เสี่ยวหมี่กลอกตา นางไม่คาดหวังอะไรจากเ้าพี่ชายแสนตะกละคนนี้แล้ว
เสี่ยวเอ๋อที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ มาตลอด ตื่นเต้นจนเอ่ยปากออกมาอย่างที่น้อยครั้งจะทำ “ข้าไปด้วย”
“ไม่ได้” ไม่รอให้คนอื่นพูดอะไร เสี่ยวหมี่ก็ปฏิเสธออกมาเป็คนแรก ตอนนี้เพราะคนแซ่ตู้คนนั้นทำให้คนทั้งหมู่บ้านเขาหมีปวดหัวกันจะตายอยู่แล้ว หากว่าเสี่ยวเอ๋อออกไปด้านนอกแล้วชักศึกที่ไหนกลับเข้าบ้านมาอีก ทุกคนก็คงรอดยากแล้ว
“พี่เสี่ยวเอ๋อต้องอยู่บ้าน พอดีข้ามีเื่้าให้พี่เสี่ยวเอ๋อช่วย”
“ไม่ ข้าจะต้องไปให้ได้ ในเมื่อผู้ตรวจการคนนี้มีชื่อเสียงดี ข้าจะไปขอร้องให้เขาช่วยล้างแค้นให้ตระกูลข้า”
เสี่ยวเอ๋อหน้าแดงก่ำ ถึงกับผุดลุกขึ้นแทบจะอยากรีบออกไปเดี๋ยวนั้น
เสี่ยวหมี่เองก็ไม่เกรงใจ สาดน้ำเย็นดับฝันนาง
“ผู้ตรวจการหลี่มีชื่อเสียงดีก็จริงแต่ก็เป็เพียงคำเล่าลือ พวกเราสกุลลู่ถูกแย่งซื้อูเา ในมือมีหลักฐานชัดเจน ต่อให้เขาจะไม่ใช่คนดีอย่างที่กล่าวขาน พวกเราก็ยังมีทางถอย จะอย่างไรก็คงไม่ถึงขั้นถูกรังแกไปมากกว่านี้ แต่เื่ของบ้านเ้าไม่มีหลักฐานอะไร ล้วนเป็เพียงแค่ข้อสันนิษฐาน อีกทั้งก่อนหน้านี้เ้ายังถูกไล่ล่ามาก่อน หากว่าออกไปแล้วชักศึกกลับมา เช่นนั้นจะให้คนทั้งหมู่บ้านเขาหมีลงไปปรโลกพร้อมเ้าหรืออย่างไร จัดการเื่ของบ้านเราให้เสร็จก่อนจะดีกว่า จะได้ทดสอบดูด้วยว่าผู้ตรวจการคนนั้นเป็อย่างที่ว่ากันจริงหรือไม่ หากเขาดีจริงข้าจะไม่ขวางเ้าแน่นอน แต่ตอนนี้เ้าต้องอยู่บ้านห้ามออกไปไหน”
พูดจบนางก็ถลึงตาใส่พี่รอง “พี่รอง หากท่านกล้าแอบพาเสี่ยวเอ๋อออกไป วันหน้าก็ไม่ต้องกลับมาอีก ท่านลองคิดดูว่าท่านพ่อจะฟังข้า หรือว่าฟังท่าน”
พูดจบนางก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่โรงครัว ลู่เชียนไม่ได้กลับบ้านมานานแล้ว คาดว่าคงคิดถึงบ้านมาก อาศัยโอกาสนี้เตรียมของอร่อยเยอะๆ ให้เขาได้หายคิดถึงก็คงจะดี
ถึงแม้พี่รองลู่จะเป็คนไร้หัวคิดแค่ไหน แต่เขาก็รู้จักนิสัยพูดคำไหนคำนั้นของน้องหญิงเป็อย่างดี เขากลัวเสี่ยวเอ๋อจะโกรธจึงรีบปลอบว่า “เสี่ยวเอ๋อ เ้าอยู่บ้านรักษาอาการาเ็ให้ดี ตอนกลับมาข้าจะเอาของดีๆ มาฝากเ้า ครั้งก่อนที่ไปเฟิงโจวจำได้ว่าขนมน้ำตาลปั้นที่นั่นอร่อยนัก มีคนต่อแถวยาวเหยียด เดิมทีข้าคิดจะซื้อมาฝากเสี่ยวหมี่ แต่ว่า...ฮี่ฮี่ เงินหมดเสียก่อน ครั้งนี้ข้าจะต้องซื้อมาฝากเ้าแน่นอน”
“จริงด้วยข้าเองก็เคยได้ยิน...”
