หลังจากปรากฏตัวขึ้นหงยินก็ไม่เหลือบแลผู้คนรอบกายแต่กลับมองดูสุนัขป่าอัสนีบาตที่พุ่งเข้าหาตนเองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ดวงตาหงยินปรากฏร่องรอยโศกเศร้า มันโบกมือขวาวูบก็ััหัวสุนัขป่าตรงหน้าอย่างนุ่มนวล จากนั้นสุนัขป่าขนาดมหึมาที่กระโจนเข้าใส่ก็พลันนิ่งค้างกลางอากาศราวกับถูกประคองไว้ด้วยพลังที่มองไม่เห็น!
หงยินลดมือขวาลงทีละน้อย สุนัขป่าอัสนีบาตก็ลงสู่พื้นราวกับถูกหงยินวางลง แม้จะถูกสยบเอาไว้แต่สุนัขป่าอัสนีบาตยังคงคำรามเสียงต่ำพยายามตะเกียกตะกายเข้าจู่โจมใส่ ยามที่มองดูสายตาหงยินก็ยิ่งทวีความโศกเศร้ามากขึ้น
ยามกะทันหัน บนชั้นสองของภัตตาคารกลับตกอยู่ในภวังค์เงียบงันอย่างประหลาด หลงเหลือเพียงสุนัขป่าอัสนีบาตที่ยังคงส่งเสียงคำรามทุ้มต่ำอยู่
เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้าเปลี่ยนแปลงไป ชายหนุ่มชุดดำก็พลันสะดุ้งรู้สึกตัว ใบหน้ามันเปี่ยมแววเหลือเชื่อ มันถึงกับล่าถอยไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัวก่อนจะชี้นิ้วยังหงยินกล่าวว่า “เ้า เ้าเป็ใคร?!”
คงเป็การดีกว่าหากเงียบงันไม่เอ่ยปาก เพราะคำพูดของมันเรียกความสนใจจากหงยินที่กำลังก้มศีรษะมองดูสุนัขป่าอัสนีบาต ผู้มาใหม่เงยหน้าขึ้นมองมาด้วยสายตาแหลมคมดุจใบมีด ในสายตาของชายหนุ่มชุดดำราวกับมันมองเห็นเงาร่างสุนัขป่าสีแดงฉานดั่งโลหิตขนาดมหึมาทาบทับอยู่ด้านหลังหงยิน จากนั้นรังสีอำมหิตที่บีบคั้นจนลมหายใจแทบขาดห้วงก็พุ่งมาปะทะใบหน้ามัน
“เ้ามาจากสำนักเ้าอสูร?” หงยินถามด้วยน้ำเสียงเ็าขณะที่เพ่งตามองอีกฝ่าย
คำถามนี้ปลุกชายหนุ่มชุดดำขึ้นจากความตื่นตะลึง พร้อมกับภาพลวงตาตรงหน้าที่สาบสูญไป ทั้งร่างมันค่อยผ่อนคลายลง ยามนี้ชายหนุ่มชุดดำรู้สึกราวกับเพิ่งรอดพ้นความตายอย่างหวุดหวิด มันถอยกายอย่างต่อเนื่องอีกครั้งก่อนจะกล่าววาจาอย่างเร่งร้อน “ข้า ข้าคือหลี่หลง บุตรชายผู้าุโแห่งสำนักเ้าอสูร! สำนักข้าคือหนึ่งในสิบสำนักใหญ่ อาจารย์อาข้าอยู่ไม่ไกลจากที่นี่! เ้า เ้าไม่อาจทำร้ายข้า! ไม่เช่นนั้นสำนักเ้าอสูรจะไม่ละเว้นเ้า!”
