รัชศกเจิงเหอปีที่สอง ณ เมืองฉางอันสายลมหนาวพัดผ่านน่านฟ้าพาใบไม้โรยราลงสู่ดิน
ยามรุ่งสางของวันนั้นเสียงเกือกม้าดังกึกก้องสนั่นหวั่นไหวจนผู้คนในเมืองฉางอันตื่นใ รีบลุกขึ้นมาใช้สายตาสอดส่องผ่านช่องประตู พลันเห็นทหารเกราะดำขวบม้าตัวสูงใหญ่มุ่งหน้าไปทางถนนตะวันออกอันเป็ที่ตั้งของจวนองค์รัชทายาท
“หลิวจวี้อยู่ที่ใด!”
เสียงประกาศกร้าวจากหมอผีนามว่า “เจียงชง” ผู้ที่คอยเป่าหูให้ฮ่องเต้สั่งจับกุมผู้คนในตำหนักองค์รัชทายาท แต่ทว่าเขากลับไม่เห็นเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือองค์รัชทายาท ”เว่ยหลิวจวี้” ในสายตาของเจียงชง หลิวจวี้ก็เป็เพียงแค่คนโชคดีที่เกิดมาฐานะสูงส่ง สิบปีนับั้แ่เสด็จพ่อของหลิวจวี้ขึ้นครองราชย์ ขาบัลลังก์ัไม่เคยมั่นคง จนกระทั่งมารดาของหลิวจวี้ บุตรสาวสกุลเว่ย นามว่า “เว่ยจื่อฟู่” ให้กำเนิดพระธิดาองค์แรก องค์หญิงใหญ่เว่ย
ต่อมาน้องชายของเว่ยจื่อฟู่ได้ยกทัพโจมตีโม่เป่ย ที่แต่เดิมแคว้นฮั่นไม่เคยตอบโต้ซยงหนูที่เข้ามารุกรานนานร่วมร้อยปี บัดนี้ไม่เป็เช่นนั้นอีกต่อไป ฮ่องเต้จึงตั้งใจแน่วแน่ว่าพระโอรสองค์โตของตนจะต้องเกิดจากมารดาสกุลเว่ยเท่านั้น ซึ่งเว่ยจื่อฟู่ให้กำเนิดองค์หญิงถึงสามพระองค์ และในที่สุดก็ให้กำเนิดหลิวจวี้ หลังจากนั้นฮ่องเต้ถึงเริ่มเสด็จไปหาพระสนมอื่น
หลิวจวี้เกิดมาพร้อมกับตำแหน่งองค์รัชทายาท สามชันษาเริ่มศึกษา ห้าชันษาเริ่มฝึกวรยุทธ์ แปดชันษาเริ่มออกว่าราชการ โดยมีท่านน้าอย่างแม่ทัพใหญ่ “เว่ยชิง” และญาติผู้พี่อย่างแม่ทัพใหญ่ทหารม้า “ฮั่วชวี่ปิ้ง” ซึ่งทั้งสองเป็เสาหลักของราชวงศ์ฮั่น รวมถึงกองทัพใหญ่ที่มีเหล่าทหารกล้าอีกจำนวนนับไม่ถ้วนคอยหนุนหลัง ตำแหน่งของหลิวจวี้จึงมมั่นคงดั่งหินผา ยิ่งไปกว่านั้น ฮ่องเต้ผู้มีอำนาจสูงสุดในแคว้นไม่เคยมีความคิดที่จะยกบัลลังก์ให้โอรสคนอื่น ทั้งยังอุทิศตนอบรมสั่งสอนองค์รัชทายาท เป็ทั้งครูคนแรก เป็ทั้งที่ปรึกษา อีกทั้งให้อิสระทางความคิด เป็เสมือนราชสำนักขนาดย่อมให้องค์รัชทายาทได้ฝึกฝนตน หากวันใดฮ่องเต้ต เขาก็พร้อมเข้าควบคุมราชสำนักทันที แม้องค์รัชทายาทจะมีความเห็นทางการเมืองแตกต่างจากผู้เป็บิดา ที่ไม่ได้เห็นด้วยกับการก่อาขยายดินแดน และร้องขอให้ลดการเก็บภาษีจากราษฎรหนแล้วหนเล่า เพื่อให้พวกเขาได้ลืมตาอ้าปาก ทว่าฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะเก็บเอาไปคิด เป็เหตุให้สองพ่อลูกไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าใด ส่วนเหล่าพระอนุชาขององค์รัชทายาทล้วนถูกส่งไปปกครองตามหัวเมืองอื่นๆ และห้ามกลับมาเหยียบเมืองฉางอัน หากไม่ได้รับอนุญาต
