ภาพเงาร่างของเหนียนยวี่ผุดขึ้นมาในหัวของจ้าวเยี่ยน ทุกสายตา ทุกรอยยิ้มที่นางมอบให้ผู้อื่นความเฉยชาห่างเหินที่ทำกับเขาฉายขึ้นมาในหัว ดวงตาของจ้าวเยี่ยนพลันหดรัด
แม้เขาจะค้นพบว่าตัวเองเป็ฝ่ายเสียเปรียบ ทว่าเขาไม่อยากให้นางจากไปเช่นนี้
แม้หญิงสาวผู้นั้นจะมองข้ามเขาอย่างไร ทว่าเขาเองก็ยังมิได้พิชิตใจนาง ทั้งยังไม่ได้ทำให้นางเห็นตนเองขึ้นไปนั่งบนตำแหน่งนั้นเขาจะยอมให้นางจากไปเช่นนี้ได้อย่างไร!
“ได้ยินว่าจื๋อหร่านเองก็ถูกขังอยู่ในค่ายเสินเช่อเช่นกัน”
จ้าวเยี่ยนระงับอารมณ์ไว้ในใจฉับพลันนั้นจ้าวอี้เอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าฉายแววกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ ยวี่เอ๋อร์เป็ลูกพี่ลูกน้องของเขา จื๋อหร่านเป็เพื่อนสนิทของเขาและทั้งคู่ต่างโดดเด่นมิเหมือนผู้ใดหากว่าโรคระบาดครานี้พรากชีวิตคนทั้งสองไป สำหรับเขาไม่ว่าอย่างไรคงมิอาจทำใจยอมรับได้!
"ฉู่ชิงหรือ?"
ครั้นจ้าวเยี่ยนััถึงอะไรบางอย่างได้ อารมณ์ที่ฉายชัดในดวงตาพลันแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ในหัวเขาฉุกคิดเื่วันนั้นที่สวนเซียนหลานภาพแผ่นหลังของฉู่ชิงกับเหนียนยวี่เดินเคียงข้างออกไปด้วยกันทั้งยังหวนคิดถึงเื่ที่นางกับฉู่ชิงอยู่ด้วยกันในสวนร้อยสัตว์ทั้งคืนความคิดคาดเดาค่อยๆ ก่อตัวเป็รูปเป็ร่างขึ้นในใจจ้าวเยี่ยน
เหนียนยวี่ออกจากเมือง เื่นี้เกี่ยวข้องกับฉู่ชิงหรือไม่?
หากเกี่ยวข้องกัน เกรงว่าเหนียนยวี่ในยามนี้คงจะอยู่ในค่ายเสินเช่อเรียบร้อยแล้ว!
ค่ายเสินเช่อ...
จ้าวเยี่ยนขมวดคิ้ว ปัดทิ้งความวิตกกังวลไม่สบายใจที่มีเมื่อครู่นี้ทันทีความเ็าฉายในดวงตาของเขาและจางหายไปอย่างรวดเร็วเร็วเสียจนมิมีผู้ใดสามารถสังเกตได้
"อี้เอ๋อร์ พวกเราแยกกันไปหาดีกว่า" จ้าวเยี่ยนเอ่ยปาก รู้สึกใจเย็นขึ้นอย่างมากเขาหันหลังกลับไปหยิบฉินขึ้นมา กลับขึ้นรถม้าที่จอดอยู่ด้านข้างและจากไป
จ้าวอี้ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เฝ้ามองรถม้าลับหายไปในสายตามิรู้เพราะเหตุใด เขาถึงได้รู้สึกว่าชั่ววินาทีเมื่อครู่นี้เสด็จพี่หลีอ๋องไม่เหมือนเสด็จพี่หลีอ๋องที่เขารู้จัก
ณ ตำหนักชีอู๋ภายในวังหลวง ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาฮองเฮาอวี่เหวินมิได้ข่มตาหลับเลย
