ฉินอวี่เงยหน้าขึ้นและมองออกไป เมื่อเขามองเห็นหญิงสาวชุดกระโปรงสีแดงเพลิงคนนั้น ฉินอวี่ก็ใอย่างมาก
ช่างเป็คนงามที่สะกดผู้คนได้คนหนึ่งเลยทีเดียว!
จากการที่ได้กำเนิดเป็มนุษย์มาสองภพ ในบรรดาหญิงสาวที่ฉินอวี่ได้พบเจอมา มีหญิงงามจำนวนไม่น้อยที่งดงามโดดเด่น เช่นเดียวกับสำนักเทียนฉีที่มีสี่ยอดหญิงงาม ซึ่งโจวเสวี่ยฉิงก็เป็หนึ่งในนั้น และหลังจากเกิดใหม่ในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็จื่อซวินเอ๋อ หลิงเหยาและฉู่เยว่ฉาน ทุกคนต่างก็มีความงามบาดตาดั่งเทพธิดาจากสรวง์ทั้งสิ้น
เมื่อเทียบหญิงสาวตรงหน้ากับฉู่เยว่ฉาน จื่อซวินเอ๋อ และหลิงเหยาแล้ว นับว่าไม่มีใครเหนือไปกว่าใครเลย แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึงคือ คือลักษณะนิสัยที่เฉพาะตนของนาง ไม่เพียงแต่จะมีความสวยงามอย่างจื่อซวินเอ๋อ บริสุทธิ์ใสซื่ออย่างฉู่เยว่ฉาน นางยังมีความไร้เดียงสาอย่างหลิงเหยา!
หากไม่ได้พบเห็นด้วยตนเอง ฉินอวี่ก็ยากที่จะเชื่อว่าอารมณ์อันโดดเด่นหลากหลายจะสามารถปรากฏอยู่ในคนคนเดียวได้
ผมสีดำปลิวไสวตามสายลม ตัดกันกับชุดกระโปรงสีแดงเพลิงที่งดงาม คิ้วเรียวยาว ดวงตาทั้งคู่ดำสนิทและแจ่มใส ราวกับดวงดาราและดวงจันทร์ จมูกโด่งงามวิจิตร แก้มเป็สีชมพูระเรื่อ ริมฝีปากแดงราวกับแต้มด้วยผลพลัม ใบหน้าอันไร้ที่ติงดงามน่าเสน่หาอย่างเป็ธรรมชาติ ผิวสีขาวอมชมพู แม้ว่าชุดกระโปรงจะกว้างและตัวใหญ่ แต่กลับไม่สามารถปกปิดรูปร่างส่วนเว้าส่วนโค้งอันงดงามที่น่าดึงดูดใจไว้ได้ ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยความสง่างาม ดวงตาที่ใสซื่อของนางเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา
นางย่างกรายมาเบาๆ ค่อยๆ เดินใกล้เข้ามา ทำให้เหล่าอัจฉริยะต่างเต็มไปด้วยความงุนงง ศิษย์อัจฉริยะหญิงต่างถูกรัศมีของนางบดบัง ดังนั้นแล้ว ทุกคนจึงไม่สนใจต่อชายหนุ่มผมม่วงในชุดสีขาวที่ด้านหลังของหญิงสาวอีก
แม้แต่ชายหนุ่มชุดสีม่วงก็ลืมเื่ฉินอวี่ไป และลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปทั้งสิ้น สายตาจับจ้องไปยังหญิงสาวที่กำลังเดินเข้ามา
ฉินอวี่เลิกคิ้วขึ้น และสามารถคาดเดาสถานะของหญิงสาวคนนี้ได้ทันที นางจะต้องเป็เ้าภาพในการจัดงานเลี้ยงครั้งนี้ โหมวจิ่นซิ่วแห่งตระกูลโหมวของตี้หวัง!