หลิวจวี้ไม่ชอบเจียงชง หมอผีที่ชอบชักชวนฮ่องเต้แสวงหายาอายุวัฒนะ ด้วยเหตุนี้เจียงชงจึงไม่ชอบหลิวจวี้ด้วยเช่นกัน แต่ก็ทำอันใดไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายเป็ถึงองค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์ สูงส่งกว่าผู้คนทั้งแคว้น เป็รองเพียงคนผู้เดียวก็คือฮ่องเต้ ซึ่งแตกต่างจากเขาที่เป็เพียงหมอผี จึงทำได้เพียงเฝ้าจับตาดูอีกฝ่าย หากวันใดแคว้นนี้ตกอยู่ในมือของหลิวจวี้ เขาคงไม่แคล้วถูกปะาหรือไม่ก็ถูกเนรเทศเป็แน่
ทว่าบัดนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตร
ยามนี้ไร้ซึ่งฮั่วชวี่ปิ้งและเว่ยชิง อีกทั้งฮ่องเต้ก็เริ่มชราขึ้นทุกวัน
ฮ่องเต้ผู้ครองบัลลังก์มาครึ่งค่อนชีวิตก็นับว่าตนชราแล้ว คนเราเมื่ออายุมากขึ้น ย่อมต้องเกิดความคิดฟุ้งซ่าน รู้สึกเหงา รเบื่อ เริ่มกลัวความเจ็บป่วยและความตาย ฮ่องเต้เฒ่าจึงเกิดความคิดแสวงหายาอายุวัฒนะ โดยการคัดเลือกหญิงสาวเข้าวัง นานวันเข้าก็ยิ่งหลงมัวเมา ปลีกตัวจากผู้คน ทิ้งราชกิจทั้งหมดให้องค์รัชทายาท ขังตัวอยู่ในพระราชวังกานเฉวียนที่ตั้งอยู่นอกเมืองฉางอัน ฮ่องเต้ชราจึงได้ใกล้ชิดกับหมอผีและห่างไกลโอรสของตนมากขึ้นเรื่อยๆ
อยู่มาวันหนึ่ง อดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของเว่ยชิง บุตรชายของสมุหนายกกงซุนเหอนามว่า “กงซุนจิ้งเซิง” ถูกกล่าวหาว่าใช้มนต์ดำครอบงำฮ่องเต้ อีกทั้งลักลอบมีความสัมพันธ์กับองค์หญิงหยางสือ ฮ่องเต้เมื่อทราบเื่จึงสั่งจับสองพ่อลูกขังคุก ก่อนที่ทั้งสองจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา ส่วนองค์หญิงจูอี้และองค์หญิงหยางสือถูกตัดสินปะาชีวิต และบุตรชายทั้งสามของเว่ยชิงมีส่วนรู้เห็น จึงถูกตัดสินปะาชีวิตเช่นเดียวกัน ั้แ่นั้นมาอำนาจขององค์รัชทายาทก็ค่อยๆ อ่อนแอลง ยิ่งฮ่องเต้มอบหมายให้เจียงชงจัดการเื่นี้ เขาจึงไม่ปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือ เขาทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งหลักฐานเอาผิดนักโทษ ทั้งทรมานให้สารภาพและยัดเยียดความผิดให้ผู้อื่น โดยไม่สนว่าคนผู้นั้นจะเป็ขุนนางหรือราษฎร จนมีผู้เสียชีวิตนับหมื่นคน