เสียงกรีดร้องอ่อนแรงที่ดังแว่วมาจากสวนร้อยสัตว์ตลอดทั้งคืนยิ่งทำให้ฮองเฮาอวี่เหวินใจร้อนมากขึ้น ไม่นานมานี้ เจินกูกูเข้าไปในสวนร้อยสัตว์ นางไม่รู้ว่าเจินกูกูบอกอะไรกับเหนียนอีหลานที่อยู่ข้างในนั้น นางถึงได้หยุดกรีดร้อง
ยามที่เจินกูกูกลับเข้ามาในห้อง นางพลันได้ยินฮองเฮาอวี่เหวินถอนหายใจพอดี
“พระองค์มิต้องทรงกังวลเื่โรคระบาดนะเพคะ ฝ่าาทรงเรียกพบเหล่าขุนนางทุกคนมารวมตัวกันเพื่อคิดหาหนทางแล้วเพคะ”เจินกูกูเอ่ยปลอบประโลมอย่างระมัดระวัง
ทว่าท่าทีของฮองเฮาอวี่เหวินกลับยังคงไม่ดีขึ้น "พวกเขาจะคิดหาหนทางอะไรได้ไม่ว่าั้แ่ไหนแต่ไรมา โรคระบาดเป็ภัยพิบัติที่ทำลายล้างบ้านเมืองมาโดยตลอดโรคระบาดครั้งนี้อยู่ใกล้กับเมืองชุ่นเทียนอย่างมาก เปิ่นกงคิดว่าสุดท้ายคงมีเพียงวิธีเดียวนั่นคือทำลายค่ายเสินเช่อและราชวงศ์จ้าวคงจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงแน่นอน"
เจินกูกูเข้าใจความกังวลของฮองเฮาอวี่เหวินครั้นนึกคิดอะไรบางอย่างได้ เจินกูกูจึงหยั่งเชิงถามออกไปทันที “ฮองเฮาเพคะ อีกสามวันหลังจากนี้ก็เป็วันที่หกแล้วเพราะโรคระบาดที่เกิดขึ้นครานี้ฮองเฮายังทรง้าจัดงานเลี้ยงส่งให้ฉางไทเฮาหรือไม่เพคะ พวกเรายังต้องเตรียมงานอีกหรือไม่”
วันที่หกหรือ? อีกสามวันนับจากวันนี้?
ภาพของสตรีร่างหนึ่งสวมชุดราบเรียบสีพื้นดูธรรมดาผุดขึ้นในหัวของฮองเฮาอวี่เหวินมุมปากนางพลันยกยิ้มเสี้ยวหนึ่ง “เพราะโรคระบาดที่เกิดขึ้นยามนี้จึงต้องปิดเมืองชุ่นเทียนเกรงว่าไทเฮาที่ ‘อยากไป’ คงไปมิได้แล้ว หึ โรคระบาดครานี้ช่างบังเอิญเสียจริง”
น้ำเสียงของฮองเฮาอวี่เหวินเ็า สตรีผู้นั้นได้อยู่ต่อทว่าได้อยู่ต่ออย่างเหมาะสม ทั้งเหตุการณ์ยังน่าเชื่อถือ!
"เช่นนั้นบ่าวจะสั่งการลงไปว่าให้ยกเลิกงานเลี้ยงส่งที่จะเกิดขึ้นในสามวันต่อจากนี้เพคะ" เจินกูกูเองก็รู้เช่นเดียวกันฉางไทเฮายามนี้คงไปมิได้แล้ว ไหนเลยจะต้องจัดงานเลี้ยงส่งอีก
เพียงแต่รู้สึกเสียดายที่ฮองเฮาให้นางไปเตรียมการก่อน...
“ไม่ ไม่จำเป็ต้องยกเลิก” ฮองเฮาอวี่เหวินตรัสพร้อมกับหรี่ตาลงนางเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่นานเสียงของฮองเฮาอวี่เหวินพลันดังขึ้นมาอีกครั้ง“สองสามวันมานี้ที่ตำหนักฉางเล่อมีการเคลื่อนไหวอะไรบ้างหรือไม่ เกี่ยวกับการตายของฉินกูกูนางเอ่ยอะไรบ้างหรือไม่?”