เมื่อเ้าภาพมาถึงแล้ว เกรงว่าต่อให้สู้กันก็คงจะไม่ได้ เป้าหมายหลักก็สำเร็จแล้ว ฉินอวี่จึงไม่อยากดื้อรั้นที่จะสู้กับชายหนุ่มชุดสีม่วงอีก จึงรีบเรียกเก็บอสุนี์ประจำตัว และเงยหน้าขึ้นมองโหมวจิ่นซิ่วอีกครั้ง
สายตาของโหมวจิ่นซิ่วได้ชำเลืองผ่านชายหนุ่มชุดสีม่วงไปมองฉินอวี่
เมื่อดวงตาของทั้งสองคนสบตากัน ฉินอวี่ก็ใช้มือข้างหนึ่งไพล่ไปด้านหลัง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความชัดเจนและมั่นคง
โหมวจิ่นซิ่วหยุดฝีเท้าลงทันที สายตาของนางมองไปยังฉินอวี่อย่างเฉียบคม โดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
“ช่างเป็หญิงสาวที่แปลกยิ่งนัก!” ฉินอวี่ใ แม้ว่าโหมวจิ่นซิ่วจะไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา แต่ในสายตาของนางที่จ้องตรงมาก็ทำให้ฉินอวี่ต้องตกตะลึง นี่คือท่าทีของคนที่มีใจแข็งแกร่งราวกับเหล็ก เป็คนที่ไม่บรรลุเป้าหมายก็ไม่ยอมเลิกรา
มิน่าล่ะ จึงไม่แปลกใจเลยที่สามารถเป็หนึ่งในสามสิบหกขุนพล์ได้ด้วยระดับฝึกฝนขั้นเทพ์!
หลังจากสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ฉินอวี่ก็ละสายตากลับมา และยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะยกกำปั้นขึ้นประสานกัน “หลี่โหย่วฉายคารวะสหายโหมว”
จากนั้นทุกคนจึงได้สติกลับมา ชายหนุ่มชุดม่วงที่ด้านข้างฉินอวี่ก็รู้สึกตัวขึ้นมาเช่นกัน เพียงแต่เมื่อได้พบกับชายหนุ่มผมม่วงในชุดสีขาวข้างกายโหมวจิ่นซิ่ว เขาก็ดูนิ่งไป ก่อนจะมีสีหน้าที่ตื่นตระหนก
“สามสิบหกขุนพล์ เหลยจั๋วเยว่” ชายหนุ่มผมม่วงในชุดสีขาวกล่าวขึ้น
คิ้วอันเรียวบางของโหมวจิ่นซิ่วถูกยกขึ้นเล็กน้อย มีสายตาที่ดูแปลกออกไป ริมฝีปากอันงดงามของนางเปิดขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงก้องกังวานดุจไข่มุกที่ตกกระทบแผ่นหยก “เ้าคือหลี่โหยว่ฉายหรือ?”
“ใช่ขอรับ!” ฉินอวี่ตอบกลับไป แต่สายตากลับมองไปยังเหลยจั๋วเยว่ที่อยู่ด้านข้างโหมวจิ่นซิ่ว เขาก็คือสามสิบหกขุนพล์อีกคนหนึ่งหรือ?