ไม่เสียทีที่เสี่ยวเอ๋อเป็พี่รองลู่ในคราบสตรี เมื่อพูดถึงเื่ของกินก็ลืมสิ้นซึ่งน้ำตาของบรรพชน รีบถามอย่างกระตือรือร้นว่าเฟิงโจวมีอะไรน่าสนุกอีกบ้าง
เฝิงเจี่ยนกวาดสายตามองเสี่ยวเอ๋อ แววตาวาววับนั้นวาบขึ้นแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว...
ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าตู้โหย่วไฉที่ถูกจัดการไปก่อนหน้านี้จะกลับมาอีกเมื่อใด ถึงแม้ตอนนี้เฝิงเจี่ยนนายบ่าวจะกลับมาแล้ว แต่ัแข็งแกร่งไม่อาจสู้งูประจำถิ่น [1] ได้ สุดท้ายคนที่โชคร้ายก็คือชาวหมู่บ้านเขาหมี
เสี่ยวหมี่จึงไม่กล้าปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปนานนัก นางอดหลับอดนอนทำอาหาร มีทั้งหมูเค็มตากแห้ง ขนมแป้งทอดไส้หมู และของกินเล่นอีกเล็กน้อย จากนั้นก็จัดเก็บสัมภาระให้เรียบร้อย เช้าวันรุ่งขึ้นก็รีบไล่ให้พี่รองลู่ออกเดินทางทันที
พี่รองลู่สังเกตเห็นว่าของกินส่วนของตนที่น้องสาวเตรียมให้นั้นน้อยกว่าน้องชาย จึงรู้สึกไม่พอใจมาก แต่เมื่อเห็นน้องสาวถลึงตาใส่ก็รีบกลืนวาจาตัดพ้อกลับลงไปทันที แล้วจึงหันไปพูดกับเสี่ยวเอ๋อว่า “เสี่ยวเอ๋อ เ้าอยู่บ้านดีๆ เล่า หากข้าได้พบผู้ตรวจการหลี่แล้วเห็นว่าเขาเป็คนดี จะต้องรีบกลับมาพาเ้าไปพบแน่นอน จะได้ลากรัชทายาทอะไรนั่นออกมาอัดให้เละ”
“ได้” เสี่ยวเอ๋อพยักหน้าอย่างหนักแน่น สีหน้าเศร้าสร้อยราวกับเด็กน้อยที่กำลังจะถูกมารดาทิ้งก็ไม่ปาน
เสี่ยวหมี่ไม่อาจทนมองได้อีกต่อไป นางโกรธจนแทบกระอักเืเพราะคนคู่นี้ พี่ใหญ่เพิ่งจะหมั้นหมาย ยังไม่ทันได้แต่งพี่สะใภ้เข้าบ้าน พี่รองบ้านนางก็เริ่มแสดงอาการเช่นนี้แล้ว ดีที่แรกเริ่มนางตั้งใจสร้างเรือนแยกเป็สองหลัง ไม่เช่นนั้นคงจะปวดหัวยิ่งกว่านี้แน่...
