หลินหลานอี๋มองอวิ๋นซี มุมปากกระตุก จากนั้นก็พูดว่า “ข้ารู้ว่าพี่สะใภ้รองโกรธแค้นมารดาข้า ทว่า นางก็แค่ใจเร็วเพราะรักลูก แต่ยามนี้กลับถูกริบตำแหน่งจวิ้นจู่ไป ท่านว่า การกระทำนี้ไม่ยุติธรรมกับนางเกินไปหรือไม่ วันนี้ที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อขอร้องพี่สะใภ้รอง ขอให้ท่านช่วยไปขอร้องเสด็จพ่อและเสด็จย่า ไม่ว่าอย่างไรมารดาของข้าก็มีศักดิ์เป็ท่านป้าของพี่สะใภ้รอง หรือว่าต้องทำถึงขั้นให้ญาติสนิทกลายเป็ศัตรูกัน ท่านถึงจะพอใจ? ”
อวิ๋นซีหัวเราะหึหึ “น้องสะใภ้ห้าพูดผิดแล้ว ญาติของข้ามีแค่ไม่กี่คน ส่วนพวกเ้านั้นก็เรียกได้ว่าแค่รู้จัก ไม่ใช่ญาติสนิท อีกประการหนึ่ง เปิ่นเฟยไม่ได้เข้าวังมาพักหนึ่งแล้ว เกรงว่าเื่เหล่านี้จะไม่เกี่ยวข้องกับเปิ่นเฟย ดังนั้น หากเ้าคิดอยากจะขอร้องคนทั้งสองจริงๆ ก็ไม่ควรจะมาหาเปิ่นเฟยนะ”
หลินหลานอี๋เห็นอวิ๋นซีตอบปฏิเสธโดยไม่แม้แต่จะชั่งใจคิด ในใจก็เกิดความโกรธแค้นขึ้นหลายส่วน “บิดาท่านเป็ลูกชายของท่านตาข้าย่อมถือเป็ท่านน้าชายของข้า ส่วนมารดาข้าก็ถือเป็ท่านป้าของท่าน นี่เป็เื่ที่ต่อให้ท่านอยากจะปฏิเสธก็ทำไม่ได้ หรือหากท่านจะไม่ยอมรับ ท่านคิดว่าเสด็จพ่อจะไม่รู้เื่นี้อย่างนั้นหรือ”
อวิ๋นซียิ้ม “หากเสด็จพ่อทรงทราบ แล้วจะอย่างไร? เื่ที่มารดาเ้าไปโหวกเหวกอยู่บนถนน กล่าวหาว่าบิดาข้าเป็เด็กที่เกิดมาจากนังชั้นต่ำ เ้าคิดจริงๆ หรือว่าเสด็จพ่อจะยังไม่ทรงทราบ? ข้า อวิ๋นซีไม่ว่าจะทำเื่ใดก็ล้วนเปิดเผย รวมถึงเื่ที่ข้าไม่ชอบให้ญาติๆ เช่นพวกเ้าเข้ามาพักอยู่ในจวนอ๋องของข้าเองก็เช่นกัน เ้าคิดจริงๆ หรือว่าเื่เหล่านี้ เสด็จพ่อและเสด็จย่าจะไม่ทรงทราบ อันที่จริงพวกท่านทรงทราบแล้วทั้งหมด กระทั่งสิ่งที่ในใจข้าคิดอยู่ก็เช่นกัน เพียงแต่ตอนนั้นเป็ท่านตาเ้าที่ตัดสินใจเองฝ่ายเดียวว่าอยากจะเข้ามาพักอยู่ที่นี่ เปิ่นเฟยจึงต้องตอบตกลงไป เพราะทำอะไรไม่ได้ ดังนั้น เ้าไม่ต้องยกเสด็จพ่อมาข่มขู่ข้า ไม่มีประโยชน์”
หลินหลานอี๋คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นซีจะแข็งกร้าวเพียงนี้ถึงขนาดที่ไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น “ท่านอย่าลืมนะ มารดาข้าขายหน้า ตัวท่านเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าใดหรอก ต่อให้ท่านจะไม่อยากยอมรับว่ามารดาข้าเป็ป้าของท่าน แต่ท่านก็อุดปากคนทั่วหล้าไม่ได้”
นางไม่เชื่อหรอกว่า อวิ๋นซีจะไม่สนใจกระทั่งชื่อเสียงของตน
อวิ๋นซีทำเพียงยิ้มบางๆ จิบชาไปคำหนึ่งแล้วจึงพูดขึ้น “ปากของคนทั่วหล้าจะพูดอย่างไรก็เป็เื่ของคนทั่วหล้า ตัวข้าลำพังย่อมอุดไว้ไม่อยู่อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้คิดอยากจะอุดแต่แรก อย่างมากข้าก็แค่ มัจฉาตายตาข่ายขาด [1] บอกเล่าเื่ที่ตอนนั้นท่านย่าของเ้ากระทำไว้กับท่านย่าของข้า บอกให้คนทั่วหล้าได้ล่วงรู้ในข้อเท็จจริงนี้ เมื่อถึงตอนนั้นข้าก็อยากจะดูสิว่า คนทั่วหล้าจะวิจารณ์เื่ที่ไม่อาจไม่เล่าสู่กันฟังของจวนเจิ้นหนานอ๋อง ตระกูลจางนี้อย่างไร”