“เ้าคิดว่ามีผู้เฒ่าร้องไห้คอยสนับสนุนแล้วเ้าจะก่อเื่วุ่นวายได้หรือ?” น้ำเสียงของโหมวจิ่นซิ่วเปลี่ยนไป และเริ่มมีพลังมหาศาลที่กดมาจากรอบด้าน
แต่ดูเหมือนฉินอวี่ไม่รู้สึกถึงพลังที่ว่านี้ และพูดอย่างเรียบเฉย “มีคนคอยกลั่นแกล้งเย้าแหย่ข้าอยู่หลายต่อหลายครั้ง ตัวข้าก็ไม่อาจทนได้อีก จึงได้เผลอลงมือ ขอสหายโหมวโปรดอภัยด้วย”
“ช่างเป็คนที่ร้ายกาจเสียจริง” ทุกคนต่างก่นด่าอยู่ในใจ คำพูดเพียงประโยคเดียวกลับผลักความรับผิดชอบออกไปได้อย่างหมดจด
ชายหนุ่มชุดสีม่วงคนนั้นหน้าซีดเซียวไปในทันที หลังจากเหลือบมองไปยังเหลยจั๋วเยว่ที่อยู่ข้างกายโหมวจิ่นซิ่วด้วยความตื่นตระหนก จึงพูดขึ้น “พี่สาม ข้าไม่ได้ไปกลั่นแกล้งอะไรเขาเลย เขาต่างหากที่ดูิ่ตระกูลเหลยก่อน”
“ดูิ่? แล้วใครกันที่ยกเอาตระกูลเหลยมากดดันข้า? อีกอย่าง เ้าลองถามคนที่อยู่ข้างเ้าดู ว่าตอนแรกไม่ใช่เ้าหรือที่คิดจะแย่งชิงอาวุธของข้าอย่างโจ่งแจ้ง? และยังบอกว่าเป็สิ่งของในตระกูลเหลยของพวกเ้าอีก? หรือว่าอาวุธที่มีพลังของสายฟ้าทุกชิ้นในแดนต้าโหมวเทียนจะเป็สมบัติของตระกูลเหลยทั้งหมด? ก่อนหน้านี้ที่ข้าเข้ามาใน่แรก ก็ถูกสหายของพวกเ้าคอยสรางปัญหาตลอด หรือคิดว่าข้าไม่รู้ว่ามันมาจากคำสั่งของพวกเ้า?” ฉินอวี่ได้พูดเื่ที่การแย่งชิงกันก่อนหน้านี้ขึ้นมาต่อหน้าเหลยจั๋วเยว่
“ข้าไม่เคยสั่งไม่เคยชี้นำ!” ชายหนุ่มชุดสีม่วงตอบอย่างชัดเจน
“ไม่มีหรือ? แล้วคนที่ยืนอยู่ข้างเ้าล่ะ?” ฉินอวี่มองไปทางเหลยหย่วน และพูดอย่างเย้ยหยัน
“ข้า... ข้า...” สีหน้าของเหลยหย่วนซีดขึ้นมาทันที เหงื่อไหลออกมาท่วมตัว เดิมทีก็คิดเพียงจะทำให้ฉินอวี่ลำบากใจ แต่ดูเหมือนว่าเื่ทั้งหมดจะอยู่เหนือความคาดหมายและเกินกว่าเขาจะควบคุมได้ หากเป็เช่นนี้ต่อไป เขาอาจจะต้องรับบทลงโทษอย่างหนักจากตระกูล แม้ว่าเื่นี้จะเป็เื่ที่เกี่ยวข้องกับเขาจริงๆ แต่ในตอนนี้ใครกันจะยอมรับได้? ทันใดนั้น เหลยหย่วนก็กัดฟันพูดขึ้นมา “ข้าไม่ได้ชี้นำ”
“เ้ากล้าสาบานหรือไม่ล่ะ?” ฉินอวี่กล่าวอย่างเยาะเย้ย
สีหน้าของเหลยหย่วนนิ่งไปทันที
“พอได้แล้ว! หากมีเื่อยากจะสะสางกัน ก็เอาไว้ออกไปจากที่นี่ก่อนค่อยมาว่ากันเถอะ เอาล่ะ จัดการที่นี่ให้เรียบร้อยก่อนเถอะ” โหมวจิ่นซิ่วพูดอย่างเยือกเย็น และก่อนจะพูดจบ นางก็พูดเสริมขึ้นมา “มาเถอะ ตอนนี้ข้ามีเหล้าชั้นเลิศอาหารชั้นดีเตรียมให้กับทุกท่าน แต่ถ้ามีใครกล้าสร้างความวุ่นวายอีก ก็อย่าหาว่าคนอย่างข้าโหมวจิ่นซิ่วไม่เตือนก็แล้วกัน!”