พี่รองลู่จากไปแล้ว เสี่ยวหมี่กลัวว่าเสี่ยวเอ๋อจะไม่รักษาสัญญาจึงลากเกาเหรินและซูอีมากำชับ โดยให้ ‘ค่าแรง’ สองคนนั้นเป็หมูตากแห้ง คนทั้งสองจึงรีบตบอกรับรองทันที
เสี่ยวหมี่ถึงได้วางใจ เดินเข้าไปจัดเก็บห้องครัวที่ระเกะระกะ วันนี้ที่บ้านท่านป้าเจียงมีเื่ต้องจัดการ จึงลาครึ่งวันเช้า นางจึงต้องทำเองคนเดียวทั้งหมด
คิดไม่ถึงว่าเฝิงเจี่ยนจะเดินตามหลังเข้ามา เขาพับชายเสื้อขึ้นเรียบร้อย จากนั้นก็ช่วยนางเก็บกวาด เสี่ยวหมี่รีบปฏิเสธ “พี่ใหญ่เฝิง ท่านรีบไปพักเถอะ เื่เล็กๆ พวกนี้ ข้าทำเองดีกว่า คืนนี้ข้าจะตุ๋นน้ำแกงไก่ให้ท่านและเกาเหรินบำรุงร่างกาย กลับมารอบนี้พวกท่านผอมลงกว่าตอนจากไปมาก”
พูดจบนางถึงเพิ่งรู้สึกว่าคำพูดนี้ดูจะสนิทสนมเกินไปจนหน้าแดง ต้องหันหลบไปอีกทาง
เฝิงเจี่ยนแย้มยิ้มไปถึงดวงตา มือเขายังคงช่วยนางต่อไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว แน่นอน ในขณะที่กำลังช่วยก็เอ่ยปากถามราวกับไม่ใส่ใจขึ้นมาว่า “แม่นางเสี่ยวเอ๋อคนนั้นมาจากไหนหรือ ฟังจากที่เ้ารองพูดเหมือนจะมีเื่ราวอะไรมาก่อน?”
เสี่ยวหมี่ดึงให้เฝิงเจี่ยนนั่งลง นางหยิบผลไม้ป่าที่ถูกแช่ไว้ในโอ่งน้ำจนเย็นเฉียบ เป็ผลไม้ที่เมื่อวานท่านป้าเจียงนำมาฝาก นางยัดลูกหนึ่งใส่มือเฝิงเจี่ยน อีกลูกหนึ่งยกขึ้นกัดกินเอง พลางเล่าเื่ของเสี่ยวเอ๋อให้เขาฟัง
ผลไม้ป่าในมือยังไม่สุกดี รสชาติหวานเล็กน้อยผสมกับรสเปรี้ยวจัด ไม่นับว่าอร่อย บางครั้งเปรี้ยวจนเสี่ยวหมี่สีหน้าเหยเกแต่ก็ยังไม่หยุดกิน
เฝิงเจี่ยนกัดกินผลไม้ในมืออย่างไร้รสชาติ เพราะสายตาเขาเอาแต่จับจ้องแม่นางตรงหน้าไม่วางตา รอยยิ้มในดวงตาของเขาเข้มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง...
“ยามปกติทุกคนต่างก็พูดถึงรัชทายาทในทางที่ดีกันทั้งนั้น อย่างน้อยก็ไม่เคยได้ยินว่ามีนิสัยชั่วร้ายเช่นนี้ อีกทั้งฮ่องเต้ก็มีรัชทายาทเป็โอรสเพียงองค์เดียว ไม่มีใครแย่งชิงแผ่นดินกับเขา เขาจะโง่งมทำสิ่งเ่าั้ไปทำไม?”
เสี่ยวหมี่กินไปสองสามลูกสุดท้ายก็ทนเปรี้ยวไม่ไหว จึงคิดจะเอามีดมาตัดมันเป็ชิ้นๆ คว้านเมล็ดออกแล้วเอาไปดองน้ำตาลกินเป็ขนม
มือนางวุ่นวายอยู่ แต่ปากก็ไม่หยุดพูด จึงไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเฝิงเจี่ยน
“เสี่ยวเอ๋อคนนั้นบ้านอยู่ที่ไหน?”
“เหมือนว่าจะอยู่ถงโจว” เสี่ยวหมี่มองเฝิงเจี่ยนอย่างแปลกใจ “แต่เสี่ยวเอ๋อเล่าให้ข้าฟังว่าที่บ้านนางมีการทำเหมืองเหล็ก เช่นนั้นเหตุใดไม่เรียกเถี่ย [2] โจว แต่เรียกว่าถง [3] โจวแทนเล่า?”