ในที่สุดองค์รัชทายาทเว่ยก็ไร้ซึ่งที่พึ่งพิง
คืนวันนั้นเจียงชงดื่มฉลองทั้งคืน ก่อนจะนำกองกำลังไปจับกุมหลิวจวี้ในเช้าวันรุ่งขึ้น
บัดนี้องค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์จะกลายเป็นักโทษฏในกำมือเขา จะไม่ให้เขาตื่นเต้นได้อย่างไร ดาบในมือเจียงชงสั่นไม่ไหวแล้ว
ที่ผ่านมาเขาไม่กล้ากระทำการอันใดที่จะเป็การดูิ่หลิวจวี้ ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองคนผู้นั้นด้วยซ้ำ คนผู้นั้นวันๆ เอาแต่สร้างภาพเป็รัชทายาทผู้มีจิตใจดีมีเมตตา เป็นักบุญในคราบกษัตริย์ แค่ดาบไม้ก็คงไม่กล้าจับด้วยซ้ำไป เขาอยากจะเห็นด้วยตาตนเองนัก ว่าคนผู้นั้นมีหรือจะไม่รีบคุกเข่าร้องขอชีวิตจากเขา ฝูซู [1] มีกองกำลังนับล้านในมือยังมิอาจต้านทานได้ นับประสาอะไรกับหลิวจวี้ผู้ไร้ซึ่งกองกำลังใด
แต่หารู้ไม่ว่าเขาประเมินหลิวจวี้ต่ำเกินไป
เขาลืมไปว่าหลิวจวี้ไม่ใช่ฝูซู แต่เป็หลานชายของเว่ยชิง เป็ญาติผู้น้องของฮั่วชวี่ปิ้ง และยังเป็บุตรชายของหลิวเช่อ
“อยู่ที่ใด! พวกเ้าบอกข้ามาเร็วเข้า! หลิวจวี้มันอยู่ที่ใด! เห็นดาบนี่หรือไม่ หากไม่ยอมบอกข้ามาแต่โดยดีก็ต้องตาย! บอกข้ามา!” เจียงชงโมโหจนบ้าคลั่ง หันปลายดาบหาผู้คนในจวนองค์รัชทายาทพร้อมเอ่ยเสียงเหี้ยม
ผู้คนร่วมร้อยที่คุกเข่ากลางห้องโถงใหญ่ไม่ปริปากหรือเอื้อนเอ่ยคำใดออกมา ถึงแม้เจียงชงจะไล่ถามพวกเขาทีละคน ก็ได้แต่ฆ่าพวกเขาคนแล้วคนเล่า เพราะคำตอบที่ได้มีเพียงความเงียบเท่านั้น
ไม่ว่าเด็ก สตรีหรือคนชรา ไม่มีผู้ใดยอมปริปาก จู่ๆ เจียงชงก็เริ่มหวั่นใจกับความจงรักภักดีของคนพวกนี้ จนลืมสังเกตว่าทหารองครักษ์ที่อยู่ข้างหลังเขาก็ยังแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ไม่มีผู้ไดปริปาก
กระทั่งมีคนมารายงานว่ารัชทายาทได้ใช้ตราประทับของฮองเฮาปล่อยนักโทษจากคุกฉางอัน ภายในหนึ่งชั่วยามก่อน เขารวบรวมกำลังพลพร้อมอาวุธครบมือเข้ายึดถนนฝั่งตะวันออกไว้แล้ว
“นักโทษอย่างนั้นหรือ? ฮ่า!!! หากเขายอมจำนนแต่โดยดี บางทีฝ่าาอาจจะเมตตาไว้ชีวิตเขาก็ได้” เจียงชงกลับมองเป็เื่ตลก ที่คนผู้นั้นไม่รู้หรือว่าตราประทับในมือสามารถรวบรวมกำลังพลนับแสนได้? นักโทษหลายพันคน? นักโทษอย่างนั้นหรือ? คิดจะว่าตนเองเป็เจงกิสข่านผู้พิชิตดินแดนมองโกลหรืออย่างไร?
