“เหรินเหยาสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อท่านจนวันตาย ได้โปรดเ้านายประทานนามให้ด้วยเ้าค่ะ”
เหรินเหยายิ้มบาง ั์ตาของนางราวกับมีเปลวไฟลุกโหมเต้นระริกอยู่ภายใน
เยี่ยนเจาเจาหลุดหัวเราะ นางก้มลงให้สายตาอยู่ระดับเดียวกับเหรินเหยา ก่อนจะจัดเส้นผมของเหรินเหยาที่หลุดรุ่ยจากมวยไปทัดไว้ข้างหลังใบหูให้ด้วยปลายนิ้วเย็น
“แข็งกร้าวเกินไปย่อมลำบาก ฉลาดเกินไปย่อมแพ้ภัยตน ในเมื่อเ้าเป็คนของข้าแล้ว ข้าจะตั้งนามใหม่ให้แก่เ้าว่าอาอวี๋แล้วกัน”
“คนฉลาดมักซ่อนคม ชื่อไพเราะมากเ้าค่ะ”
เหรินเหยาไม่ต่อต้านนามใหม่ของตนเอง นางยอมรับระดับการตั้งชื่อของเยี่ยนเจาเจา และเอ่ยผลการประเมินที่ตนมีต่อเยี่ยนเจาเจาครั้งแรกอย่างรวดเร็ว
“ท่านคือคนเหนือความคาดหมายคนที่สองที่ข้าพบในเมืองเซียงเฉิง ดูจากท่านแล้ว ข้าก็พอจะมองออกว่าฮองเฮาและองค์หญิงฉงหยางเป็คนเช่นไร”
ายืดเยื้อในปีนั้น ต้องสิ้นสุดลงที่รุ่นนี้แน่นอน
และความยุติธรรมที่นาง้าก็จะผงาดขึ้นสักวันหนึ่ง
“เป็เกียรติของข้า ว่าแต่ขอถามสักอย่างได้หรือไม่ คนแรกที่เหนือความคาดหมายของเ้าเป็ใคร?”
เยี่ยนเจาเจายิ้มบาง
“ข้าคิดก่อน คนผู้นั้นคือนายน้อยสกุลกู้เ้าค่ะ”
“ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน หากไม่พบท่าน เกรงว่าข้าคงจะเลือกเขาไปแล้ว”
นายน้อยสกุลกู้?
เป็บุคคลที่เยี่ยนเจาเจาไม่เคยได้ยินมาก่อน นางได้ฟังเื่ราวเกี่ยวกับสกุลกู้มาน้อยมากไม่ว่าจะในชาติก่อนหรือชาตินี้
สกุลกู้ปักหลักในซั่งจิงซึ่งใกล้กับสถานที่สำคัญทางชายแดนตอนเหนือ มีเชื้อสายใกล้ชิดกับอ๋องชิงเหอผู้เป็ความหนักใจของราชวงศ์ต้าซี และยังเป็ตระกูลเก่าแก่เกือบห้าร้อยปีหนึ่งเดียวแห่งราชวงศ์ต้าซีด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างสกุลกู้กับเมืองหลวงถูกเก็บเป็ความลับมิดชิด จึงมิใช่สิ่งที่เยี่ยนเจาเจาในตอนนี้ควรคิดใคร่ครวญ
กู้เจี้ยน ผู้เป็สามีในอนาคตของเฉินเซียงอี๋ ก็เป็ทายาทสายตรงของสกุลกู้ เขาจะใช่นายน้อยสกุลกู้คนนั้นหรือเปล่า?
“คุณชายกู้เจี้ยนหรือ?” เยี่ยนเจาเจาหรี่ตาถาม
“ไม่ใช่ เป็อีกคนหนึ่ง ข้าไม่เห็นใบหน้าแท้จริงของเขา แต่ฟังออกว่าเป็ชายหนุ่มเ้าค่ะ”
อาอวี๋คิดครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ยเช่นนี้
ในเมื่อนางเป็ข้ารับใช้ของเยี่ยนเจาเจาแล้ว ย่อมไม่ปิดบังเื่ใดอีก
สกุลกู้...