“ทูลฮองเฮาเพคะ สองสามวันมานี้ฉางไทเฮาเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้องพระเพคะอย่างแรกก็เพื่อพักฟื้น อย่างที่สองก็คือสวดมนต์ให้ฉินกูกูเพคะได้ยินพวกนางกำนัลพูดกันว่า ฉางไทเฮาทรงรู้สึกผิดอย่างมากมักจะทอดสายตาจ้องมองอากาศอันว่างเปล่าและเอ่ยพึมพำกับตัวเองว่าถ้าไม่ใช่เพราะนางฉินกูกูคงจะไม่ถูกนักฆ่าสังหารจนตายไปอย่างลึกลับเช่นนี้...”
ถูกนักฆ่าลอบสังหารหรือ?
ถูกนักฆ่าลอบสังหารจริงหรือ
ประกายเ็าพาดผ่านดวงตาฮองเฮาอวี่เหวิน นางนึกถึงเงาร่างที่สวมชุดราบเรียบธรรมดาในใจนางพลันทวีความไม่พอใจอย่างแปลกประหลาด นางนอนไม่หลับทั้งคืน ในเวลานี้นางรู้สึกเหนื่อยแรงอ่อนล้าอย่างยิ่งนางยกมือลูบหน้าผากเพื่อเตรียมจะพักผ่อนซึ่งช่างประจวบเหมาะกับ่ที่ขันทีวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน “ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะมีข่าวแล้วพ่ะย่ะค่ะ...”
ครั้นได้ยินเสียงนี้ นางที่ก่อนหน้านี้ยังอ่อนแรงเหน็ดเหนื่อย ชั่วพริบตาเดียวพลันรู้สึกตัวตาสว่างขึ้นทันทีรีบเร่งลุกขึ้นออกไปต้อนรับขันทีให้เข้ามา
“เป็อย่างไรบ้าง?”
"ฝ่าารับสั่งให้เผาแหล่งต้นตอของโรคระบาดพ่ะย่ะค่ะ"ขันทีผู้นั้นคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความตื่นตระหนก "ตอนที่บ่าวเข้ามาเมื่อครู่ท่านแม่ทัพได้สั่งนำกองทัพรักษาพระองค์ออกไปนอกวังหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
"เผาแหล่งต้นตอของโรคระบาดหรือ" ฮองเฮาอวี่เหวินตัวสั่นสะท้านแทบจะล้มลงไปกับพื้น "เกิดขึ้นจริงๆ มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ!"
เื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็เช่นที่นางคาดคิดไว้อย่างแท้จริงทว่าความเสียหายครั้งนี้...
ทำลายทั้งค่ายเสินเช่อเส้นทางของทหารรักษาพระองค์ใน่ไม่กี่ปีมานี้ไม่มีทางไปต่อได้ แม่ทัพหลวงฉู่ชิงเป็หมากที่สำคัญที่สุดหากเขาถูกไฟเผาจนตายในค่ายเสินเช่อ สถานการณ์โดยรวมทั่วทั้งราชสำนักของแคว้นเป่ยฉีเกรงว่าคงเกิดการสับเปลี่ยนอย่างแน่นอน
ฉู่ชิงเป็ผู้บัญชาการราชองครักษ์และปกครองกองทัพทุกฝ่าย หากเขาตายอำนาจนั้นจำต้องสับเปลี่ยน ใครบางคนต้องขึ้นมาทำหน้าที่นั้นแทนเขาทว่าคนผู้นั้นจะเป็ผู้ใด?
ทุกวันนี้ในราชสำนักนั้นเต็มไปด้วยพรรคพวกของตระกูลหนานกงที่มีมากที่สุดหากคนในตระกูลหนานกงได้รับตำแหน่งนี้ เกรงว่าใต้หล้าแคว้นเป่ยฉีแห่งนี้ไม่นานคงมิใช่ของตระกูลจ้าวอีกต่อไปและยังมีเหนียนอีหลานอีก...
