ผู้คนภายในจวนเ้าเมืองวันสิ้นโลก นอกจากจ้านอู๋มิ่งแล้ว ล้วนเป็ตัวประหลาดเฒ่าในแต่ละสำนักนิกาย พวกเขาล้วนกระจ่างดีกว่าใคร ในตอนนั้นหากคุนเผิงผู้สูงส่งสร้างประตูบานนั้นสำเร็จแล้ว ผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็เช่นไร
ก็เหมือนดังเช่นที่จ้านอู๋มิ่งกล่าว หากมีประตูบานนี้ให้ลักลอบข้าม พวกเขาไม่มีความจำเป็ที่จะต้องผ่านทัณฑ์สายฟ้าอันใดอีก สามารถเข้าสู่อาณาจักรดินแดนปฐมภูมิได้โดยตรงจากประตูข้ามมิติบานนั้น และในอาณาจักรดินแดนปฐมภูมิ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพลังแก่นแท้จิติญญา ทัณฑ์สายฟ้าดังกล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว มิมีผลสำคัญใดๆ เลย ถ้าเป็เช่นนั้นก็ไม่ต้องมีคนจำนวนมากที่หยุดชะงักอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ หรือรีรอลังเลใจเนิ่นนานเพียงเพราะไม่กล้าที่จะบรรลุขอบเขตเทพเ้าา
เวลานี้จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ภายในแต่ละสำนักนิกายมีไม่น้อย แต่เทพเ้าากลับไม่มาก และคนจำนวนมากจงใจชะงักหยุดอยู่ในระดับจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ ไม่กล้าทะลวงด่านยกระดับขอบเขตให้สูงขึ้น สาเหตุสำคัญเนื่องเพราะแม้แต่ภายในสำนักนิกายเอง ลูกแก้วพลังแก่นแท้จิติญญาเ่าั้ก็ไม่พอแจกจ่ายแล้ว หากมีเทพเ้าาเพิ่มขึ้นมาอีกหลายคน เกรงว่าเทพเ้าาในปัจจุบัน จะมิสามารถได้รับลูกแก้วพลังแก่นแท้จิติญญาอย่างเพียงพอ ส่งผลทำให้ขอบเขตของพวกเขาตกลงมาสู่ระดับจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง ดังนั้นเทพาของสำนักนิกายต่างๆ ในเวลานี้ล้วนแล้วแต่เป็เพียงเครื่องประดับตกแต่งเท่านั้น ไม่กล้าจะลงมือโดยพลการแต่อย่างใด แต่ถ้าเทพเ้าาเหล่านี้ทั้งหมด ล้วนลักลอบเข้าไปในอาณาจักรดินแดนปฐมภูมิ เช่นนั้นแล้ว ลูกแก้วพลังแก่นแท้จิติญญาของสำนักนิกายก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่เพียงพอแล้ว เมื่อเป็เช่นนี้ ตัวประหลาดเฒ่าจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์เ่าั้ที่หยุดชะงักในระดับสูงสุดมาเนิ่นนานหลายปี ก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทะลวงด่านบรรลุขอบเขตเทพเ้าา ไม่ต้องคอยสะกดข่มการบ่มเพาะของตนเองอย่างลำบากแสนเข็ญอีกต่อไป จวบจนกระทั่งเมื่ออายุขัยจวนสิ้นสุดลง แล้วจะมิอาจไม่ทะลวงด่านบรรลุเทพเ้าา…
ข่าวสารของจ้านอู๋มิ่งถูกวาดเป็วงกลมขนาดใหญ่วงหนึ่ง เฉกเช่นขนมเปี๊ยะชิ้นโตตรงหน้าตัวประหลาดเฒ่าของสำนักนิกายต่างๆ และขนมเปี๊ยะนี้คือสิ่งที่พวกเขากระหาย้ามากที่สุด พวกเขามิอาจไม่ยอมรับข้อเท็จจริงที่จ้านอู๋มิ่งกล่าวมาทั้งหมด