“แค่กๆ” เฝี่ยงเจี่ยนกระแอมเบาๆ มุมปากอดยิ้มกว้างขึ้นไม่ได้ “อักษรถง [4] ชื่อเมืองถงโจว มาจากคำว่า ใต้หล้าสามัคคีเป็หนึ่งเดียว [5] ไม่ใช่ถงที่หมายถึงทองแดง”
“อา?” เสี่ยวหมี่ถึงเพิ่งรู้ว่านางปล่อยไก่เสียแล้ว จึงหน้าแดงเขินอาย นางกอดตะกร้าผลไม้ป่าหันหลังให้เขา “ข้าจะไปทำกับข้าวแล้ว พี่ใหญ่เฝิงรีบกลับห้องไปพักผ่อนเถิด”
“ได้”
เฝิงเจี่ยนตอบรับ จากนั้นจึงยืดตัวตรงเดินกลับไปยังเรือนพักฝั่งตะวันออก แต่สีหน้าของเขากลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ผู้เฒ่าหยางยืนรอรับอยู่หลังประตูอย่างนอบน้อม พร้อมมอบจดหมายหนึ่งฉบับให้ “เกี่ยวกับเื่เมืองถงโจว บ่าวได้ให้คนไปสืบมาแล้ว เชิญคุณชายอ่านดูขอรับ”
เฝิงเจี่ยนกวาดสายตามองผ่านตัวอักษร เขาไม่ได้พูดอะไร แต่คิ้วกลับขมวดแน่น
นิ้วขาวเรียวยาวของเขาเคาะเป็จังหวะลงบนโต๊ะไม้ เสียงทุ้มก้องไปทั่ว คล้ายเสียงฟ้าร้องก่อนฝนตก
ก่อนหน้านี้ตอนที่เดินทางไปยังท้องทุ่งหญ้า เขาก็แปลกใจแล้ว ชนเผ่าในท้องทุ่งหญ้าที่เงียบสงบมาหลายปีเหตุใดจู่ๆ ถึงได้ก่อาขึ้นมา เผ่าหมอเอ่อถึงแม้จะมีท่าทีกระด้างกระเดื่องมานาน แต่หากไม่มีใครคอยสนับสนุนอยู่เื้ัก็ยากจะทำงานใดให้สำเร็จได้ แต่ยามนี้จู่ๆ กลับรวมแผ่นดินท้องทุ่งหญ้าเอาไว้ได้ถึงหนึ่งในสามในระยะเวลาอันรวดเร็ว หากไม่ใช่เพราะเสี่ยวหมี่ไปซื้อม้า แล้วบังเอิญพาซูอีกลับมา เขาก็ยังไม่คิดจะสนใจท้องทุ่งหญ้าด้วยซ้ำ บางทีถึงตอนที่ท้องทุ่งหญ้ารวมตัวเป็ปึกแผ่นแล้ว ถึงตอนนั้นขุนนางในราชสำนักต้าหยวนอาจจะยังไม่รู้ข่าวเลยก็เป็ได้
ยังมีเื่เหมืองเหล็กที่ถงโจว แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็แหล่งผลิตเหล็กกล้าทำอาวุธให้ราชวงศ์ต้าหยวนที่สำคัญที่สุด กล่าวได้ว่าอาวุธทั้งหมดในต้าหยวนล้วนมาจากที่นี่ หากมีคนกล้าลักลอบเปิดเหมืองขุดเหล็กจริงๆ เช่นนั้นเป้าหมายของพวกมันก็แสนจะชัดเจน
ท้องทุ่งหญ้า ถงโจว ทั้งสองแห่งนี้เกิดปัญหาขึ้นมา เป็เื่บังเอิญหรือว่ามีการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว?
เหมือนที่เสี่ยวหมี่ว่า สายเืราชวงศ์ที่สืบบัลลังก์ได้มีเพียงรัชทายาท นี่เป็เื่ที่แน่นอนราวกับตะปูที่ถูกตรอกตรึงไว้อย่างแ่า หรือว่ามีคนคิดจะดึงตะปูนั้นออกมา?
ท้องฟ้าด้านนอกที่เดิมยังสว่างสดใสจู่ๆ ก็มีเมฆมืดครึ้มลอยมา เพียงไม่นานหยาดฝนก็ร่วงหล่น
ราวกับมีตาข่ายขนาดใหญ่ครอบสถานที่แห่งนี้ไว้ ทำให้คนรู้สึกหายใจติดขัด...
“หา ฝนตกแล้ว ผ้าห่มข้า!”