ผ่านพ้นเื่ของอีหลานครานี้ไปคนทั้งตระกูลหนานกงคงบาดหมางร้าวฉานกับนางเป็ที่เรียบร้อยแล้ว เกรงว่า...
ฮองเฮาอวี่เหวินครั้นนึกคิดอะไรบางอย่างได้ พลันขมวดคิ้วแน่นดวงตาเริ่มทอแสงเปล่งประกายระยิบระยับ เพียงพริบตาดวงตานางพลันแววใสแฝงความสุขุมเยือกเย็น
ไม่ได้ ถึงแม้จะต้องเสียค่ายเสินเช่อ ทว่าฉู่ชิงจะตายไม่ได้!
ถึงฉู่ชิงจะตาย นางก็ต้องคิดหาหนทางอื่น อำนาจที่อยู่ในมือของฉู่ชิงจะต้องไม่ตกไปอยู่ในมือของพวกตระกูลหนานกง
ฮองเฮาอวี่เหวินสูดหายใจลึก เงียบนิ่งไปครู่หนึ่งจากนั้นจึงตรัสสั่งกับเจินกูกูว่า"รีบออกจากวังและบอกให้จ้าวอี้มาหาข้า"
“เพคะ บ่าวจะไปทันที” เจินกูกูรับคำสั่งในทันที ฮองเฮาอวี่เหวินจ้องมองเจินกูกูเดินออกไปนางทิ้งตัวนั่งลงบนตั่งอย่างอ่อนแรง รู้สึกไร้ซึ่งพลัง ได้แต่ลอบภาวนาในใจขอให้ผลลัพธ์ของเื่ทั้งหมดนี้ อย่างน้อยอย่าได้ร้ายแรงมากจนเกินไป
ในเวลาเดียวกัน ข่าวเื่ที่จะเผาทำลายแหล่งต้นตอโรคระบาดได้เล่าลือมาถึงตำหนักฉางเล่อเช่นกัน
ดวงตาของสตรีในชุดราบเรียบพลันเบิกกว้างขึ้นทันที ประกายแสงแวววาวในดวงตาคู่นั้นพลันพร่างพรายออกมาต่างจากปกติ
“เผาค่ายเสินเช่อหรือ” ฉางไทเฮาเอ่ยพึมพำออกมาแค่คำสองสามคำนี้ สตรีผู้นี้จึงค่อยๆปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง มือข้างที่ไม่าเ็ยังคงคลำลูกประคำในมือ“ชีวิตคนบริสุทธิ์มากมายเช่นนั้น แท้จริงช่างเป็บาป...เป็บาป!”
ฉางไทเฮาปากเอ่ยว่าเป็บาป ทว่าในใจนางกลับรู้สึกตื่นเต้น
การเผาค่ายเสินเช่อเป็สิ่งที่นางคาดการณ์ไว้ แม้ฝ่าาจะไม่ออกพระราชบัญชาทว่าภายใต้สถานการณ์ที่โรคระบาดลุกลามอย่างรวดเร็วนั้น อย่างไรเสียคงมิอาจเก็บค่ายเสินเช่อไว้ได้รวมถึงแม่ทัพหลวงฉู่ชิง...
ครั้นฉางไทเฮานึกอะไรบางอย่างได้ พริบตานั้นพลันเบิกตากว้างทันทีพร้อมกับตรัสสั่งกับคนผู้นั้นว่า “เ้าออกนอกวังไปบอกกล่าวให้ท่านอ๋องหลีเข้ามาจำไว้ว่าบอกให้เขาเข้าวังทันที”
คนผู้นั้นรับคำสั่ง ในห้องพระจึงมีแค่ฉางไทเฮาเพียงผู้เดียวนางทอดสายตามองดูท้องฟ้านอกหน้าต่าง มุมปากยกยิ้มเสี้ยวหนึ่ง หากฉู่ชิงตายสถานการณ์ในเป่ยฉีจะเปลี่ยนไปทันที!