู่ในเมืองหลวงข้าคิดถึงเ้ามากเพียงใด ข้าไม่อาจรอ “ข้อตกลงครึ่งปี” ของเราได้ สิ่งแรกที่ข้าคิดถึงหลังตื่นนอนทุกครั้งก็คือเ้า แม้ตอนดื่มเหล้า ใบหน้าของเ้าก็ลอยขึ้นมาในใจข้า เ้าถือถ้วยชาอยู่ข้างข้า ยิ้มให้ข้าตอนข้าอ่านหนังสือยามเที่ยงคืน แต่เมื่อข้าหลับตากลับเห็นเ้านั่งเกี้ยวดอกไม้สีแดงของผู้อื่น...ยามฝันก็เห็นเ้าโบกมือให้แล้วกล่าวว่า “คุณชายต้วน ท่านไม่ใช่คนรักของข้า ข้าขอให้ท่านได้พบสตรีที่คู่ควรในเร็ววัน”
ในความฝันนั้นข้าร้อนใจจนเหงื่อแตกพลั่กแต่กลับพูดอันใดไม่ออก หลังตื่นนอนก็พบว่ากริชสลักรูปของเ้าประทับรอยแดงที่หน้าอกของข้า เมื่อข้าจ้องภาพขนาดเล็กเท่าเหรียญทองแดงก็คิดถึงเ้าซึ่งอยู่ห่างไกลถึงเมืองหยางโจว... น้องเหอ เหตุใดเ้าถึงอยากฆ่าตัวตาย? เหตุใดเ้าไม่รอข้า? น้องเหอ...โปรดรอข้าด้วย ข้ากำลังไปหาเ้า ต่อจากนี้ไป...พวกเราจะไม่แยกจากกันอีกแล้ว
......
อีกด้านหนึ่ง น้องเหอของต้วนเสี่ยวโหลวยังมีชีวิตอยู่ ทั้งยังเอ่ยเจรจากับชายสวมหน้ากากด้วยรอยยิ้ม “ท่านจอมยุทธ์ ยายของข้าหนักหนึ่งร้อยจิน[1] ขาแข้งก็เดินเหินไม่ค่อยสะดวก ท่านแบกูเาลูกใหญ่ห้อตะบึงไปเช่นนี้จะไม่เปลืองแรงหรือ แม้ฐานะของนางจะสูงส่ง แต่ท่ามกลางความมืดมิดและความชุลมุนเช่นนี้จะมีใครจำได้ว่านางคือเหล่าไท่จวินหลัวหรือหลัวมามาที่ทำหน้าที่เทอุจจาระ? ท่านทิ้งนางไว้ตรงนี้เถิด พวกเราสองคนจะได้วิ่งเร็วขึ้นอีกหน่อย”
เกิ่งปิ่งซิ่วจ้องมองสาวน้อยใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนดอกไม้ผลิโดยไม่เอ่ยตอบ ตอนนี้นางถูกลักพาตัว เพียงตนลงมือเบา ๆ ก็สามารถทำให้นางตายได้ เหตุใดนางจึงไม่หวาดกลัวสักนิด นางมีใครอยู่เื้ัหรือ เหตุใดจึงกล้าต่อรองกับตนเช่นนี้?
“ท่านดูสิ ยายของข้านอนเหมือนหมูตาย” เหอตังกุยชี้เหล่าไท่ไท่ที่นอนบนพื้น แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยถูก “อุ้ม” แล้วห้อตะบึงเช่นนี้จึงใจนเป็ลม เหอตังกุยส่ายหัวพลางถอนหายใจ “ได้ยินว่าหมูที่ตายแล้วเป็สิ่งที่หนักที่สุดในโลก มีน้ำหนักเหมือนูเาไท่ซาน ข้าได้ยินลมหายใจของท่านจอมยุทธ์ผิดปกติ คล้ายท่านจะได้รับาเ็ภายใน แล้วเหตุใดต้องแบกของเช่นนี้วิ่งไปทั่วด้วยเล่า?”
เกิ่งปิ่งซิ่วจ้องเหอตังกุย “อะไรกัน เ้ารู้ด้วยหรือว่าข้าาเ็ภายใน รู้ได้อย่างไร? หรือเ้ามีวรยุทธ์”
เหอตังกุยมัดผ้าเช็ดหน้าเป็ปมเล็กสิบปมด้วยสองมือ ก่อนก้มหัวเอ่ยด้วยเสียงแ่เบา “ท่านลุงจอมยุทธ์ ข้าดูเหมือนคนฝึกวรยุทธ์หรือ? ท่านลุงช่างตลกเสียจริง เอาล่ะ อย่าพูดพล่ามไร้สาระอีกเลย พวกเรารีบไปกันเถอะ อีกประเดี๋ยวพวกทหารก็น่าจะไล่ตามมาแล้ว พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็ยอดฝีมืออันดับหนึ่งทั้งนั้น” ขณะพูดก็ดึงแขนเกิ่งปิ่งซิ่ววิ่งเข้าสวนดอกไม้อันมืดมิด เกิ่งปิ่งซิ่วมองเหล่าไท่ไท่ที่นอนสลบบนพื้นด้วยความลังเล ในที่สุดก็ตัดสินใจทิ้งเหล่าไท่ไท่พลันวิ่งหนีไปกับหลานสาวของนางแทน