เหลยจั๋วเยว่ไม่ได้พูดอะไรมาตลอดั้แ่ต้นแม้แต่ประโยคเดียว ราวกับว่าเื่เหล่านี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาเลย
และแน่นอนว่าฉินอวี่คงไม่หักหน้าโหมวจิ่นซิ่วในสถานการณ์เช่นนี้ เขาหันหลังและเดินไปทางพวกฉวีหย่งเซิงทั้งสามคน หลังจากทักทายทั้งสามคนแล้ว ฉินอวี่ก็นั่งลงตรงที่นั่งว่าง และหยิบเนื้อย่างขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ก่อนยกขึ้นกัดเข้าปากอย่างสบายใจ
พวกฉวีหย่งเซิงได้สติกลับมา ก็หันไปมองทางไป๋ฉีและหยางซานที่ยังรู้สึกใจสั่น หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก็เดินมาถึงด้านข้างของฉินอวี่ จากนั้นจึงนั่งลง
สายตาของทั้งสามคนมองตรงไปยังฉินอวี่ด้วยสายตาที่ซับซ้อน เมื่อเห็นฉินอวี่นั่งกินเนื้อย่างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาก็เริ่มถอนหายใจ นับั้แ่ออกมาจากเมืองเทียนโหมวชั้นใน ฉินอวี่ก็ทำให้พวกเขาต้องใหลายครั้งเหลือเกิน เดิมทีคิดว่าฉินอวี่ปะทะกับหวังมู่โดยไม่เจียมตัว แต่เมื่อดูจากตอนนี้ หวังมู่กลับกลายเป็ฝ่ายอึดอัด และเมื่อเผชิญหน้ากับตระกูลเหลยของตี้หวัง หรือเผชิญกับสามสิบหกขุนพล์เขายังไม่รู้สึกหวาดกลัว แล้วคนอย่างเขาหวังมู่จะไปเหลืออะไร?
โหมวจิ่นซิ่วเหลือบมองฉินอวี่ ย่นคิ้วขึ้นเล็กน้อย กวาดสายตามองทุกคน ใบหน้าที่สวยงามนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมา และเปล่งเสียงพูดขึ้นมา “ปกติแล้วทุกคนต่างต้องฝึกฝนอยู่ในเขตแดนของตน มีโอกาสน้อยนักที่จะได้มารวมตัวกันเช่นนี้ ในวันนี้ ข้าโหมวจิ่นซิ่ว ได้อาศัยโอกาสที่ทุกท่านเข้าร่วมการท้าประลองของเจ็ดสิบสองอสูรธรณี เรียนเชิญสหายทุกท่านให้ได้มาพบปะกัน ดังนั้นจึงขอขอบคุณทุกท่านที่ได้มาร่วมงานในครั้งนี้”
“ในฐานะเ้าภาพ ข้าได้เตรียมโอสถชุนมู่ระดับสี่จำนวนสามเม็ดไว้ให้กับทุกท่าน เพื่ออวยพรให้แต่ละท่านได้ประสบชัยชนะในการท้าประลองเจ็ดสิบสองอสูรธรณี” โหมวจิ่นซิ่วยิ้มหวาน และยังไม่ทันพูดจบ สีหน้าของเหล่าอัจฉริยะวัยหนุ่มสาวทั้งหมดจึงเต็มไปด้วยความยินดี
ในแดนต้าโหมวเทียนขาดแคลนโอสถมากที่สุด หลายปีมานี้ ไม่มีการขาดแคลนผู้ปรุงยา แต่ไม่มีสมุนไพร ฉะนั้นต่อให้มีพร์ก็ไร้ประโยชน์