เจียงชงจึงส่งขันทีซูเหวินกลับพระราชวังกานเฉวียนเพื่อกราบทูลฮ่องเต้ว่าองค์รัชทายาทซ่องสุมกำลังพลคิดการฏ ในขณะที่ตัวเขาระดมกำลังทหารเพิ่มเพื่อรีบมือแล้วเช่นกัน
แต่ผู้ใดจะเล่าคาดคิดว่านักโทษเพียงไม่กี่พันคนจะเอาชนะกองกำลังทหารหลายหมื่นคนได้สำเร็จ ปกป้องเมืองฉางอันครึ่งหนึ่งไว้ด้วยความแข็งแกร่งประหนึ่งกรงเหล็ก องค์รัชทายาทเว่ยจิตใจดีมีเมตตา ดูแลทุกข์สุขของราษฎราหลายปี จึงเป็ที่รักของราษฎร หากจะให้กล่าวกันตามตรงก็คือทั้งชาวหูและชาวฮั่นล้วนรอคอยให้องค์รัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์ พวกเขาจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น พอพวกเขารู้ข่าวว่าหมอผีใส่ร้ายองค์รัชทายาท บีบบังคับให้เขาก่อฏ จึงเริ่มรวมตัวกันออกมาช่วยเหลือ
เจียงชงสู้อย่างไรก็สู้ไม่ได้ คนที่้าจับก็ยังจับไม่ได้ ทั้งยังเสียกำลังพลไปจำนวนมาก เขาจึงเริ่มหวั่นใจ
วันที่เก้าเดือนเจ็ด เจียงชงรายงานว่ารัชทายาทก่อฏ แต่ฮ่องเต้ไม่ทรงเชื่อ
วันที่สิบสองเดือนเจ็ด เจียงชงรายงานว่ารัชทายาทก่อฏอีกครั้ง แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่ทรงเชื่อ
กระทั่งวันที่ยี่สิบเดือนเจ็ด เจียงชงยังคงรายงานว่าองค์รัชทายาทฏ คราวนี้เขามาพร้อมหานซัวโหวและเสนาบดีหลิวชวีเหมา คนทั้งสามใส่ความว่าองค์รัชทายาทคิดชั่วก่อฏ ไม่เพียงแต่้ากำจัดขุนนางในราชสำนัก แต่ยังขู่สังหารบิดา ยุแยงจนฮ่องเต้กริ้วหนัก สั่งให้หลิวชวีเหมานำทหารไปตามจับตัวรัชทายาทกลับมา
ว่ากันว่าหลังจากคนพวกนั้นจากไป ฮ่องเต้ทรงยกยิ้มอย่างพอใจ ไม่คิดว่าโอรสที่ดูเหมือนจะอ่อนแอของตนจะกล้าหาญถึงเพียงนี้
เพื่อองค์รัชทายาทแล้ว ราษฎรนับหมื่นจากทั่วสารทิศของเมืองฉางอันต่างพร้อมใจออกมารวมตัวกันพร้อมอาวุธครบมือ เข้าปะทะกองกำลังของหลิวชวีเหมาอยู่ด้านนอกพระราชวังฉางเล่อ การต่อสู้เป็ไปอย่างดุเดือดถึงห้าวันห้าคืน ผืนดินชโลมเต็มไปด้วยเื ซากศพกระจัดกระจาย
“องค์รัชทายาทยอมกลับไปเข้าเฝ้าฝ่าากับพวกเราแต่โดยดีเถิด หยุดขัดขืนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เจียงชงแสร้งทำเป็โน้มน้าวให้อีกฝ่ายยอมจำนน
“หุบปาก! พวกหมอผีไร้สำนึก ยุแยงพ่อลูกให้แตกแยก เสี้ยมกษัตริย์ขุนนางให้แตกคอ! ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา ข้าพยายามเข้าเฝ้าเสด็จพ่อครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เ้าก็กีดกันข้าทุกทาง เป็เสด็จพ่อที่ไม่ยอมพบข้า หรือเป็เพราะเ้าไม่้าให้ข้าพบเสด็จพ่อ! ต่อให้เ้าคิดจะเอาอย่างหลี่ซือกับจ้าวเกา [2] แต่ก็น่าเสียดายที่ข้าไม่ใช่ฝูซู!”
