สีหน้าของผู้าุโจางเปลี่ยนไปเล็กน้อย
แม้ว่าจะ้าสังหารฉินอวี่ แต่ด้วยจำนวนผู้คนที่มากมายเช่นนี้ เขาจึงไม่อาจลงมือได้ มิเช่นนั้น จะทำให้ชื่อเสียงของเผ่ายุทธ์ทองคำต้องเสื่อมเสีย
และด้วยคำพูดของสยงท่าเทียนอาจทำให้ตระกูลขวงสยงออกมาจากที่กบดานได้ ทำให้ผู้าุโจางต้องระมัดระวังเป็พิเศษ แม้ว่าเผ่ายุทธ์ทองคำจะมีความน่าเกรงกลัว แต่หากตระกูลขวงสยงออกมาจริงๆ... การทุ่มเทสังหารชายคนนี้คงเป็เื่ที่ต้องแลกมาด้วยราคาที่แพงเกินไป
ความคิดของเขาไตร่ตรองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ผู้าุโจางคว้าแขนของฉินอวี่ไว้ และพูดขึ้นว่า “สหายน้อย หากเ้าจบการต่อสู้ครั้งนี้เสีย... ข้าจางหยวนเทียน นับว่าติดหนี้บุญคุณเ้าแล้ว”
ฉินอวี่มีใบหน้าโชกเืที่เห็นแล้วน่าหวาดกลัวเป็อย่างยิ่ง เขากำลังจ้องมองผู้าุโจางด้วยดวงตาที่เหี้ยมโหด แม้ว่าในใจของเขาจะไม่พอใจอย่างมาก แต่เมื่อมีผู้าุโจางอยู่ด้วยเช่นนี้ ตนเองก็เกรงว่าจะไม่สามารถสังหารถงอวิ๋นเฟยได้อย่างแน่นอนไม่ว่าด้วยวิธีการใดก็ตาม ทันใดนั้นเขาก็พูดขึ้นอย่างเ็า “ข้าไม่้าน้ำใจของเ้า แต่ข้า้าน้ำใจของเผ่ายุทธ์ทองคำ หากเ้ายินดี การประลองครั้งนี้เป็อันยุติ แต่หากเ้าไม่ยินยอม วันนี้ แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต ข้าก็จะสังหารเขาให้ได้!”
เมื่อััได้ถึงความมุ่งมั่นในสายตาของฉินอวี่ ผู้าุโจางก็ตกตะลึงและลังเลขึ้นมาในใจ เขาสามารถพูดได้เต็มปากว่าเขาเป็หนี้บุญคุณของฉินอวี่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่สามารถยอมรับแทนเผ่ายุทธ์ทองคำได้
เมื่อเห็นผู้าุโจางลังเล ฉินอวี่ก็หันศีรษะอย่างดุดัน จ้องไปทางอี้จ้านเทียนที่กำลังตกตะลึง และะโขึ้นอย่างเคร่งขรึม “อี้จ้านเทียน ในฐานะที่เมืองโบราณเทียนหลงของเ้าเป็ประธานการประลอง สามารถแทรกแซงได้ตามอำเภอใจหรือไม่?”
ฉินอวี่ดึงตัวสำนักโบราณเทียนหลงออกมาเกี่ยวข้อง ทำให้เื่นี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้น จางอี้เทียนรู้ดีว่าสำนักโบราณเทียนหลงก็มีผู้แข็งแกร่งอยู่ในเมืองหลักเทียนอู่เช่นกัน หากพวกเขาออกมาขัดขวางจริงๆ วันนี้ถงอวิ๋นเฟยก็คงตกอยู่ในอันตรายอย่างแท้จริง ทันใดนั้นเขาก็รีบหันกลับไปมองฉินอวี่ พลางพูดขึ้นมา “ข้าขอตอบรับคำของเ้าแทนเผ่ายุทธ์ทองคำ!”
เมื่อฉินอวี่ได้ยินดังนั้น เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก และพูดกลับไป “ดีมาก ขอสหายทุกท่านโปรดเป็พยานให้ข้าด้วย ต่อจากนี้ไปเผ่ายุทธ์ทองคำติดหนี้บุญคุณข้าฉินอวี่อยู่ ดังนั้นการประลองในวันนี้ เป็อันสิ้นสุด!”
