“ราคานี้คุณหนูคิดเช่นไรขอรับ?” จ่างกุ้ยยื่นมือออกมาทำนิ้วเลขแปด
แปดร้อยตำลึง...
เวินซีไม่พูดอันใด นางยื่นมือออกมาเท้าศีรษะ มองดูจ่างกุ้ยอย่างเกียจคร้าน
เมื่อเห็นเช่นนั้นจ่างกุ้ยก็คิดว่าตนเสนอราคาสูงเกินไป เขาจึงเสนอใหม่ “เช่น...เช่นนั้นเจ็ดร้อยตำลึงล่ะขอรับ?”
“ราคาน่ะไม่มีปัญหา เพียงแต่ว่านะจ่างกุ้ย ข้าอยากรู้ว่าสูตรเครื่องหอมพวกนี้มาจากที่ใด การทำธุรกิจจำเป็ต้องรู้ให้ครบถ้วนใช่หรือไม่?”
“หากข้าซื้อสูตรเครื่องหอมมาจากเ้า เมื่อนำกลับไปแล้วเกิดวันใดมีคนมาหาว่าข้าขโมยสูตรเครื่องหอมจะทำเช่นไร? เช่นนั้นข้าจะปกป้องตนเองมิได้”
“จริงขอรับ จริง” จ่างกุ้ยพยักหน้าเห็นด้วยกับเวินซี
สิ่งที่คนเปิดร้านเครื่องหอมกลัวที่สุดก็คือ การที่สูตรเครื่องหอมของพวกเขาจะไปข้องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ซับซ้อนใดๆ เพราะจะส่งผลเสียต่อร้านเครื่องหอมของตน
“เช่นนั้นจ่างกุ้ยก็ว่ามาเถิดว่าได้สูตรเครื่องหอมมาจากที่ใด” เวินซีถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ
จ่างกุ้ยมิได้สงสัยใดๆ จึงตอบนางทันที
“สูตรเครื่องหอมนี้มีสตรีรับใช้ผู้หนึ่งมาขายให้ข้า บอกว่าที่ตระกูลประสบเื่ลำบาก หมุนเงินไม่ทัน จำเป็ต้องนำสูตรเครื่องหอมออกมาขายในราคาถูกๆ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ นางมิได้บอกขอรับ ข้าเห็นว่าสูตรเครื่องหอมเหล่านี้เป็ของดีจึงซื้อมาโดยมิได้ถามอันใดให้มากความ ”
“จ่างกุ้ยรู้หรือไม่ว่าสตรีรับใช้ผู้นั้นมาจากตระกูลใด?” เวินซีถามอีกครา
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกันขอรับ แต่เสื้อผ้าที่สตรีรับใช้ใส่นั้นดูดีกว่าคนทั่วไป คงจะต้องเป็สตรีรับใช้ของตระกูลใหญ่น่ะขอรับ อันที่จริงเื่เช่นนี้เป็เื่ปกติมาก”
“นายหญิงที่ไม่เป็ที่โปรดปรานของตระกูลต่างๆ มักจะนำสิ่งของของตนเองออกมาขายในราคาถูก พวกเรารู้ว่าเื่เป็เช่นนี้จึงมิได้ถามเอาความอันใดต่อ”
“คุณหนูคิดว่าที่มาของสูตรลับเหล่านี้ผิดปกติหรือขอรับ?” พูดจบ จ่างกุ้ยก็รู้สึกได้จึงเอ่ยถาม
เวินซีพยักหน้าเล็กน้อย “หากสตรีรับใช้ผู้นั้นขโมยมาล่ะ? ไม่มีผู้ใดมั่นใจได้”
คำพูดของนางฟังดูสมเหตุสมผล ทำให้จ่างกุ้ยไม่สามารถปฏิเสธได้
“เช่นนี้แล้วกันนะจ่างกุ้ย ข้าซื้อสูตรเครื่องหอมพวกนี้ไว้ก่อนสามร้อยตำลึง หากสตรีรับใช้ผู้นั้นมาหาเ้า จะขายสูตรเครื่องหอมให้อีก เ้าก็ค่อยติดต่อข้า ข้าจะมาถามนางด้วยตนเอง”
“หากที่มาของสูตรเครื่องหอมนี้ใสสะอาด ข้าจะจ่ายอีกสี่ร้อยตำลึงให้ หากมีปัญหา เ้าค่อยคืนเงินมาให้ข้าได้หรือไม่?”