จุดยืนของสกุลกู้คลุมเครืออย่างยิ่ง แม้แต่ชาติก่อน เยี่ยนเจาเจาก็ยังมองท่าทีของสกุลกู้ไม่ขาด
บางคนบอกว่าสกุลกู้คือผู้พิทักษ์ราชวงศ์ต้าซี เยี่ยนเจาเจาไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก แต่สิ่งเดียวที่นางรู้คือสกุลกู้จะไม่กระทำเื่ที่ส่งผลเสียต่อราชวงศ์ต้าซี
สกุลกู้ไม่มีวันเป็ศัตรูกับราชวงศ์ต้าซี นี่คือความลับที่คนสกุลเหลียงต่างรู้กันทั่ว ดังนั้นตอนนี้เยี่ยนเจาเจายังไม่จำเป็ต้องกังวลเื่ของสกุลกู้
คิดได้เช่นนั้นนางจึงไม่ถามเกี่ยวกับสกุลกู้ต่อ แต่กลับถามเื่อื่นแทน “ถ้าอย่างนั้นไยเ้าเลือกข้า ไม่เลือกสกุลกู้เล่า?”
“เพราะในร่างของเ้านายมีสายเืสกุลเหลียงอยู่ ข้าเอื้อมไม่ถึงฝ่าากับองค์หญิง ดังนั้นเ้านายจึงเป็คนสกุลเหลียงที่ใกล้ชิดข้าที่สุดเ้าค่ะ”
เมื่ออาอวี๋เอ่ยถึงตรงนี้ นางก็ขมวดคิ้วก่อนเอ่ยต่อ “เทียบกับเชื้อพระวงศ์แล้ว สกุลกู้จะนับเป็อะไรได้เ้าคะ?”
คำพูดนี้ไม่ถือว่าผิด
เยี่ยนเจาเจานึกได้ว่าอาอวี๋มาที่นี่เพื่อแก้แค้น ฝ่ายตรงข้ามคือใครกันแน่ ถึงกับต้องยืมกำลังสกุลเหลียงต่อกร?
หรือว่าชาติก่อนที่อาอวี๋ไปสอบเคอจวี่เป็ทั่นฮวาก็เพียงเพื่อพบพระพักตร์ธิดา์ ขอร้องท่านป้าคืนความยุติธรรมให้แก่ครอบครัวของนาง?
เจาเจาจึงถามเื่ของอาอวี๋อีกครั้ง “ในเมื่อตอนนี้เ้าเป็คนของข้า มิสู้เล่าให้ข้าฟังเล่าว่าเ้าแบกบัญชีแค้นอะไรไว้บนบ่า?”
ั์ตาของอาอวี๋สาดความเกลียดชังออกมาร้อนแรงจนแทบแผดเผาคนได้ “ครอบครัวข้าประมาณห้าสิบหกชีวิต โดนคนสังหารทั้งหมดจนตระกูลดับสิ้น”
“เหตุใด?” เยี่ยนเจาเจาขมวดคิ้ว
กฎหมายอาญาของราชวงศ์ต้าซีมีโทษรุนแรง เื่ราวฆ่าล้างตระกูลไร้ที่มาที่ไปจะต้องโดนโทษหนักแน่นอน ทว่าในความทรงจำของเยี่ยนเจาเจา นางจำไม่ได้เลยว่าเคยเกิดเื่ทำนองนี้ขึ้นที่ไหน
“เพื่อความโลภของใครบางคนอยู่แล้ว”
อาอวี๋หัวเราะเ็า ไม่เอ่ยอันใดมาก แต่กลับพูดขึ้นมาว่า “ความจริงเมื่อครู่ข้าเพียงพูดไปอย่างนั้น หากทำให้เ้านายลำบากใจเพราะเื่เล็กน้อยของข้า ข้าผิดเองเ้าค่ะ