หลิวจวี้เอ่ยจบก็รับธนูคันใหญ่จากคนข้างๆ ก่อนจะง้างสุดทางจนลูกธนูพุ่งแรงราวกับดาวตก
ขณะที่เจียงชงอ้าปากค้าง อยากจะพูดบางอย่าง ทว่าจู่ๆ ตัวเขาก็แข็งทื่อ ก้มมองลูกธนูที่ปักกลางอกตนด้วยแววตาสั่นไหว เงยหน้ามองหลิวจวี้ด้วยแววตาหวาดกลัว ก่อนร่างไร้สติจะทิ้งดิ่งลงจากหลังม้า
สองฝ่ายปะทะกันผ่านไปสิบกว่าวัน นับวันฝ่ายกองกำลังทหารก็ยิ่งเยอะ ในขณะที่คนของหลิวจวี้ถูกสังหารและาเ็มากขึ้นเรื่อยๆ หลิวจวี้มองร่างเหล่าผู้เสียสละเพื่อเขาด้วยแววตาเศร้าสร้อย ก่อนจะเอ่ยถามคนข้างๆ “อี๋ชุน เ้าว่าเสด็จพ่อสิ้นพระชนม์ไปแล้วจริงๆ หรือไม่?”
ชายหนุ่มที่อายุมากกว่าเขาสองสามปีทอดตามองทหารและม้าจำนวนมากที่อยู่ห่างไกลด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เขาเป็บุตรชายคนโตของฉางผิงโหวเว่ยชิง และเป็ญาติผู้พี่ของหลิวจวี้ เพราะคุณงามความดีที่บิดาสร้างไว้ เขาจึงได้ตำแหน่งอี๋ชุนโหวมาั้แ่วัยเยาว์ สหายวัยเดียวกันจึงเรียกเขาว่าอี๋ชุน หลังเว่ยชิงผู้เป็บิดาจากไป เขาจึงต้องสืบตำแหน่งฉางผิงโหว เขาควรจะถูกลงโทษปะาชีวิตไปั้แ่ก่อนหน้านี้ แต่เพราะได้รับการช่วยเหลือจากคนของหลิวจวี้จึงยังมีชีวิตรอดมาได้ เขาเป็นักรบที่มีความทะเยอทะยานเฉกเช่นบิดา ร่วมออกรบั้แ่ยังเล็ก แต่โชคไม่ดีที่เขาอยู่ใน่วัยเดียวกันกับฮั่วชวี่ปิ้ง พวกเขาจึงกลายเป็แค่เงาตามหลังคนผู้นั้น
“ข้าไม่รู้”
“ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดเ้ายังกล้าติดตามฏอย่างข้า?”