ได้เห็นสีหน้าของหลินหลานอี๋ที่เปลี่ยนเป็ซีดขาว อวิ๋นซีก็ยิ้มเ็า “น้องสะใภ้ห้า คนที่ทำจากโคลนยังมีอารมณ์โกรธสามส่วนเลย [2] เ้าเองก็อย่าได้คิดว่า พี่สะใภ้ของเ้าจะเป็คนที่พูดง่ายไปทุกเื่ ข้าผู้นี้เป็คนเ้าคิดเ้าแค้นเป็ที่สุด ดังนั้น ก่อนที่เ้าจะพูดอะไรก็ควรขบคิดให้รอบคอบก่อน”
ไม่ว่าใครต่างก็พากันคิดว่า คนเช่นนางเป็คนที่จะถูกใครๆ รังแกได้ง่าย พวกเ้าทำเื่ผิดแท้ๆ แต่ยังกล้ามาหาเื่เปิ่นเฟยอีก หากไม่สำแดงฤทธิ์ให้ดูสักหน่อย พวกเ้าก็คงคิดว่า คนในจวนหนิงอ๋องของข้าเป็พวกแมวป่วย
คิดถึงตรงนี้ ในใจนางก็มีความคิดหนึ่งปรากฏ ตอนนี้คงไม่อาจเก็บจางเหวินเหมยไว้ได้อีกแล้ว
เพียงแต่ นางจะไปเปื้อนเืสดๆ ของสตรีนางนี้ด้วยตนเองไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ หลังจากส่งหลินหลานอี๋ที่โกรธเป็ฟืนเป็ไฟออกไปแล้ว อวิ๋นซีก็กลับไปเปลี่ยนเป็ชุดบุรุษ และออกไปจากจวนอ๋องด้วยเส้นทางลับ เพื่อไปพบหลิงอี ณ ที่ทำการของหอรุ่งอรุณในเมืองหลวง ทว่า สิ่งที่นางคิดไม่ถึงก็คือใบหน้าของหลิงอียามนี้กลับมีผ้าพันแผลปิดไว้ เมื่อนางเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะฮ่าฮ่าออกมา นางถาม “หลิงอี เ้าไปทำเื่ชั่วที่ใดมาเล่าถึงได้มีสภาพที่น่าอนาถเพียงนี้”
หลิงอีแค่นเสียงเ็ากล่าวตอบ “ข้าบังเอิญเจอหญิงบ้าคนหนึ่งที่ร้านขายอาวุธ แย่งดาบโค้งที่ข้าชอบไปยังไม่ว่า แต่กลับมาซ้อมข้าเสียด้วยนี่สิ” หลิงอีพูดเสียงดังอย่างไม่เกรงกลัวว่าจะถูกเหล่าพี่น้องตนหัวเราะเยาะเอา
อวิ๋นซีเม้มปากยิ้ม “เ้าไปจ้องผู้อื่นเพราะผู้อื่นมีหน้าตางดงามใช่หรือไม่ถึงได้ถูกจัดการมาเช่นนี้” หลิงอีเป็คนสุขุม และเพราะเหตุนี้ถึงทำให้หอรุ่งอรุณมีอย่างทุกวันนี้ได้ อย่างไรก็ตาม คำพูดของนางเหล่านี้ก็แค่หยอกล้อเท่านั้น ทว่า ในใจกลับรู้สึกสนใจในตัวสตรีที่ทำให้หลิงอีได้รับาเ็ผู้นั้น นางขบคิด ในเมืองหลวงแห่งนี้มีคนที่น่าสนใจเพียงนั้นั้แ่เมื่อไรกัน
“ผู้ใดไปมองนางกันเล่า หน้าตาเหมือนคนบ้าอย่างนั้น ไม่มีความงดงามหรืออ่อนหวานของสตรีแม้แต่น้อย ใครแต่งผู้หญิงเช่นนี้ไปจักต้องโชคร้ายเป็แน่” เมื่อหลิงอีพูดจบก็นั่งลงด้านข้างอย่างโกรธๆ มองไปยังอวิ๋นซี “แล้วท่านมาวันนี้มีเื่อันใดหรือ? ”
อวิ๋นซีพยักหน้า “ช่วยข้าหาคนที่มีวรยุทธ์สูงส่งสักหน่อยไปจับตาดูธิดาของเจิ้นหนานอ๋อง จางเหวินเหมย และลูกเขยหลินหรงเว่ย แล้วก็รองเ้ากรมอาญาชิวเสียงอีกคน”
หลิงอีอยู่เมืองหลวงมาหลายปี งานที่เขาทำคือการเก็บรวบรวมรายงานข่าวต่างๆ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็เื่ใหญ่น้อยในเมืองหลวง เขาล้วนรู้ทั้งสิ้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสถานะของเหล่าชนชั้นสูงในเมืองหลวง และแน่นอนว่ารองเ้ากรมอาญาผู้นี้ ตัวเขาเองก็รู้จัก แต่เท่าที่รู้มา รองเ้ากรมอาญาชิวเสียงกับอวิ๋นซีไม่เคยมีความเกี่ยวข้องกัน ทั้งยังไม่เคยแม้แต่พบหน้า และเป็เฉียวอวิ๋นซีต่างหากที่เมื่อก่อนเคยสมาคมกับชิวเสียงอยู่บ้าง