จางหยวนเทียนเหลือบมองฉินอวี่ จากนั้นจึงพาตัวถงอวิ๋นเฟยหายไปอย่างไรร่องรอยในทันที
เมื่อเห็นเช่นนี้ ฉินอวี่ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แสงสีแดงเืทั่วร่างกายของเขาก็ค่อยๆ จางหายไป ความรู้สึกเหนื่อยล้าและอ่อนแรงพุ่งเข้าไปในใจของเขา จนเขาทรุดตัวลงไปอย่างแข็งทื่อไปทั้งร่าง
แม้ว่าการต่อสู้ในครั้งนี้จะใช้เวลาไปไม่นาน แต่การโจมตีทั้งหมดที่ฉินอวี่ต้องแบกรับเอาไว้ ทำให้พลังปราณในร่างของเขาลุกไหม้จนแทบไม่มีเหลือ แต่ยังโชคดีใน่วินาทีสุดท้าย ฉินอวี่กลับเป็ฝ่ายจับจุดอ่อนของถงอวิ๋นเฟยได้ สถานการณ์ทุกอย่างจึงเปลี่ยนไป มิเช่นนั้น ผลที่ตามมาอาจเป็เื่ที่คาดเดาได้ยาก
“เปิดกลพลังเวทออกเดี๋ยวนี้!” บรรดาผู้ฝึกตนที่ตกตะลึงยังไม่มีสติกลับมา ได้ยินแต่เพียงเสียงะโของใครคนหนึ่งที่ดังขึ้น
อี้จ้านเทียนจึงรีบออกคำสั่งเปิดกลพลังเวทนั้นทันที สยงท่าเทียนรีบตรงเข้าไปอุ้มฉินอวี่ขึ้นมา พลางหันไปทักฉินเสวี่ยที่กำลังหลั่งน้ำตา จากนั้นก็วิ่งต่อไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อทุกคนรู้สึกตัวกลับมา พวกเขาหันไปมองพื้นดินที่เต็มไปด้วยรอยแตกจนเกือบจะกระจายออกเป็เสี่ยง และได้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่ว่าอย่างไร จากการประลองในวันนี้ ชื่อของฉินอวี่จะต้องแพร่กระจายไปยังคนรุ่นใหม่ทั่วทั้งแดนนภาชิงเหลียนตะวันออก
“ช่างเป็ต้นกล้าที่ยอดเยี่ยมจริงๆ เป็ผู้ชาญฉลาดเสียนี่กระไร ข้าสนใจเด็กคนนี้ ใครอย่าได้คิดแย่งชิงไปล่ะ ไม่ได้ๆ ถ้าไม่รับเ้าเด็กคนนี้ไป ข้าก็ไม่วางใจในความสำเร็จข้างหน้า” ผู้าุโที่มีแก้มแดงจากฤทธิ์สุรามองฉินอวี่ที่สยงท่าเทียนกำลังอุ้มขึ้นมาพลางคิดไตร่ตรอง กล่าวชื่นชมเล็กน้อย ก่อนจะพาฉินอวี่หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ชนะแล้วหรือ? เขาเอาชนะได้จริงหรือ? เขาชนะถงอวิ๋นเฟยจริงหรือ? เป็ไปได้อย่างไรกัน?” หวังผิงยังคงไม่อยากเชื่อ เขายังคงรู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็เพียงภาพหลอนของตนเอง หลังจากเขามีสติขึ้นมา หวังผิงก็ต้องตกตะลึง ดวงตาเต็มไปด้วยความร้อนรุ่มและความโลภ แต่ทันใดนั้นก็เหมือนเขานึกอะไรขึ้นมาได้ และพึมพำอย่างประหลาดใจ “ตระกูลขวงสยง?”
ด้านฉินจ้าน เขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม ทอดสายตาลงไปด้านล่าง การแสดงออกบนสีหน้าของเขาค่อยๆ กลับมาเป็ปกติ แต่สายตาของเขาเต็มไปด้วยความรำพึงและการต่อสู้
“นายท่านหก ท่านยังยืนยันในการตัดสินใจของท่านอีกหรือไม่? หากไม่ใช่เพราะวันนี้มีผู้คนมากมายอยู่ที่นี่ คุณชายสามคงไม่มีทางรอด” ผู้าุโโม่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพูดอย่างช้าๆ
“ลูกชายของข้าฉินจ้าน ไม่้าการปกป้องจากผู้ใด ข้าแน่ใจว่าเขาจะต้องมีอนาคตไกล! ผู้าุโโม่ ข้าแน่ใจยิ่งนัก ข้าได้เตรียมการเื่ที่ข้าจะจากไปไว้แล้ว” ฉินจ้านกระสับกระส่ายอยู่นาน และพูดออกมาในที่สุด เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและเดินอย่างเด็ดเดี่ยว
...