และเพราะการขาดแคลนโอสถ คนจำนวนมากจึงได้แต่อาศัยศิลาิญญาและการทำสมาธิช่วยในการฟื้นฟูระดับการฝึกฝน และการท้าประลองของเจ็ดสิบสองอสูรธรณีก็กำลังใกล้เข้ามา โอสถจึงมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้ผู้ที่ไม่มีเงินทองติดกระเป๋าจึงต้องลำบากใจ แต่จู่ๆ กลับได้รับโอสถชุนมู่ถึงสามเม็ดจึงเป็เหมือนน้ำทิพย์ที่ไหลชโลมความแห้งแล้ง
ผ่านไปครู่หนึ่ง กระแสความตื่นเต้นก็กระจายไปทั่วบริเวณ
พวกฉวีหย่งเซิงทั้งสามคนต่างเผยความยินดีออกมาทันที ไม่ว่าจะเป็การท้าประลองของเจ็ดสิบสองอสูรธรณีหรือจะเป็การทดสอบสามสิบหกขุนพล์ก็ต้องเผชิญกับการต่อสู้ที่น่ากลัวทั้งสิ้น หากมีโอสถเข้ามาช่วยก็สามารถฟื้นฟูร่างกายได้ในระยะเวลาอันสั้น ในตอนนี้ เมื่อมีโอสถชุนมู่ระดับสี่สามเม็ดเพิ่มขึ้นมาจึงนับว่าเป็การช่วยเหลือที่ทันท่วงทีอย่างยิ่ง
ฉินอวี่ทำเป็หูหนวกตาบอด และยังคงลิ้มรสอาหารบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ ต้องบอกก่อนว่า รสชาติเหล่านี้ล้วนถูกปากฉินอวี่เป็พิเศษ หลายปีมานี้ เอาแต่ฝึกฝนวิชามาโดยตลอด ไม่ค่อยมีเวลาไปสนใจกับความเลิศรสของอาหารมากนัก นับว่าน่าเสียดายยิ่ง ในตอนนี้ เมื่อมีอาหารอร่อยอยู่ตรงหน้า ฉินอวี่จึงไม่ปล่อยโอกาสไปแน่นอน ส่วนเื่โอสถนั้น... ฉินอวี่ไม่เคยเอามาใส่ใจเลย เพราะเขามีโอสถติดตัวอยู่เป็จำนวนมาก และยังมีอีกกว่าร้อยขวดที่พ่อของเขาให้ไว้ในวงแหวนมิติ
โหมวจิ่นซิ่วกวาดสายตามองผู้คนที่กำลังตื่นเต้น แต่เมื่อสายตามองไปยังฉินอวี่อย่างไม่ตั้งใจ นางก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
หรือว่า ในใจของเขาโอสถชุนมู่สามเม็ดจะไม่มีความสำคัญเท่ากับอาหารอร่อยหรือ?
โหมวจิ่นซิ่วละความคิดทิ้งไป และพูดขึ้นอีกครั้ง “ตอนนี้จำนวนของสามสิบหกขุนพล์ค่อยๆ ลดลง ตระกูลโหมวจึงมีของรางวัลที่ยอดเยี่ยมไว้เป็กำลังใจให้กับศิษย์ที่คิดจะเข้าร่วมสามสิบหกขุนพล์ และผู้ที่ได้รับเลือกเป็สามสิบหกขุนพล์ ตระกูลโหมวของข้าจะขอมอบรางวัลใหญ่หนึ่งเดียวให้นั่นคือ อาวุธชื่อเซียน!”
ลานกว้างที่เต็มไปด้วยความครึกครื้นเงียบสนิทลงทันที ทุกคนต่างมองโหมวจิ่นซิ่วด้วยความใ และดูเหมือนจะไม่อยากเชื่อหูของตนเอง
อาวุธชื่อเซียน?
ในตอนนี้ แม้แต่ฉินอวี่ที่กำลังเพลิดเพลินกับอาหารก็ต้องวางมือลงทันที และเงยหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาเบิกโพลง และพูดอย่างเหลือเชื่อ “สหายโหมว นี่พูดจริงหรือ?”