ท่านกลางความมืดมิดนั้น เสี่ยวหมี่กระวีกระวาดออกมาจากห้องครัว วิ่งไปเก็บผ้าห่มที่ตากไว้ นางสวมเสื้อสีใบบัว กระโปรงสีงาช้าง ถักเปียสองข้างซึ่งกำลังถูกลมตีให้ชี้ขึ้น ราวกับภูติลมก็ไม่ปาน แลดูกล้าหาญไม่กลัวใคร เป็เพียงแสงสว่างเดียวในตาข่ายอันมืดครึ้มนี้...
ความอึมครึมในดวงตาของเฝิงเจี่ยนจางหายไป มุมปากโค้งขึ้นน้อยๆ ์ไร้เมตตาแต่ขณะเดียวกันก็มีเมตตา โชคชะตาจึงเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และแม่นางคนนี้เกรงว่าคงจะเป็จุดเปลี่ยนในชีวิตเขากระมัง
“ฝนหมึก”
“ขอรับคุณชาย” ผู้เฒ่าหยางเทน้ำลงไปในแท่นหมึก หมุนข้อมือเป็วงกลม เพียงไม่นานก็ได้น้ำหมึกสีเข้ม
“ข้าวที่ปลูกไว้จะเก็บเกี่ยวได้เมื่อใด?”
เฝิงเจี่ยนหันไปถาม มือเขาถือพู่กันจุ่มหมึก ผู้เฒ่าหยางเอ่ยขึ้นว่า “อีกหนึ่งเดือนขอรับ”
“ดี หนึ่งเดือนให้หลัง...กลับเมืองหลวง”
เฝิงเจี่ยนจรดพู่กันลง กล่าวเสริมว่า “ที่สำนักศึกษาจัดการให้ดี อย่าให้มีหินใดมาขัดขาลู่เชียน”
“ขอรับ คุณชายวางใจ บ่าวมีสหายเก่าแก่อยู่ จะต้องจัดการได้เรียบร้อยตามที่ท่าน้าแน่นอนขอรับ”
ลมร้อนแสนซุกซนแอบฟังบทสนทนาของคนด้านใน แต่จะอย่างไรก็อ่านไม่ออกว่าบนกระดาษขาวนั้นเขียนสิ่งใด สุดท้ายจึงพัดไปเล่นสนุกที่อื่น
…
พระอาทิตย์ที่สำนักศึกษาฮวางหยวนส่องแสงร้อนแรงอยู่ทุกเช้า
วันนี้เป็วันสำคัญ ถึงกับมีเสียงเอะอะดังไปทั่วบริเวณ เหตุผลก็เพราะว่า วันนี้เป็วันสอบนัดสำคัญที่จัดขึ้นปีละหนึ่งครั้งของสำนักศึกษา อาจารย์ในสำนักศึกษาจะทำการทดสอบนักศึกษาทุกคนที่นี่ ต่อให้จะสอบผ่านเป็ซิ่วไฉแล้ว แต่หากไม่ผ่านการสอบในครั้งนี้ ก็ไม่อาจไปเข้าร่วมการสอบฤดูใบไม้ผลิเพื่อคัดเลือกเป็ขุนนางที่เมืองหลวงได้
อีกนัยหนึ่งก็คือ การสอบของสำนักศึกษานี้เป็ประตูสำคัญสู่การเป็จวี่เหริน หรือก็คือประตูสำคัญสู่การเป็ขุนนางในราชสำนัก
เชิงอรรถ
[1] ัแข็งแกร่งไม่อาจสู้งูประจำถิ่น(强龙不压地头蛇)หมายความว่า ต่อให้เป็คนนอกที่แข็งแกร่งแค่ไหนก็ยากจะเอาชนะผู้มีอำนาจในท้องถิ่นได้
[2] เถี่ย(铁)แปลว่า เหล็ก
[3] ถง(铜)แปลว่า ทองแดง
[4] ถง(同)ในที่นี้หมายถึงเป็หนึ่งเดียวกัน
[5] ใต้หล้าสามัคคีเป็หนึ่งเดียว(天下大同)เป็หลักคำสอนในลัทธิขงจื้อ หมายถึงให้ทุคนในโลกสามัคคีกลมเกลียวไม่แก่งแย่งกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้