เวินซีพูดจบก็ขมวดคิ้ว ราวกับว่าตนเองเสียเปรียบ
จ่างกุ้ยดูลังเล เขาถือสูตรเครื่องหอมไว้ในมือ พลิกไปพลิกมา
“ในเมื่อจ่างกุ้ยไม่อยากขาย ข้าไปก่อนล่ะ ขอโทษที่รบกวน”
เวินซีลุกขึ้นยืน ทำท่าจะเดินออกไป แต่จ่างกุ้ยก็รีบมาขวางนางไว้
“ใช่ว่ามิอยากขาย แต่ราคานี้...”
“ราคาเป็เช่นไร? สตรีรับใช้ผู้นั้น้าเงินจึงรีบขาย ข้าเดาว่าราคาที่เ้าซื้อมาทั้งหมดคงไม่ถึงร้อยตำลึงหรอกนะ”
เมื่อถูกนางมองออก จ่างกุ้ยก็ยิ้มด้วยความอึดอัด ไม่นานนักเขาก็นำสูตรเครื่องหอมยัดใส่มือเวินซี “ว่าตามคุณหนูก็ได้ขอรับ ให้ข้าก่อนสามร้อยตำลึง หากสูตรเครื่องหอมไม่มีปัญหา ค่อยจ่ายให้ข้าอีกสี่ร้อยตำลึง”
“ได้ แต่เ้าเป็เพียงจ่างกุ้ยนี่ ตัดสินใจอันใดได้เองหรือ เรียกคนตระกูลโจวออกมาเถิด”
เวินซีจัดการสูตรเครื่องหอมอย่างเป็ระเบียบแล้วเก็บมันเข้าไปในอ้อมอกอย่างทะนุถนอม
“คนตระกูลโจวหรือ? ข้าแซ่โจว ครอบครัวข้ามีเพียงข้าคนเดียวขอรับ ร้านเครื่องหอมนี้ข้าเป็คนเปิด เหตุใดข้าจะตัดสินใจเองมิได้?”
จ่างกุ้ยงุนงง
“ขออภัยด้วยจ่างกุ้ย ข้าเข้าใจผิดไปน่ะ นี่สามร้อยตำลึง ข้าไปก่อนล่ะ”
เมื่อรู้ว่าร้านนี้มิใช่กิจการของตระกูลโจว เวินซีก็ยิ้ม แล้วนำเงินสามร้อยตำลึงส่งให้จ่างกุ้ย
จ่างกุ้ยรับมันไปอย่างระมัดระวัง ก่อนจะรีบนำใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็ว “ข้าจะไปส่งคุณหนูขอรับ”
“เ้าค่ะ”
ทั้งสองเดินไปที่หน้าร้านด้วยกัน
“จ่างกุ้ย หากสตรีรับใช้ผู้นั้นกลับมา อย่าลืมบอกข้านะเ้าคะ”
“แน่นอนสิขอรับ ข้าย่อมอยากได้เงินทั้งหมด”
จ่างกุ้ยพูดติดตลก ส่วนเวินซีก็พยักหน้าแล้วเดินจากไป
หลังจากที่เดินออกไปได้สองสามก้าว จ่างกุ้ยที่ประจำร้านของนางกำลังรออยู่หน้าประตูก็เข้ามาถามทันที “คุณหนูเวินซี เป็เช่นไรบ้างขอรับ?”
“เป็สูตรเครื่องหอมของเวินอี๋เหนียง ข้าใช้เงินสามร้อยตำลึงซื้อไว้ นำกลับไปเก็บเถิด ต่อไปอย่าให้สูตรเครื่องหอมหลุดออกไปได้อีก”
นับว่านางได้ทำเพื่อเวินอี๋เหนียงแล้ว
เวินซีหยิบสูตรเครื่องหอมทั้งหมดออกมาให้จ่างกุ้ย
จ่างกุ้ยมองดูลายมือที่อยู่บนนั้น มือของเขาก็สั่นอย่างตื้นตัน
ทุกใบล้วนเป็สูตรเครื่องหอมของเวินอี๋เหนียงจริงๆ หาจนพบแล้ว เขานึกว่าในชีวิตนี้จะไม่มีโอกาสได้เห็นมันแล้วเสียอีก...