ไม่ว่าผู้ใดก็มองออกว่ามันแตกตื่นเสียขวัญจนไม่หลงเหลือเค้าความโอหังตามเดิมอีก มันรีบเปิดเผยที่มาของตนมิหนำซ้ำถึงกับอ้างชื่อสิบสำนักใหญ่ด้วยหวังว่าจะสามารถขู่ขวัญอีกฝ่ายได้
หลังจากหงยินได้ยินคำพูดมัน แก้วตาก็หดวูบ จิตสังหารสาดประกายเจิดจ้าจากดวงตา ขยับเท้าเพียงก้าวเดียวก็มาถึงตรงหน้าหลี่หลงในพริบตา
มิผิด เพียงก้าวเดียว ไป๋หยุนเฟยมองเห็นอย่างชัดตาว่ามันก้าวออกไปเพียงก้าวเดียว และยามที่เท้าััพื้นร่างของหงยินก็ไปปรากฏตรงหน้าหลี่หลงที่ห่างออกไปหลายวาอย่างฉับพลัน
ไป๋หยุนเฟยลอบสะท้านใจรีบกวาดตามองสุนัขป่าอัสนีบาตที่เมื่อครู่ถูกสยบจนไม่อาจเคลื่อนไหวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดก่อนจะขยับถอยหลังเล็กน้อย ไม่ว่าผู้ใดก็มองออกว่าบุรุษที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันผู้นี้มีฝีมือที่ร้ายกาจยิ่งนัก แต่กระนั้นดูเหมือนคนผู้นี้จะไม่แยแสไป๋หยุนเฟยแม้แต่น้อย ทางที่ดีตัวมันควรรอดูท่าทีไปก่อน
หงยินยื่นมือขวาไปคว้าจับข้อมือซ้ายของอีกฝ่าย ดวงตามันทอแววอำมหิตวูบพร้อมกับเสียงกระดูกแตกหักดังขึ้น ที่แท้หงยินบีบกระดูกแขนของหลี่หลงหักไป!
“อ๊าก!!!”
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังจากปากหลี่หลงขณะที่ยื่นมือขวาออกหมายจะผลักหงยินออกไป แต่ทั้งร่างของมันกลับไม่เชื่อฟัง ยามนี้หลี่หลงไม่อาจขยับเคลื่อนไหวได้แม้แต่น้อย ความเ็ปเสียดกระดูกที่แพร่กระจายจากแขนซ้ายแทบทำให้มันสิ้นสติไป
หงยินแค่นเสียงเ็า หลังจากยื่นมือซ้ายใส่นิ้วมือของอีกฝ่ายแหวนสีดำบนนิ้วกลางซ้ายของหลี่หลงก็ตกไปอยู่ในมือมัน
จากนั้นหงยินสะบัดมือเหวี่ยงหลี่หลงลอยละลิ่วออกไปหลายวาอย่างไม่นำพา หลังจากร่วงกระแทกพื้นหลี่หลงค่อยได้สามารถขยับเคลื่อนไหวได้ดังเดิม มันกุมข้อมือซ้ายพลางคร่ำครวญไม่หยุดยั้ง
หงยินไม่แม้แต่จะเหลือบแลมัน เพียงสวมแหวนไว้บนมือซ้ายและเดินไปที่ข้างตัวสุนัขป่าอัสนีบาต ดวงตามันทอแววโศกเศร้าอีกคราก่อนจะตบหลังสุนัขป่าสีเทาอย่างแ่เบา สุนัขป่าขนาดมหึมาก็ถูกดึงดูดเข้าสู่แหวนช่องมิติสาบสูญไป
หลังจากสงบจิตใจลงได้ หงยินก็เขม้นมองหลี่หลงที่ตะเกียกตะกายยืนขึ้นด้วยสีหน้าเ็าก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ไสหัวไป! บอกต่อผู้ที่เ้าเรียกหาเป็อาจารย์อาว่าข้าจะรอคอยมันอยู่ที่เมืองชุ่ยหลิวแห่งนี้!”
หลี่หลงที่พยายามข่มกลั้นความเ็ปสุดแสนบนแขนซ้ายมองดูแหวนบนมืออีกฝ่ายก่อนจะกล่าวอย่างตื่นตะลึง “เ้า...”
“ไสหัวไป!”
ยามที่หลี่หลงสบตากับหงยิน ก็พบเห็นแววตาอีกฝ่ายเปี่ยมด้วยจิตสังหารที่พยายามระงับสุดกำลัง ทั้งร่างมันจึงสั่นสะท้านไม่กล้าเอ่ยปากกล่าววาจารีบเดินโซเซลงบันไดหายลับไป
ไป๋หยุนเฟยมองดูหงยินที่ใช้ท่าทีเหม่อลอยจับจ้องแหวนบนมือ ดวงตาไป๋หยุนเฟยก็ทอประกายวูบก่อนจะเคลื่อนกายถอยหลังอย่างเชื่องช้าขณะเดียวกันก็โบกมือซ้ายที่ด้านหลังบอกใบ้ให้หญิงสาวทั้งสองเตรียมจากไป
แต่กระนั้น ยามที่เคลื่อนกายไปได้สามก้าว หงยินที่ก้มหน้าพึมพำกับตนเองก็พลันยืดกายขึ้นและมองมาที่ไป๋หยุนเฟย มิคาดว่าบนใบหน้าหงยินกลับมีรอยยิ้มเปี่ยมไมตรี มันโค้งศีรษะแก่ไป๋หยุนเฟยเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “น้องชายอย่าได้หวั่นเกรง ข้าไม่มีเจตนาร้าย...”