มันคงจะดีที่สุดถ้าได้ล้างแค้นเพื่อครอบครัว ทว่าท่านพ่อท่านแม่ของข้าไม่ปรารถนาให้ข้าจมอยู่กับความแค้นชิงชังทุกวี่ทุกวัน เพราะฉะนั้นหากมีชีวิตใหม่ ก็สามารถมุ่งหน้าสู่อนาคตได้โดยไม่ลังเลเ้าค่ะ”
เยี่ยนเจาเจาอึ้งกับคำพูดนั้น นางกะพริบตาปริบๆ และสังเกตร่างซูบผอมของอาอวี๋เบื้องหน้าใหม่อีกรอบ
สถานการณ์ของอาอวี๋คล้ายคลึงกับบางสถานการณ์ของเยี่ยนเจาเจาก่อนหน้านี้มาก ทั้งสองล้วนเกิดมาพร้อมความเกลียดชังเหมือนกัน
แต่ต่อมาเยี่ยนเจาเจาก็ตระหนักความหมายของการมีชีวิตใหม่ เลย้าค้นพบสิ่งน่าสนใจอื่นนอกเหนือจากความเคียดแค้นชิงชัง เพื่อที่ชีวิตตนจะได้ไม่ต้องจมอยู่กับความมืดมิดอ้างว้างไปจนตาย
เยี่ยนเจาเจารู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าการพาอาอวี๋มาจากหอถงเชวี่ยตอนนั้น เป็ทางเลือกที่มีเหตุผลที่สุดเท่าที่จะมีได้แล้ว
“ถ้าอย่างนั้นเ้าอยากทำอะไร?”
เยี่ยนเจาเจาถาม
“ข้าอยากทำงานเป็ขุนนางเหมือนบุรุษ เป็ขุนนางใหญ่โตยิ่งดีเข้าไปใหญ่ พวกคนที่เคยเหยียดหยามและทำร้ายข้าต้องชดใช้กรรมให้หมด...มองกันใหม่มันเสแสร้งเกินไป และข้าไม่ชอบพูดประจบด้วย”
อาอวี๋ยิ้มบิดเบี้ยว
นางไม่ได้พูดโป้ปด กลับกัน ความจริงมักจะทำให้คนเห็นอกเห็นใจง่ายขึ้น...เยี่ยนเจาเจาพยายามขนาดนี้ ก็ไม่ใช่เพื่อให้คนที่เคยทำร้ายตนจ่ายหนี้คืนหรอกหรือ?
เยี่ยนเจาเจาจึงยกยิ้มมุมปาก “เป็ความคิดที่ดี”
ดูเหมือนว่านางควรจะเป่าหูท่านป้าสักหน่อย อย่างไรในอนาคตก็ต้องมีการเปิดสอบเคอจวี่สตรีอยู่แล้ว แค่เลื่อนให้เร็วขึ้นมาหน่อยคงไม่ใช่ปัญหาหรอก
“เ้าพักฟื้นในลานเปี๋ยย่วนแห่งนี้ไปก่อน วันหลังข้าจะให้คนจัดการตัวตนของเ้าใหม่ แล้วเมื่อจังหวะมาถึง เ้าจะมีสถานที่แสดงความสามารถเอง”
เยี่ยนเจาเจาไม่พูดมากกับอาอวี๋อีก ยามนี้บนร่างอาอวี๋ยังมีแผลอยู่ควรต้องรักษาร่างกายให้ดี
พอเอ่ยจบ เยี่ยนเจาเจาก็ลุกขึ้นจากไปทันที
นางออกมาหาอาอวี๋โดยใช้ข้ออ้างว่าจะมาซื้อขนมกับเครื่องประดับ จึงไม่อาจอยู่ข้างนอกนานเกินไป อีกประการหนึ่งคือ่เช้าวันนี้ได้ยินท่านแม่บอกว่าผู้าุโหนานซานจะมาถึงในอีกสองวัน นางอยากรู้ผลการรักษาของหนานิเหอแทบไม่ไหวแล้ว
คนโดดเด่นสูงส่งอย่างพี่ชายรอง จะเป็ใบ้ตลอดชีวิตได้อย่างไร?