“แผ่นป้ายศิลาที่อยู่ในมือสำนักนิกายพวกเรานับว่าพูดง่าย แต่มีแผ่นป้ายศิลาหลายแผ่นถูกชนเผ่าสมุทรแย่งชิงไปแล้ว ยังมีอีกสองแผ่นถูกเผ่าปลาเปลวเพลิงแกนปฐีแย่งไปแล้ว พวกเราจำเป็ต้องคิดหาวิธีแย่งแผ่นป้ายศิลากลับคืนมา มิฉะนั้นพวกเราก็ไม่สามารถสานต่อปณิธานของคุนเผิง เปิดประตูบานนั้นออกไปในอาณาจักรดินแดนปฐมภูมิแล้ว” เหยียนเต้าจื่อเอ่ยพูดขึ้น เขาประจักษ์แก่สายตาแล้วว่า แผ่นป้ายศิลาเ่าั้ถูกคนพวกนั้นแย่งชิงไป พลันเขาก็รู้สึกสำนึกเสียใจอยู่บ้างขึ้นมาทันใดที่ตอนนั้นไม่สามารถรักษาแผ่นป้ายศิลาเ่าั้ไว้ให้ดี
“เื่นี้ข้าหวังว่าทุกท่านจะเก็บเื่นี้ไว้เป็ความลับ สำหรับแผ่นป้ายศิลาในมือชนเผ่าสมุทรและปลาเปลวเพลิงแกนปฐี ข้าคิดว่าผู้าุโทุกท่านคงไม่จำเป็ต้องให้เด็กน้อยเช่นข้าไปวิตกกังวล ลำดับต่อไปข้าจะพูดกับทุกท่านสักหน่อย เกี่ยวกับศัตรูที่อาจดำรงอยู่ของพวกเรา” จ้านอู๋มิ่งขัดจังหวะการโต้เถียงและความวิตกกังวลของทุกคน สูดลมหายใจเข้าคำหนึ่งพูดขึ้น
จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดหยุดโต้เถียง เวลานี้สายตาที่มองดูจ้านอู๋มิ่งไม่ได้ดูแคลนอย่างเช่นเมื่อครู่อีกต่อไป แม้แต่บรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดก็ยังลดความเป็ศัตรูลงบ้างแล้วส่วนหนึ่ง กล่าวถึงที่สุดแล้วถ้าเด็กคนนี้สามารถเปิดเผยความลับที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าออกมาได้จริงๆ เช่นนั้นก็จะมีส่วนช่วยอย่างมากมายต่อแผ่นดินแห่งนี้แล้ว นอกจากนี้ยังเผชิญหน้ากับความลับของการเดินทางสู่อาณาจักรดินแดนปฐมภูมิ เขายิ่งไม่มีความคิดอะไรมากมายไปถือสาเกี่ยวกับความขัดแย้งของปรมาจารย์นักยุทธ์ตัวน้อยๆ สิ่งที่ทำให้จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดรู้สึกกดดันตึงเครียดมากขึ้นก็คือ พวกเขาทราบว่าศัตรูของแผ่นดินแห่งนี้แข็งแกร่งมากมายเพียงใด หลายแสนปีมานี้ ในฐานะของแผ่นดินที่อยู่ตรงกลาง มีอิทธิพลอำนาจมากที่สุดในมหาอาณาจักรเก้าเร้นลับ สมัยนั้นเทพเ้าาคลาคล่ำมีอยู่ทั่วไปทุกแห่งหน กระนั้นยังคงถูกศัตรูทำลายจนย่อยยับไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ ตลอดจนถูกผนึกปิดบริเวณสถานที่แห่งนี้เอาไว้ ศัตรูเช่นนี้กล่าวได้ว่าเป็มีดเล่มหนึ่งบนศีรษะของสำนักนิกายทั้งหมด สำนักนิกายที่ยิ่งแข็งแกร่ง ความรู้สึกกดดันยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงสงบจิตสงบใจเย็นลงเพื่อฟังคำอธิบายของจ้านอู๋มิ่ง
จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์กลุ่มหนึ่งนั่งเงียบๆ ฟังเื่ราวเหตุการณ์เล่าโดยศิษย์เล็กๆ รุ่นสามชั่วอายุคนของสำนักบริบาลเดรัจฉาน เช่นเหตุการณ์เด็กน้อยกลุ่มหนึ่งกำลังฟังครูสอนหนังสืออธิบายอยู่ก็มิปาน เป็ภาพที่แปลกประหลาดภาพหนึ่ง ถ้าให้คนภายนอกรู้เข้า คนพวกนั้นย่อมจะต้องปากอ้าตาค้างอย่างแน่นอน
“ในอาณาจักรดินแดนปฐมภูมิ ซึ่งก็คืออาณาจักรเบื้องบนของเรา ตำนานเล่าขานมีตระกูลลึกลับที่สุดตระกูลหนึ่ง” ในที่สุดจ้านอู๋มิ่งก็นำตระกูลโม่มาวางไว้บนโต๊ะแล้ว!