ไป๋หยุนเฟยชะงักค้าง ในมือกระชับทวนเปลวอัคคีแแ่ มันตั้งท่าป้องกันอย่างรัดกุมจับจ้องอีกฝ่ายอยู่ครู่ใหญ่จึงกล่าวเสียงทุ้ม “ท่านมาที่นี่เพราะหลี่หลงแต่มันจากไปแล้ว และพวกเราก็เป็เพียงผู้ที่ผิดใจกับมัน หากจะว่าไปพวกเรายังต้องขอบคุณท่านที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือด้วยซ้ำ วันนี้พวกเรายังมีเื่บางอย่างต้องกระทำจึงขออำลาในบัดดล”
หลังกล่าวจบก็เก็บทวนเปลวอัคคีเอาไว้ก่อนจะปรายตาบอกใบ้แก่หญิงสาวทั้งสอง และหันกายเตรียมจากไป
“ช้าก่อนน้องชาย ข้ามีเื่บางอย่างจะบอกเ้า”
ไป๋หยุนเฟยยั้งเท้าหยุดและหันกลับมาถามด้วยความสงสัย “ท่านรู้จักข้า?”
“ฮ่า ฮ่า พวกเราไม่รู้จักกันแม้แต่น้อย แต่ข้าทราบเื่บางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเ้า เ้ายอมสนทนากับข้าสักครู่หรือไม่?” หงยินยังคงกล่าววาจาอย่างยิ้มแย้ม
ไป๋หยุนเฟยลังเลเล็กน้อย คนผู้นี้ฝีมือสูงส่งจนมันไม่อาจเปรียบติดแต่กลับใช้คำพูดต่อมันอย่างสุภาพ นี่ย่อมเพียงพอจะยืนยันความจริงใจได้ มิหนำซ้ำไป๋หยุนเฟยก็มองไม่เห็นความมุ่งร้ายใดในดวงตาของอีกฝ่าย ราวกับคนผู้นี้สนใจจะคบหาเป็สหายกับมันอย่างแท้จริง
หลังจากใคร่ครวญชั่วขณะ ไป๋หยุนเฟยจึงพยักหน้าเล็กน้อย
หงยินเห็นดังนั้นจึงหัวร่อโดยไม่กล่าวอันใด จากนั้นหันกายเดินลงบันไดไป ไป๋หยุนเฟยและหญิงสาวทั้งสองจึงติดตามมันลงไป หลังจากโยนเหรียญทองอย่างไม่แยแสให้แก่เถ้าแก่เป็ค่าเสียหาย ทั้งหมดก็ออกจากภัตตาคารไปทันที
หงยินมองดูหญิงสาวทั้งสองที่ด้านหลังไป๋หยุนเฟยพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย ไป๋หยุนเฟยเข้าใจความหมายจึงหันไปกล่าวกับหลิวเมิ่ง “เมิ่งเอ๋อร์ ท่านและเสี่ยวหนิงรออยู่ที่นี่สักครู่ ข้าจะกลับมาโดยเร็ว”
หลิวเมิ่งพยักหน้าด้วยท่าทีกังวล พลางกล่าวเสียงค่อย “อืม หยุนเฟยท่านระวังตัวด้วย ข้าจะรอท่านที่นี่...”
……
ไป๋หยุนเฟยติดตามหงยินเข้าไปในตรอกว่างเปล่าที่ห่างออกไปไม่ไกล หงยินหันมองรอบด้านก่อนจะหยุดเท้าหันมาหาไป๋หยุนเฟย มันพยักหน้าเล็กน้อยกล่าวว่า “น้องชาย เ้าชื่ออะไร?”