ห้าวันต่อมา
ขณะที่ฉินอวี่ฟื้นขึ้นมา ไม่เพียงแต่จะไม่รู้สึกถึงความเ็ปที่ได้รับก่อนหน้านี้ แต่เขายังรู้สึกได้ถึงสภาพร่างกายที่ดูเหมือนจะก้าวถึงจุดสูงสุด ฉินอวี่ลืมตาขึ้นด้วยความสงสัย ภาพที่ปรากฏสู่สายตาของเขาคือใบหน้าอันแก่ชราที่ดูเหมือนก้นลิง เผยให้เห็นปื้นแดงบนใบหน้าที่โดดเด่นสะดุดตา
ฉินอวี่ถึงกับผงะจนลุกขึ้นนั่งตัวตรงทันที เขากวาดสายตามองไปโดยรอบ จึงพบว่านี่คือห้องของตนเอง จากนั้นฉินอวี่จึงถามผู้าุโคนนั้นด้วยความสงสัย “ท่านเป็ใคร?”
“ข้าเป็ใครไม่สำคัญหรอก สิ่งสำคัญคือนับจากนี้ไป เ้าคือศิษย์ของข้าหวงถิงแล้ว” ผู้าุโในชุดสีเทากล่าวด้วยใบหน้าที่ดูเย่อหยิ่ง เพียงแต่ หลังจากพูดจบ ดวงตาของเขาก็แอบชำเลืองมองฉินอวี่ ความเย่อหยิ่งที่มีบนใบหน้าของเขาก็หายไปเช่นกัน
“หวงถิง?” ฉินอวี่มองไปยังผู้าุโชุดสีเทา และพิจารณาจากพลังปราณอันน่าเกรงขามที่เผยออกมาจากผู้าุโ พลางพบว่าจริงๆ แล้วเขาเป็ผู้แข็งแกร่งระดับสูงสุดของขั้นเขตแดนเต๋า
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของผู้แข็งแกร่งระดับเขตแดนเต๋าทำให้ฉินอวี่สับสน เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ก่อนจะหมดสติไป ความคิดของฉินอวี่ก็เป็ดั่งสายฟ้า เขาพอจะคาดเดาได้ว่าผู้าุโคนนี้คงมีเจตนารับเขาไว้เป็ศิษย์ หลังจากได้เห็นการต่อสู้ระหว่างเขากับถงอวิ๋นเฟย
หากเป็เมื่อครึ่งปีก่อน ฉินอวี่ก็คิดอยากจะมีอาจารย์ในระดับเขตแดนเต๋า แม้ว่าเขาจะมีตำราลับอยู่เป็จำนวนนับไม่ถ้วน แต่เขาก็ยังไม่เคยได้ฝึกฝนจริงๆ เลย แน่นอนว่าบนหนทางแห่งการฝึกฝนยุทธ์ย่อมมีปัญหาเกิดขึ้นได้ หากมีผู้แข็งแกร่งระดับเขตแดนเต๋าคอยให้คำชี้แนะก็คงจะดีอีกไม่น้อย
แต่ตอนนี้ การชุมนุมใหญ่จะมีขึ้นในอีกครึ่งเดือนข้างหน้า และฉินอวี่ก็มั่นใจอย่างมากว่าเขาจะต้องได้เป็ศิษย์ของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง ถึงเวลานั้น ด้วยความแข็งแกร่งของเขา เขาก็จะสามารถตามหาอาจารย์ที่มีฝีมือระดับสูงสักคนจากสำนักว่านจ้งได้อย่างแน่นอน และแน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือเหตุผลเกี่ยวกับสำนักยุทธ์ว่านจ้ง นั่นเป็สำนักที่ก่อตั้งโดยหวังชิง ยิ่งไปกว่านั้น เขา้าจะเข้าไปดูม้วนภาพที่หวังชิงทิ้งเอาไว้ในหอบรรพชนของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง ว่าแท้จริงแล้วเขาทิ้งความลับอะไรเอาไว้กันแน่
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ฉินอวี่ก็ส่ายศีรษะและพูดขึ้นว่า “น้ำใจของผู้าุโ ข้าน้อยรับไว้แล้วด้วยใจจริง ตระกูลฉินของข้ามีความเกี่ยวพันทางสายเืกับสำนักยุทธ์ว่านจ้งแห่งแดนนภาชิงเหลียนทางตะวันออก ดังนั้น ข้าจึงตัดสินใจเข้ารับการประเมินของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง เข้าเป็ศิษย์สำนักยุทธ์ว่านจ้ง”