เว่ยคั่งหันมายกยิ้มแ่เบาให้อีกฝ่าย หลิวจวี้ถึงกับตกอยู่ในภวังค์แห่งความสับสน เมื่อครู่เหมือนเห็นท่านน้าที่แสนอ่อนโยนและมีอารมณ์ขัน นี่เป็ครั้งแรกที่เขาสังเกตเห็นว่าพ่อลูกคู่นี้คล้ายกันยิ่งนัก
ชีวิตในวัยเยาว์ที่ผ่านมา นอกจากพี่สาวทั้งสามก็ไม่มีพี่น้องคนอื่นกล้าเล่นกับเขาเลย เพราะสถานะอันสูงส่งจึงไม่มีผู้ใดกล้าปฏิบัติต่อเขาเหมือนเด็กทั่วไป ยามนั้นหลิวจวี้เฝ้ารอที่จะได้ออกจากวังไปจวนแม่ทัพอันเป็ที่อยู่ของท่านน้าและญาติผู้พี่ทั้งสาม หรือไม่ก็เฝ้ารอคอยให้เว่ยคั่ง ซึ่งก็คืออี๋ชุนโหวตัวน้อยในยามนั้นมาหาเขา เพราะทุกครั้งที่มาพบเขา อี๋ชุนมักจะแอบเอาของแปลกๆ มากมายมาแบ่งเขา ไม่ว่าจะเป็ขนมหรือของเล่น ล้วนแล้วแต่เป็ของที่เขาไม่คุ้นตา แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือความสุขที่ได้เล่นสนุกกับสหาย ไม่มีสิ่งอื่นใดเทียบได้ เขาจำได้ว่าครั้งหนึ่งท่านน้าทำดาบไม้สองเล่มให้พวกเขาเล่นต่อสู้ เว่ยคั่งทำดาบไม้ของเขาหักโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้องค์รัชทายาทตัวน้อยร้องไห้เสียงดังลั่น แต่ความจริงเขาไม่ได้คิดโกรธเคืองญาติผู้พี่ เพียงชอบแกล้งให้เว่ยคั่งถูกท่านน้าลงโทษ
จนกระทั่งพวกเขาเติบใหญ่ จึงได้เข้าใจฐานะอันแตกต่างระหว่างกษัตริย์และขุนนาง เดิมทีท่านน้าก็เป็คนอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่แล้ว พอเขาเติบใหญ่แม้แต่ญาติผู้พี่อย่างเว่ยคั่งก็ยังระมัดระวังคำพูดและการกระทำ ไม่เคยกระทำการอันใดที่เป็การล่วงเกินเขา วันวานที่เคยแอบมุมห้องเพื่อแบ่งปันสิ่งของให้แก่กันก็ไม่อาจหวนคืน
แต่เว่ยคั่งในยามนี้กำลังส่ายหน้า “ก่อนท่านพ่อของข้าจะสิ้นใจ เขาได้สั่งเสียไว้สองเื่ เื่แรกคือ ขอให้ฝ่าาปกป้องและเชื่อพระทัยในตัวองค์รัชทายาท เื่ที่สองคือ ขอให้ข้าคอยคุ้มครององค์รัชทายาท”
เว่ยคั่งทอดสายตาลึกล้ำไปทางพระราชวังกานเฉวียน “คนผู้นั้นทอดทิ้งเ้า แต่ข้าไม่”
หลิวจวี้ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาก็พลันร้อนผ่าว ก่อนจะรีบหันหน้าหนีไปอีกทาง
“ท่านน้านำทัพปราบปรามเผ่าน้อยใหญ่ในดินแดนทุ่งหญ้าหนแล้วหนเล่า น้อยนักที่เขาจะกลับมาพร้อมความพ่ายแพ้ ฉะนั้นพวกเราห้ามทำให้เขาขายหน้าเด็ดขาด”
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ฝูซู (扶苏) คือ พระโอรสองค์โตของจิ๋นซีฮ่องเต้
[2] หลี่ซือกับจ้าวเกา (李斯赵高) คือ ขุนนางและขันทีที่วางแผนกำจัดองค์รัชทายาทฝูซูด้วยการปลอมแปลงพระราชโองการ เป็เหตุให้ฝูซูต้องปลิดชีพตนเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้