เหอตังกุยดีใจที่ชายสวมหน้ากากตัดสินใจทิ้งเหล่าไท่ไท่ หลังต้วนเสี่ยวโหลวและผานจิ่งหยางไล่ตามมาก็เข้าช่วยเหลือนางทันที นับว่าเหล่าไท่ไท่โชคดียิ่งนัก หากตัวประกันเหลือเพียงนางคนเดียว เื่ต่าง ๆ ก็จะจัดการได้ง่ายขึ้น แม้ชายสวมหน้ากากจะมีวรยุทธ์ร้ายกาจ แต่เมื่อเข้าใกล้ก็รู้ว่าเขาาเ็หนักทั้งภายในและภายนอก ลมหายใจอ่อนแอและผิดปกติ ขาของเขาก็เริ่มมีเืไหลหลังวิ่งได้สักพัก น่าแปลกจริง ๆ สำหรับผู้ฝึกวรยุทธ์ ขั้นตอนแรกของการฝึกคือฝึกส่วนล่างั้แ่เอวจนถึงเท้า ไม่ต้องพูดถึงยอดฝีมือสูงส่งเช่นเขา จะมีใครทำร้ายขาทั้งสองของเขาจนาเ็เช่นนี้ได้? หรือ...คนที่โจมตีเขาจะมีรูปร่างเตี้ยกว่า
“นี่ เ้ามองอะไร?” ขณะวิ่งห้อตะบึงเกิ่งปิ่งซิ่วก็คว้าคอเสื้อด้านหลังของเหอตังกุยพลางเอ่ยข่มขู่ “นำทางข้าไปที่ “ทางลับ” ของตระกูลหลัวเดี๋ยวนี้ หากเ้ากล้าเล่นลูกไม้ ข้าจะควักลูกตาทั้งสองของเ้าเสีย” ตราบใดที่เขาเห็นดวงตาชาญฉลาดของนางก็พลันรู้สึกว่านางวางแผนการชั่วร้ายเพื่อทำร้ายเขาตลอดเวลา
“จะควักลูกตาเพื่ออะไร?” เหอตังกุยจับแขนชายสวมหน้ากากแน่นพลางพูดอย่างไม่ใส่ใจ “หากท่านลุงควักลูกตาของข้า แล้วใครจะนำทางท่าน หากท่านดึงลิ้นข้า ใครจะตอบคำถามท่าน อืม...เฉือนหูข้าน่าจะดีกว่ากระมัง แม้ไม่มีใบหูแต่ก็ยังได้ยินเสียง ท่านมีกริชใช่หรือไม่? เอาออกมาสิ”
ไม่เคยมีใครกล้าดูถูกวิธีการทรมานของเขาเช่นนี้ เกิ่งปิ่งซิ่วเดือดดาลยิ่งนัก ก่อนเอ่ย “ฮึ ในฐานะจอมยุทธ์ ข้ามีร้อยวิธีที่จะทำให้เ้าร้องขอความตาย แม้เ้าจะกล้าหาญและมีความรู้แต่ก็ไม่เคยเห็นวิธีการทรมาน ของข้า รีบขอร้องข้าเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นข้าจะทำให้เ้ารู้ซึ้งถึงความรู้สึกของ ‘การกลิ้งบนกระดานที่เต็มไปด้วยตะปู’ ”
“กลิ้งบนกระดานที่เต็มไปด้วยตะปูหรือ?” เหอตังกุยถามขณะวิ่ง “ต้องใช้ไม้กระดานที่มีตะปูเป็สนิม แต่ตอนนี้ท่านลุงไม่มีอะไรติดตัวไม่ใช่หรือ?” เหอตังกุยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบโต้พลันเอ่ยด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง “การกลิ้งบนกระดานที่เต็มไปด้วยตะปูนั้นเป็วิธีที่ขุนนางใช้ทรมานนักโทษให้สารภาพผิด หรือท่านเป็ขุนนางในราชสำนัก? โอ้ เสียมารยาทกับท่านแล้ว”
เกิ่งปิ่งซิ่วประหลาดใจจนสะดุดเกือบจะล้มลง มือเล็กคู่นั้นรีบประคองเขาด้วยความหวังดี พร้อมเอ่ยถามด้วยความห่วงใย “ท่านลุงไม่เป็อันใดใช่หรือไม่เ้าคะ สวมหน้ากากเช่นนี้มองทางสะดวกหรือเ้าคะ? ให้ข้าช่วยท่านถอดดีกว่า”
ช่วยตนถอดหน้ากากหรือ? เกิ่งปิ่งซิ่วตวาดกร้าวด้วยน้ำเสียงดุดัน “ฮึ ข้าไม่้าความช่วยเหลือจากเ้า เมื่อถึงเวลาข้าจะถอดเอง หากหน้ากากถูกถอดเมื่อไร ความตายของเ้าก็มาเยือนเมื่อนั้น”
“อ๊ะ ข้ากลัวยิ่งนัก” เหอตังกุยตบอกพลางพูด “เหตุใดท่านลุงไม่เดินเองเล่า? ให้ข้าลากท่านตลอดทางเช่นนี้ ท่านลุงหนักเสียยิ่งกว่าคันไถหลายเท่า เด็กตัวเล็กเช่นข้าไม่อาจพยุงท่านได้ ขออภัยที่ต้องปล่อยมือเ้าค่ะ”
“ตุบ” เกิ่งปิ่งซิ่วล้มกองกับพื้นทันที ร่างทั้งร่างไร้เรี่ยวแรงลุกขึ้น แม้แต่แรงจะนั่งก็ยังไม่มี เขาพลันตะคอกด้วยความหวาดกลัว “เ้าทำอะไรข้า?”
“ชู่....” เหอตังกุยยกนิ้วชี้เรียวยาวแตะริมฝีปากของนาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนทว่าแฝงอันตราย “ท่านลุง เบาเสียงหน่อยเ้าค่ะ หากทหารตามมาจะทำอย่างไรเ้าคะ?”
----------------------------------------
[1] 100 จิน เท่ากับ 50 กิโลกรัมโดยประมาณ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้