สายตาของผู้าุโหวงถิงตกตะลึง หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็แหงนหน้ามองฟ้าและหัวเราะเสียงดัง “ฮ่าๆ ศิษย์เอ๋ย... เ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็ใคร? ข้าคือผู้าุโใหญ่ของสายชีพจรดินแห่งสำนักยุทธ์ว่านจ้ง! ดูเหมือนนี่คือลิขิต์แล้วล่ะ ในเมื่อเป็เช่นนี้ เหตุใดเ้าไม่มอบตัวเป็ศิษย์เสียเลยล่ะ”
หวงถิงผู้นี้ดูเป็คนใจร้อน เขาลากโต๊ะตัวที่อยู่ข้างๆ เข้ามาทันที จากนั้นปัดมือขวาขึ้นครั้งหนึ่ง กาเหล้าและจอกเหล้าก็ปรากฏขึ้นบนโต๊ะทันที จากนั้นหวงถิงก็รินเหล้าลงเต็มจอกอย่างรวดเร็ว ราวกับอดทนรอไม่ไหวอีกแล้ว
“สายชีพจรดิน?” ฉินอวี่ตกตะลึงอยู่ในใจ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกคุ้นชื่อนี้ขึ้นมาอย่างมาก ทำให้เขาครุ่นคิดอย่างว้าวุ่น ในอดีต สำนักเทียนฉีถูกแบ่งออกเป็สี่สายชีพจรได้แก่ ฟ้า ดิน เสวียน หวง
และในตอนนี้สำนักยุทธ์ว่านจ้งมีคนในสายชีพจรดินปรากฏขึ้นมาแล้ว ฉินอวี่จึงคาดเดาได้ว่า หวังชิงอาจมีการเลียนแบบบางอย่างมาจากสำนักเทียนฉี... ทำให้ในใจของฉินอวี่นั้นรู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก
ในเมื่อหวงถิงเป็ผู้าุโของสายชีพจรดินแห่งสำนักยุทธ์ว่านจ้ง ด้วยระดับการฝึกฝนของเขามีสิทธิ์ที่จะเป็อาจารย์ของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้น ผู้าุโเก้าที่เคยชุบเลี้ยงดูแลเขาก็เป็ผู้อาวุสในสายชีพจรดิน ดังนั้น ฉินอวี่จึงมีความสนใจในสายชีพจรดินเป็พิเศษ
เพียงแค่การมอบตัวเป็ศิษย์ครั้งนี้... มีเพียงเหล้าจริงหรือ?
ทันใดนั้น ฉินอวี่ก็ไม่คิดอะไรอีก รีบหยิบจอกเหล้าขึ้นมา คุกเข่าทั้งสองลง แสดงความเคารพสามหมอบก้มกราบ จากนั้นจึงพูดขึ้น “ศิษย์ฉินอวี่ ขอคารวะท่านอาจารย์!” และเขาก็มีความคิดหนึ่งขึ้นมาในใจ ในเมื่อมีอาจารย์เป็ผู้าุโแห่งสายชีพจรดิน ก็มีโอกาสจะได้เข้าหอบรรพชนแล้วใช่หรือไม่?
“ดี! ดี! ดีมาก! นับั้แ่วันนี้ไป เ้าก็เป็ศิษย์ของข้าหวงถิงแล้ว นี่คือป้ายคำสั่งของข้า ต่อไปภายหน้า หากใครกล้าทำอะไรเ้า ก็หยิบป้ายคำสั่งนี้ขึ้นมา” หวงถิงรับจอกเหล้าด้วยใบหน้าที่ตื่นเต้น เมื่อจิบเข้าไปคำหนึ่ง ใบหน้าก็แดงก่ำอย่างมาก และหยิบป้ายคำสั่งสีม่วงออกมา ก่อนจะวางไว้ในมือของฉินอวี่
ด้านหน้าของป้ายคำสั่งสีม่วงนี้มีตัวอักษรที่ดูเรียบง่ายว่า “ถิง” อยู่หนึ่งตัว ด้านหลังเป็รูปศาลาเล็กๆ ที่รายล้อมไปด้วยูเา ฉินอวี่รับมันมาด้วยความสงสัย จากนั้นก็ชำเลืองมองหวงถิงด้วยความแปลกใจ ราวกับจะบอกว่า การมอบตัวเป็ศิษย์ไม่ต้องมีพิธีการหรือ? มีเพียงการมอบป้ายคำสั่งหรือ?