“รูปแบบวิธีการบ่มเพาะของพวกเขาคือ คอยหาผู้บ่มเพาะที่มีจำนวนตัวเลขชีวิตแปลกประหลาดอยู่ตลอดเวลา จากนั้นพวกเขาก็ใช้ทรัพยากรและความแข็งแกร่งของตนเอง ทำให้ผู้บ่มเพาะจำนวนตัวเลขชีวิตแปลกๆ เหล่านี้ มีจำนวนตัวเลขชีวิตตรงตามที่พวกเขา้า ด้วยวิธีการหล่อเลี้ยงตามแบบฉบับวิธีการของพวกเขา และสุดท้ายพวกเขาก็จะกลืนกินจิติญญาแห่งชีวิตของผู้บ่มเพาะที่ถูกพวกเขาหล่อเลี้ยงขึ้นมาจนหมดสิ้น เพื่อทำให้จำนวนตัวเลขชีวิตของพวกเขาบรรลุความสมบูรณ์แบบด้วยวิธีการนี้ จวบจนสามารถทลายนภากาศ บรรลุขั้นเทพเ้าเป็ผลสำเร็จ” อาศัยสิ่งที่โม่เทียนจีทำกับตนเองทั้งหมดในตอนนั้น จ้านอู๋มิ่งค่อยๆ เล่าเื่ราวตามที่ตนเองทราบออกมา…
“สมัยา มหาอาณาจักรเก้าเร้นลับถูกแบ่งอาณาเขตออกตามโชคชะตา พลังปราณแปดทิศทางมารวมตัวกันในแผ่นดินตรงกลาง! ดังนั้นจำนวนของอัจฉริยะมากความสามารถจึงปรากฏออกมามากที่สุด ด้วยเหตุนี้ ในบรรดาอัจฉริยะจำนวนมากของอาณาจักรดินแดนปฐมภูมิที่มีจำนวนตัวเลขชีวิตแปลกๆ ย่อมมีส่วนหนึ่งที่มาจากแผ่นดินตรงกลางของมหาอาณาจักรเก้าเร้นลับของพวกเราเสมอ!” จ้านอู๋มิ่งถอนหายใจคราหนึ่งและพูดต่อ
“เป็เพราะมีอัจฉริยะจำนวนมาก ปัญหาก็มีมากขึ้น! เมื่อหลายแสนปีก่อน ในที่สุดชายที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นในแผ่นดินตรงกลาง หลังจากเข้าสู่อาณาจักรดินแดนปฐมภูมิก็ยังคงแข็งแกร่งไร้ผู้ทัดเทียม เน้นย้ำกลายเป็จุดสนใจของตระกูลลึกลับนั้นมากยิ่งขึ้น แต่ว่าภายหลังชายผู้แข็งแกร่งไร้ผู้ทัดเทียมคนนี้ หลุดพ้นจากการควบคุมของตระกูลลึกลับนี้ในวินาทีสุดท้าย พลิกผันย้อนกลืนกินอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลนี้แทน สามารถบรรลุความสมบูรณ์แบบกลายเป็เทพเ้าได้สำเร็จ ทำให้ตระกูลลึกลับนี้ประสบความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ด้วยเหตุนี้ตระกูลนี้จึงบันดาลโทสะขึ้นมา ระบายความเดือดดาลคับข้องใจใส่บ้านเกิดเมืองนอนของชายผู้แข็งแกร่งไร้ผู้ทัดเทียมคนนี้ ตลอดจนตระกูลมนุษย์สามัญของเขา ตระกูลลึกลับในอาณาจักรดินแดนปฐมภูมินี้ก็คือ ตระกูลโม่!” เวลาที่จ้านอู๋มิ่งชี้ออกมาให้เห็นตระกูลโม่นั้น ราวกับกำลังเล่านิทานเื่หนึ่ง แต่กลับเป็นิทานที่ทำให้จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดรู้สึกเคร่งเครียดหนักอึ้งยิ่งนัก