“เื่นี้เ้าไม่ต้องสนใจมาก เพียงแต่ช่วยข้าจับตาดูไว้หน่อยก็พอ และจะให้ดีที่สุดก็หาวิธีให้ชิวเสียงและจางเหวินเหมยได้เจอกันอย่างลับๆ ” อวิ๋นซีคิด ในดวงตาปรากฏแววยิ้มแปลกประหลาด อย่างไรเสีย ชิวเสียงผู้นี้ก็เป็คนสำคัญยิ่ง
ไม่ว่าวันหน้าบิดาของนางจะตัดสินใจกลับไปจวนเจิ้นหนานอ๋องหรือไม่ อันตรายที่รออยู่ที่นั่น นางก็ล้วนยินดีกำจัดออกไปให้เรียบร้อยก่อน จางเหวินเหมยผู้นั้น หากเหลือเก็บไว้ก็จะกลายเป็หายนะในหนหลัง ดังนั้น หากสามารถรั้งคนให้อยู่ที่เมืองหลวงแห่งนี้ได้ก็จะเป็การดี
ส่วนหลินหรงเว่ย หากให้พูดตามจริง จนถึงบัดนี้นางก็ยังไม่รู้ว่าคนผู้นี้้าสิ่งใด จึงทำได้แค่ให้คนจับตาดูไว้ให้ดี หากพบความผิดปกติขึ้นมา เมื่อถึงตอนนั้นก็ค่อยคิดหาวิธีจัดการ
หลิงอีพยักหน้า “ได้ เื่นี้ให้เป็หน้าที่ข้า” เขารินน้ำชาให้นางจนเต็ม จากนั้นจึงกล่าวเสริม “ยังมีอีกเื่หนึ่งที่ข้าควรบอกท่าน พ่อบ้านของจวนรัชทายาทเฉิงป๋อหยางออกจากเมืองไปแล้ว ดูจากเส้นทางที่ไป ปลายทางน่าจะเป็เมืองผิง”
“รู้หรือไม่ว่าไปทำสิ่งใด? ” เฉิงป๋อหยางเป็คนที่โอวหยางเทียนหัวไว้วางใจมากที่สุด และเป็หนึ่งในบรรดามันสมองของเขา เมื่อก่อนตอนที่นางอาศัยอยู่ในจวนรัชทายาทก็เคยคิดอยู่ว่า คนผู้นี้ไม่ธรรมดา หากวันหน้ารัชทายาทได้ขึ้นครองราชย์ คนจักต้องได้เป็ขุนนางใหญ่อย่างแน่นอน
เฉิงป๋อหยางออกจากเมือง แน่นอนว่าต้องออกไปทำเื่สำคัญ
“คนของเราลอบตามไปแล้ว แต่อันที่จริงทุกๆ ปีเขาก็มักจะออกจากเมืองไปครั้งหนึ่ง ทุกครั้งที่ไปก็ล้วนเป็เมืองผิง เมื่อก่อนเป็ข้าที่ไม่ได้สนใจเส้นทางที่เขาไปมากนัก จึงไม่เคยไปสืบดู” ตอนนี้หลิงอีรู้สึกเสียใจเป็อย่างยิ่ง หากว่าตอนนั้นเขาระมัดระวังให้มากสักหน่อยก็คงไม่มีทางที่จะเกิดเื่ขึ้นกับนายท่านเฉียว ใช่หรือไม่
อวิ๋นซีเม้มปาก นางคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า “หากมีข่าวของเฉิงป๋อหยางเมื่อไร ไม่ว่าจะเป็ยามใด เ้าต้องเร่งให้คนไปส่งข่าวแก่ข้า ต่อให้ตอนที่เ้าได้ข่าวมาจะเป็ยามดึกค่อนคืนก็จำต้องรายงานข่าวแก่ข้า”
หลิงอีอืมเสียงหนึ่ง “วางใจเถอะ ข้ารู้ดีว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา แต่พี่น้องของเราก็มิใช่พวกไม่ได้เื่ เมืองผิงห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก คาดว่าคืนนี้ก็คงจะได้ข่าวแล้ว”
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] มัจฉาตายตาข่ายขาด(鱼死网破)หมายถึง ต่อสู้กันจนตกตายไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย
[2] คนที่ทำจากโคลนยังมีอารมณ์โกรธสามส่วนเลย(泥人还有三分脾气)เปรียบเทียบว่า ไม่ว่าจะเป็คนที่อ่อนเหมือนทำขึ้นจากโคลนก็ยังมีอารมณ์โกรธ