เขาควรมีเป้าหมายระยะยาวของตนเอง และมีคุณสมบัติในการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความฝันของตนเช่นเดียวกับอาอวี๋
เยี่ยนเจาเจาสวมหมวกเหวยเม่า[1] เปลี่ยนรถม้าสองคัน แล้วรีบตรงกลับสวนมวลบุปผาหอม
ระหว่างทางกลับ เยี่ยนเจาเจาแวะร้านอู่ฟางไจตามข้ออ้าง แล้วซื้อขนมหวานที่ตนเองชอบทานประจำมานิดหน่อย รวมถึงของโปรดท่านพ่อท่านแม่ และขนมอบที่หนานิเหอชอบติดมาด้วย
ส่วนข้าวของจำพวกเครื่องประดับ เยี่ยนเจาเจาไม่สันทัดสักเท่าไหร่ จึงบอกเพียงว่าออกไปเดินเล่นแล้วไม่เจออันที่ชอบก็พอ
ณ ห้องโถงหลักเรือนนภาคราม
ตอนเยี่ยนเจาเจาเดินเข้ามาก็เห็นว่าหนานิเหอกำลังนั่งเงียบๆ ราวกับรูปปั้นอยู่ฝั่งหนึ่ง ส่วนอีกฝั่งเป็ผู้าุโหนานซานท่านนั้นที่กำลังวางมือบนลำคอของเขาและใช้เข็มเงินตรวจเบาๆ
ลูกกระเดือกของเด็กหนุ่มเริ่มปรากฏขึ้นมาแล้ว ท่าทีไร้การป้องกันของเขาดูเหมือนเด็กเล็กเปราะบาง...ในใจเยี่ยนเจาเจาพลันรู้สึกเ็ปรุนแรงขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
หนานิเหอคงจะได้ยินเสียงฝีเท้าจึงลืมตามองมาทางเยี่ยนเจาเจา นางเห็นเงาร่างของตนสะท้อนชัดเจนอยู่ในแววตาที่เคยไร้สีสันของเขา ตามด้วยความอบอุ่นและรอยยิ้มที่ค่อยๆ ผุดขึ้นมาว่ายวน
เยี่ยนเจาเจารู้สึกว่าหัวใจของตนถูกกระแทกอย่างหนัก ความรู้สึกแปลกประหลาดทำให้นางยากจะควบคุมตนเองจนไม่รู้ว่าควรตอบสนองเช่นไร
ผู้าุโหนานซานดึงเข็มเงินออกจากลำคอของหนานิเหอ แล้วหันมาพูดกับองค์หญิงที่สีพระพักตร์คาดเดาไม่ออก “ปัญหาที่ลำคอของคุณชายไม่ร้ายแรง หลังฝังเข็มค่อยทานยาควบคู่กันทุกวัน ก่อนคิมหันตฤดูปีนี้ก็เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยนเจาเจาแทบไม่สนใจอารมณ์สับสนวุ่นวายล้นอกของตนเองอีก นางรีบพุ่งเข้ามาถามทันที “ท่าน ต่อไปพี่ชายรองของข้าจะพูดได้ปกติไหมเ้าคะ?”
ผู้าุโหนานซานเบี่ยงตัวมามองเยี่ยนเจาเจา ก่อนจะยิ้มและเอ่ยว่า “ได้แน่นอน แต่เขาไม่เคยพูดมานาน พวกท่านจำเป็ต้องค่อยๆ สอนเขา”
สีหน้าของหนานิเหอแข็งค้างจนผู้าุโหนานซานรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาฉับพลัน แต่ยังกล่าวด้วยรอยยิ้มตาหยี “เพราะว่าเขาไม่เคยพูดมาั้แ่เด็ก จึงต้องหาคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเขาที่สุด แล้วจัดสรรเวลาหนึ่งชั่วยามมาสอนวิธีการพูดแก่เขาทุกวัน”
เยี่ยนเจาเจามองผู้าุโหนานซานแล้วรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาราวกับเคยพบที่ไหนมาก่อน ผู้าุโมีรูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ไม่เหมือนผู้บำเพ็ญตนพเนจรที่แผ่รัศมีผู้บรรลุธรรมแบบในความทรงจำ
“ในจวนข้ามีเพียงนางมารน้อยผู้นี้ที่เกาะติดข้างกายคุณชายิเหอทุกวัน เจาเจา ต่อไปเ้าก็สอนพี่ชายรองของเ้าพูดเถอะ”
เยี่ยนเจาเจาดีใจที่ผลลัพธ์ออกมาเกินคาด นางรีบตอบรับซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนเอ่ยถามต่อ “ถ้าอย่างนั้นท่านเตรียมจะพักอยู่ในสวนมวลบุปผาหอมหรือลานเปี๋ยย่วนข้างๆ ดีเ้าคะ?”