“ไป๋หยุนเฟย”
“อืม ข้าชื่อหงยิน” หลังจากแนะนำชื่อตนเองออกไป หงยินก็เอียงคอมองเสี่ยวถังบนไหล่พร้อมกับกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “นี่เป็สหายข้านามว่าเสี่ยวถัง อย่าได้คิดว่ามันเป็เพียงมุสิกตัวเล็กธรรมดา สหายข้าเป็อสูริญญาที่ร้ายกาจยิ่งนัก”
ไป๋หยุนเฟยงงงันวูบ มันมองดู‘มุสิกตัวเล็ก’ด้วยความประหลาดใจ กระนั้นนี่ก็ไม่ใช่เวลาที่สมควรแสดงความอยากรู้อยากเห็นจึงประสานมือแก่หงยินพลางกล่าวว่า “ท่านเรียกข้ามาที่นี่มีเื่อันใดบอกต่อข้า?”
“ฮ่า ฮ่า ดูท่าเ้ายังสงสัยตัวข้าอยู่ ขอบอกต่อเ้าว่าที่ข้าอยากรู้จักเ้าเป็เพราะทราบความสัมพันธ์ระหว่างเ้ากับสำนักชะตาลิขิต” แทนที่จะตอบคำถามในทันที หงยินกลับเปิดเผยก่อนว่าไฉนจึงมาพบไป๋หยุนเฟย
ไป๋หยุนเฟยประหลาดใจไม่น้อย “ท่านมาจากสำนักชะตาลิขิต?”
“ไม่ใช่ ข้าและสำนักชะตาลิขิตไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน แต่เมื่อสองวันก่อนข้ามีโอกาสสนทนากับผู้าุโฉินเจิ้งแห่งสำนักชะตาลิขิต อืม ท่านคือผู้าุโที่ไปพบเ้าในคืนนั้นเอง”
ไป๋หยุนเฟยเงียบงันไปราวกับในใจมีความคิดขัดแย้งกันเอง หงยินก็ไม่ขัดจังหวะเพียงรอคอยอย่างเยือกเย็น ครู่ต่อมาไป๋หยุนเฟยจึงเงยหน้าอีกครั้งก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยท่าทีผ่อนคลายลง “ถ้าเช่นนั้นท่านมีเื่อันใดจะบอกข้า พี่หงยิน?”
หงยินกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ข้าพบเห็นเื่ราวบางอย่าง และรู้สึกว่าสมควรบอกต่อเ้า เ้า...”
……
หลิวเมิ่งและเสี่ยวหนิงยืนอยู่ที่หน้าแผงขายของกระจุกกระจิกที่อยู่ถัดจากภัตตาคาร เสี่ยวหนิงกำลังเลือกดูสิ่งของที่วางเรียงรายบนแผงด้วยท่าทีสนใจ แต่หลิวเมิ่งกับเพ่งตามองตรอกที่ไป๋หยุนเฟยและหงยินเดินเข้าไปด้วยท่าทีเหม่อลอย
จู่ๆดวงตานางก็เป็ประกายเมื่อเห็นไป๋หยุนเฟยเดินออกมาจากตรอกตรงเข้ามาหา หลิวเมิ่งแสดงสีหน้ายินดีพร้อมกับฉุดดึงเสี่ยวหนิงเดินเข้าหาไป๋หยุนเฟย
“เป็อย่างไรบ้างหยุนเฟย? คนผู้นั้นเป็ใคร?” หลิวเมิ่งเอ่ยปากถามขณะมองดูไป๋หยุนเฟยด้วยท่าทีห่วงใย
“โอ ข้าไม่เป็ไร อย่าได้กังวล...” ไป๋หยุนเฟยสั่นศีรษะ แต่ก็ไม่ได้ตอบคำถามถัดมาของหลิวเมิ่ง ตรงข้ามชายหนุ่มราวกับนึกเื่บางอย่างออกจึงเอ่ยปากถาม “จริงสิ เมิ่งเอ๋อร์ ก่อนหน้านี้ท่านมีเื่จะบอกข้า มีเื่อะไรหรือ?”
“โอ? เื่นี้...” หลิวเมิ่งคาดไม่ถึงว่าไป๋หยุนเฟยจะถามเื่นี้อย่างกะทันหัน หลังจากสะดุ้งใจึงก้มศีรษะลง ใบหน้านางก็กลายเป็แดงซ่าน ผ่านไปเนิ่นนานจึงกล่าวด้วยเสียงแ่เบา “นั่น นั่นคือ... บิดาข้ากำลังเดินทางมายังชุ่ยหลิว ข้าอยาก ข้าอยากพาท่านไปพบบิดา...”