ฉินอวี่ยังไม่ทันได้ถามอะไรออกไป อาจารย์หวงถิงก็เอ่ยขึ้นมา “ศิษย์ข้า ต่อไปเมื่อมีอาจารย์อยู่ จะไม่มีผู้ใดกล้าปฏิบัติไม่ดีกับเ้า เพียงแต่... ตอนนี้ข้ารู้สึกเหมือนจะสามารถทลายพลังที่กีดขวางอยู่ในร่างได้ จึงต้องหาสถานที่สำหรับทลายมันเสียก่อน... ดังนั้นจึงยังไม่อาจพาเ้ากลับสำนักยุทธ์ว่านจ้งได้ในตอนนี้ อ้อจริงสิ ผ่านไปอีกครึ่งเดือนจะมีการรับสมัครศิษย์ในสำนัก เมื่อถึงตอนนั้น ขอให้เ้านำป้ายคำสั่งนี้ติดตัวไป และตามพวกเขากลับไปสำนักเสียก่อน รออยู่ที่นั่นสักระยะหนึ่ง หากข้าทลายพลังเ่าั้ได้เมื่อไรจะรีบตามเ้ากลับสำนัก ว่าอย่างไร?”
ฉินอวี่ที่เพิ่งจะดีใจที่ได้เข้าสู่หอบรรพชนสำนักยุทธ์ว่านจ้งโดยเร็ววัน กลับต้องผงะ เมื่อเห็นความรู้สึกเขินอายบนใบหน้าของอาจารย์หวงถิง ฉินอวี่ก็เริ่มรู้สึกเหมือนกำลังหลงทาง และลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ไม่ทราบว่าครั้งนี้ท่านอาจารย์จะใช้เวลานานเพียงใด”
“เื่นี้นะหรือ... ยังบอกไม่ได้ บางทีอาจจะใช้เวลาหนึ่งเดือน เ้าต้องจำไว้ หลังจากเข้าสำนักยุทธ์ว่านจ้งไปแล้ว เ้าจะต้องถือป้ายคำสั่งนี้และแจ้งชื่อของข้า จากนั้นจะมีคนจัดการเื่การฝึกฝนยุทธ์ของเ้า เวลามีไม่มากแล้ว ข้าต้องขอตัวก่อน รอให้อาจารย์ทลายพลังที่เป็อุปสรรคนั่นได้เสียก่อน จะรีบกลับสำนัก” หวงถิงพูดจบ ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีโดยไม่ทันรอคำตอบของฉินอวี่
“อา... อาจารย์?” ฉินอวี่ส่งเสียงร้องเรียกขึ้นมา เมื่อพบว่าเขาออกไปแล้ว ฉินอวี่จึงก่นด่าขึ้น “เอ่อ... เป็ผู้าุโที่มีตัวอย่างไม่ดีเลยเชียว?”
และขณะที่หวงถิงกำลังออกไปจากเมืองหลักเทียนอู่เขาก็หยิบน้ำเต้าใส่เหล้าออกมา และแอบพูดออกไป “เหอๆ โชคดีที่ข้าหนีมาได้ไว... ไม่เช่นนั้นศิษย์คงจะต้องน้อยใจเ้าแน่ที่ไม่เป็ธรรมกับเขา... เพื่อจะทำลายพลังที่เป็อุปสรรคอยู่ในร่างนั้น อาจารย์กลับไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น... ช้าก่อน หากข้าไปเช่นนี้ แล้วมีผู้ใดเกิดพบเห็นร่างอสุนีลึกลับของเขาล่ะ... แย่แล้ว ต้องสร้างข้อจำกัดไว้เสียก่อนค่อยว่ากันอีกครั้ง”
พูดจบ หวงถิงก็แอบก้าวเข้าไปในห้องอย่างเงียบๆ