“ข้าสมถะเร่ร่อนจนชิน เกรงว่าจะรับความโอ่อ่ารุ่งเรืองไม่ไหว พ้นวันนี้ก็จากไปแล้ว
ทักษะการฝังเข็มไม่ยาก ข้าสอนวิธีฝังเข็มที่สอดคล้องกับการรักษาชุดหนึ่งให้คุณชายแล้ว คุณชายสามารถฝังเองได้” ผู้าุโหนานซานเอ่ยอย่างไม่ถือตัว
เยี่ยนเจาเจาพยักหน้ารัวเร็ว สายตาประหลาดใจปนดีใจมองไปที่หนานิเหอครั้งแล้วครั้งเล่า จนเขาก้มหน้างุดอย่างทนไม่ไหวและเผยใบหูแดงก่ำออกมา
“ดูท่าคุณหนูห้ากับคุณชายคงมีความสัมพันธ์พี่น้องลึกซึ้งดีนะขอรับ”
ผู้าุโหนานซานเอ่ยรำพัน
หนานิเหอกระแอมไอเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นประสานมือคารวะแล้วออกไปนอกห้องด้วยความอึดอัด
“ยังไม่ขอบคุณท่านอีก”
องค์หญิงเม้มพระโอษฐ์กลั้นรอยสรวลบางเบาไว้ไม่อยู่
เยี่ยนเจาเจาหยิบของขวัญขอบคุณที่เตรียมไว้เนิ่นนานออกมา แล้วเลื่อนไปตรงหน้าผู้าุโหนานซาน “ขอบคุณท่านที่ตรวจและรักษาพี่ชายรองของข้าเ้าค่ะ”
ผู้าุโหนานซานรับของขวัญมา แล้วจู่ๆ ก็จามติดต่อกันหลายครั้งอย่างกะทันหัน จึงถอยห่างจากเยี่ยนเจาเจาพลางเอ่ยว่า “ข้าเสียกิริยาแล้ว”
เยี่ยนเจาเจาปัดมือไม่สนใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นราวกับนึกบางอย่างออก “ข้าได้กลิ่นหอมของไม้จันทน์มาจากท่าน ท่านชอบไม้จันทน์หรือเ้าคะ? หลายปีก่อนข้าได้รับไม้จันทน์แดงชั้นดีมาชิ้นหนึ่ง ปกติไม่ค่อยได้ใช้ ยืมดอกไม้ถวายพระ[2] ให้ท่านนำมาบดขึ้นรูปกำยานได้พอดีเ้าค่ะ”
ผู้าุโหนานซานชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนม้วนเครายาวของตนเองแล้วร้องว่าดี ด้วยรอยยิ้มระรื่น
เชิงอรรถ
[1] หมวกเหวยเม่า หมายถึง เครื่องแต่งกายของชาวหู แรกเริ่มทำจากผ้ามัสลินสีดำ ขอบห้อยม่านตาข่ายจนถึงคอเพื่อปิดบังบริเวณใบหน้าไว้ ในสมัยสุยและถังจะร่นตาข่ายให้สั้นลง เรียกว่า "เฉียนลู่" ซึ่งเริ่มใช้กันในหมู่ชนกลุ่มน้อยแถบทะเลทรายทางตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อกันพายุทรายตีหน้า
[2] ยืมดอกไม้ถวายพระ หมายถึง ใช้ดอกไม้ของผู้อื่นนำมาถวายพระโพธิสัตว์ เป็การเปรียบเปรยว่านำของที่ผู้อื่นให้มามอบให้กับอีกคนหนึ่งเป็น้ำใจ