“ว่ากระไร?!” ไป๋หยุนเฟยตะลึงงันก่อนจะถามด้วยท่าทีแตกตื่น คิดว่าตนเองฟังผิดไป
หลิวเมิ่งก้มศีรษะเงียบงัน ผมยาวสลวยของนางพลิ้วไสวเหนือหัวไล่ปิดบังใบหน้าเอาไว้จนไม่อาจมองเห็นชัดตา
เสี่ยวหนิงที่ด้านข้างจึงกล่าวตัดบทว่า “คุณชายหยุนเฟย เื่เป็เช่นนี้ เมื่อวานมีคนจากตระกูลหลิวมาพบคุณหนูและบอกต่อนางว่านายท่านทราบแล้วว่าคุณหนูอยู่ที่เมืองชุ่ยหลิว ทั้งยังมีโทสะอย่างยิ่งที่นานแล้วคุณหนูก็ยังไม่ยอมกลับบ้าน นายท่านจึงออกเดินทางมาที่นี่ด้วยตนเอง คาดว่าท่านผู้เฒ่าจะมาถึงภายในวันนี้ อาจบางทีมาเพื่อพาคุณหนูกลับบ้าน ดังนั้น... คุณหนูจึง้าให้ท่านไปพบนายท่าน เนื่องเพราะท่านบรรลุด่านวีรชนิญญาด้วยวัยเพียงเท่านี้ย่อมพบความสำเร็จอันใหญ่หลวงในอนาคต อาจบางทีหลังจากพบกับท่าน นายท่านจะ... จะยินยอมให้คุณหนูคบหาท่าน”
“นี่...” สีหน้าไป๋หยุนเฟยกลายเป็ว้าวุ่นสับสน ราวกับไม่ทราบจะรับมือกับเื่ราวที่เพิ่งรับทราบอย่างกะทันหันนี้อย่างไรดี
ถึงตอนนี้ ราวกับรวบรวมความกล้าเพียงพอแล้ว หลิวเมิ่งจึงเงยหน้าที่งดงามขึ้นมองดูไป๋หยุนเฟย พร้อมกับกล่าวอย่างนุ่มนวล “หยุนเฟย เมื่อใดที่บิดาข้ามาถึง ท่านผู้เฒ่าต้องบังคับให้ข้ากลับบ้านไปเฝ้าหลุมศพจางหยางเป็แน่... ท่านจะไปพบบิดากับข้าหรือไม่? ข้าหมายถึง หมายถึงหากพวกเราจะคบหากัน ข้าคิดว่า... คิดว่าบิดาจะเห็นชอบด้วย”
ไป๋หยุนเฟยมองดูหลิวเมิ่งด้วยท่าทีตะลึงงัน กระทั่งหญิงสาวเริ่มหวาดหวั่นว่ามันจะปฏิเสธ เสียงสั่นเทาของไป๋หยุนเฟยก็แว่วเข้าหูนาง
“ตกลง คืนนี้... เวลาใด?”
หลิวเมิ่งเงยหน้าขึ้นกล่าวด้วยสีหน้ายินดี “อืม ข้าไม่ทราบว่าบิดาจะมาถึงเวลาใดเช่นกัน เสี่ยวหนิงและข้าจะไปพบท่านผู้เฒ่าก่อน จากนั้น... ข้าจะอยู่สนทนากับบิดาและให้เสี่ยวหนิงไปพาท่านมาดีหรือไม่?”
ไป๋หยุนเฟยเงียบงันไปชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้ากล่าวว่า “ตกลง ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปรอฟังข่าวจากท่านที่โรงเตี๊ยม”
“อืม! เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน หยุนเฟยท่านก็สมควรกลับไปเตรียมตัว ข้าคิดว่าบิดาต้องยินยอมให้ท่าน...”
หลังจากมองดูเงาร่างของหญิงสาวทั้งสองหายลับไปกับฝูงชน ไป๋หยุนเฟยก็หันกายไปด้วยสีหน้าว้าวุ่น จากนั้นร่างมันจะหายลับไปจากอีกฝั่งถนน