“ตระกูลโม่เป็คนในดินแดนเบื้องบนหรือ?” มีคนอุทานเสียงต่ำ ถามอย่างประหลาดใจ
“เป็ไปไม่ได้ หลังจากแผ่นดินแห่งนี้ของพวกเราถูกปิดผนึก พวกเราก็เหินบินขึ้นไปไม่ได้ แต่ผู้คนในดินแดนเบื้องบนจะสามารถลงมาได้อย่างไร?” หนานกงหลิวอวิ๋นถามอย่างสงสัย
“ถามได้ประเสริฐนัก ความจริงตระกูลโม่ในแผ่นดินพั่วเหยียนของพวกเรา ไม่อาจนับเป็ตระกูลโม่ในอาณาจักรดินแดนปฐมภูมิแล้ว เนื่องเพราะพวกเขาก็ถูกผนึกในแผ่นดินแห่งนี้เหมือนกันพวกเรา คอยเสาะแสวงหาหนทางกลับคืนสู่ตระกูลบ้านเกิดเสมอมา ยามนั้นเพื่อลงมือกับแผ่นดินตรงกลาง ตระกูลโม่ในอาณาจักรดินแดนปฐมภูมิส่งลูกหลานหลายคนลงมาดินแดนด้านล่าง หนึ่งเพื่อลงมือจัดการแผ่นดินตรงกลาง อย่างที่สองคือแสวงหาอัจฉริยะที่มีจำนวนตัวเลขชีวิตแปลกประหลาด และแล้วจึงมีคนของตระกูลโม่ส่วนหนึ่งตกค้างอยู่ในมหาอาณาจักรเก้าเร้นลับ คอยแอบควบคุมจำนวนตัวเลขชีวิตของพวกเขาอย่างลับๆ และจัดหาคนที่ชะตาชีวิตแปลกแยกสำรองไว้ สำหรับนำเสนอตระกูลโม่ในอาณาจักรเบื้องบน ดังนั้น ไม่ว่าในอาณาจักรเบื้องบนหรือในมหาอาณาจักรเก้าเร้นลับ ตระกูลโม่ล้วนแล้วแต่เร้นตัวอาศัยอยู่เื้ัเสมอมา แอบลอบควบคุมชะตาชีวิตของผู้อื่นอย่างลับๆ และตระกูลจู้กับตระกูลโหยวเป็เพียงตัวอย่างหนึ่งในจำนวนนั้น ในแผ่นดินของเราแห่งนี้ เกรงว่าตระกูลจำนวนมากมายได้กลายเป็หมากของตระกูลโม่ไปแล้ว ข้าคิดว่าเื่นี้ ท่านเ้าเมืองจู้มีสิทธิ์พูดถึงมากที่สุด เนื่องเพราะเขามีประสบการณ์มากกว่าข้า ตลอดจนมีประสบการณ์มาด้วยตัวเอง” น้ำเสียงจ้านอู๋มิ่งเปลี่ยน โยนหัวข้อการสนทนาไปที่จู้ชิงขวง
จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ทุกคนประหลาดใจ สายตาทั้งหมดล้วนอดที่จะหันมามองทางจู้ชิงขวงไม่ได้
สิ่งที่จ้านอู๋มิ่งพูดมาทั้งหมด ทำให้เศษชิ้นส่วนในความทรงจำของจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในที่นี้ ดูเหมือนจะถูกร้อยเรียงเข้าด้วยกันในทันใด ตัวประหลาดเฒ่าเหล่านี้มีชีวิตอยู่อย่างน้อยก็หลายร้อยปีเช่นกัน เกี่ยวกับเื่ราวแปลกประหลาดบางส่วนในใต้หล้าทราบมาไม่น้อย นอกจากนั้นภายในม้วนคัมภีร์ชำรุดบกพร่องของสำนักนิกายที่ซ่อมแซมขึ้นมาในระยะเวลาหลายปีนี้ มีการพูดถึงอย่างเลาๆ เกี่ยวกับที่เรียกกันว่า การซ่อมแซมชะตาชีวิตอันประหลาดพิสดารอยู่อย่างมากมายจริงๆ