“น่าจะต้องมีสูตรเครื่องหอมอีกจำนวนหนึ่ง และต้องล้ำค่ากว่าสูตรพวกนี้แน่ เรากลับกันก่อนเถิด หากมีออกมาอีกเราค่อยว่ากันใหม่”
“ขอรับ”
ทั้งสองขึ้นรถม้าที่ข้างถนน ให้เงินกับคนขับรถเพื่อให้ขับไปที่ร้านเครื่องหอม
ที่ตระกูลเวิน
สืออีะโลงมาจากทางหน้าต่างแล้วเข้าไปที่ห้องของเวินเยียน เขายืนอยู่ที่ข้างเตียง เงาดำสะท้อนลงบนตัว เวินเยียนััได้จึงลืมตาขึ้น เมื่อเห็นว่ามีคนอยู่ที่หัวเตียงนางจึงกรีดร้องตามสัญชาตญาณ แต่ก็ถูกสืออียื่นมือมาปิดปากได้ทัน
“คุณหนูเวินเยียน ข้ามาหาคุณหนูตามคำสั่งของคุณชายซูขอรับ คุณหนูใจเย็นๆ ฟังข้าก่อนได้หรือไม่ขอรับ?” เขาเอ่ยอย่างเ็า
เมื่อได้ยินคำว่า “คุณชายซู” เวินเยียนก็พยักหน้าอย่างรวดเร็ว นางชี้ไปที่มือที่ปิดปากอยู่เพื่อให้เขาปล่อย
“คุณหนูเวินเยียน หากข้าปล่อยท่าน ท่านอย่าได้ะโนะขอรับ” สืออีพูดอย่างเป็กังวล เวินเยียนจึงพยักหน้ารัวๆ
“คุณชายซูล่ะ? เขาอยู่ที่ใด? เหตุใดถึงไม่มาหาข้า?” หลังจากที่เป็อิสระ นางก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียงและเอ่ยถามทันใด โดยที่เอามือกุมท้องอยู่ตลอด
“คุณชายซูมาหาท่านด้วยตนเองมิได้ขอรับ แต่เขาคิดถึงคุณหนูเวินเยียนอยู่ทุกขณะ เขาให้ข้ามาขอโทษท่าน อย่าได้กังวลนะขอรับ หากเขาเสร็จภารกิจแล้วจะรีบกลับมาหาท่าน”
“เขาได้พูดอันใดอีกหรือไม่?” เพียงคำพูดไม่กี่คำก็ทำให้ความหงุดหงิดของเวินเยียนใน่ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ลดลง
ยามนี้ตระกูลเวินล่มสลาย คุณชายซูจึงกลายเป็ความหวังและที่พึ่งทางใจของนาง
“คุณชายซูบอกว่าสิ่งที่เกิดกับตระกูลเวินเป็เื่ที่เขาไม่อยากจะเห็นขอรับ เขาให้สิ่งนี้กับข้า เพื่อนำมามอบให้ท่านขอรับ”
“นี่คืออันใด?” เวินเยียนเอ่ยถามหลังจากที่มองลงไปที่ขวดกระเบื้องเคลือบสีเขียวในมือของสืออี
“นี่เป็ของดีที่จะทำให้ตระกูลเวินกลับมารุ่งเรืองได้อีกครา” สืออีพูดตามคำบอกเล่าของหลานเยว่เฉิง
“ทำให้ตระกูลเวินกลับมารุ่งเรืองหรือ?” เวินเยียนหยิบขวดกระเบื้องขึ้นมาเปิดดูอย่างสงสัย
กลิ่นสมุนไพรโชยออกมา ตามด้วยกลิ่นเหม็นที่พาให้คลื่นไส้ นางรู้สึกอยากอาเจียนจึงปิดฝา
“มันคืออะไร?” นางมองไปที่ขวดกระเบื้องเคลือบ
“นี่คือต้วนหุนเซียงจากราชวงศ์เพื่อนบ้าน เมื่อถูกพิษนี้ร่างกายจะอ่อนแรง ขยับเขยื้อนมิได้ ทั้งยังต้องบวมเป่ง ตัวเขียวม่วง สุดท้ายจะมีเืไหลออกมาจากร่างกายจนตายในที่สุด”
“หากมีาแบนร่างกายและพิษนี้ััเข้ากับเื ก็จะติดเชื้อทันทีราวกับโรคระบาด”
“ข้อดีของมันอีกประการคือ มันสามารถแพร่ไปสู่ผู้อื่นได้”
สืออีอธิบายอย่างใจเย็นราวกับว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเื่นี้
“เหตุใดเขาถึงนำมาให้ข้า? คุณชายซูอยากจะให้ข้าทำอันใด?”
“ผู้ที่ได้รับต้วนหุนเซียงจะยังไม่ตายภายในเจ็ดวัน มันมียารักษา คุณชายซูเพียงแค่อยากมอบให้ท่าน ท่านจะลงมือหรือไม่นั้นก็อยู่ที่ตัวท่านเอง ข้ายังมีธุระ ขอตัวก่อนนะขอรับ”
เมื่อสืออีพูดจบก็ปีนออกไปนอกหน้าต่าง ทิ้งให้เวินเยียนอยู่กับตนเอง
เวินเยียนถือขวดกระเบื้องเคลือบด้วยสีหน้าลังเล นางเข้าใจคำพูดของสืออี และเข้าใจจุดประสงค์ของคุณชายซู