และก็ได้เคยพูดเกี่ยวกับดินแดนนอกแผ่นดินแห่งนี้ด้วยเช่นกัน แน่นอนว่ายังมีสมรภูมิรบต่างแดนที่ครั้งหนึ่งเคยมีอยู่ ก็คือสนามรบมฤตยูที่เล่าขานว่าถูกเหลือทิ้งเอาไว้ระหว่างศึกาของแผ่นดินพั่วเหยียนกับต่างแดน พวกเขาเริ่มพากันเชื่อบ้างแล้วกับสิ่งที่จ้านอู๋มิ่งกล่าวมาทั้งหมด เพียงแต่ว่าพวกเขา้าได้รับการยืนยันจากทางด้านจู้ชิงขวง ควรทราบว่าจู้ชิงขวงนั้นเป็เ้าเมืองวันสิ้นโลก และก็เป็จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์แห่งยุคเช่นกัน คำพูดของเขาย่อมมีน้ำหนักมากกว่าของจ้านอู๋มิ่งอย่างแน่นอน
“สิ่งที่อู๋มิ่งพูดมา ข้าก็เคยประสบมาแล้วเช่นกันจริงๆ พูดขึ้นมาแล้ว...เมืองวันสิ้นโลกถูกเขาทำร้ายมาอย่างหนักหนาสาหัส โม่ฉางชุนผู้นี้เริ่มวางแผนมาเนิ่นนานแล้วั้แ่เมื่อหลายปีก่อน ั้แ่เริ่มต้นสาเหตุที่ข้าสามารถเป็เ้าเมืองได้อย่างราบรื่นตลอดมา ก็เพราะมีโม่ฉางชุนคอยช่วยเหลืออย่างเต็มที่ แต่หลังจากที่ข้าได้เป็เ้าเมืองแล้ว คนผู้นี้อาศัยข้ออ้างผิดพ้องหมองใจกับข้าและหายตัวไป ความจริงเขากลับแอบแฝงตัวอยู่ภายในเรือนข้ามาเนิ่นนานแล้ว เนื่องเพราะ่เวลาดังกล่าวเขาได้วางแผนไว้ในร่างจู้เชียนเชียนบุตรสาวของข้า…” จู้ชิงขวงพูดถึงตรงนี้สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็ดูยากยิ่งนัก เห็นจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดล้วนจ้องเขม็งที่ตน จึงกล่าวต่อไป
“ภายหลังข้าจึงได้ทราบว่า ั้แ่เชียนเอ๋อร์ยังไม่ได้ถือกำเนิด ก็ถูกคนตระกูลโม่ลอบวางผนึกต้องห้ามไว้ในจิติญญาแห่งชีวิตแล้ว ส่งผลให้เชียนเชียนร่างกายอ่อนแอมาั้แ่เด็ก ด้วยจิติญญาแห่งชีวิตบกพร่อง เพราะเชียนเชียนเกิดมาก็มีดวงชะตาที่แปลกั้แ่ยังเป็เด็ก อีกทั้งยังเป็องค์หญิงของเมืองวันสิ้นโลก ในร่างรวบรวมไว้ซึ่งโชคชะตาอนาคตของเมืองวันสิ้นโลก แต่เนื่องเพราะภายในจิติญญาแห่งชีวิตถูกลอบวางผนึกต้องห้ามไว้ โชคชะตาทั้งหมดของเชียนเชียนล้วนถูกคนของตระกูลโม่ลอบดูดเอาไป ในหลายสิบปีมานี้ ข้าพยายามต่ออายุให้เชียนเชียนอย่างเต็มที่ และโชคชะตาของเมืองวันสิ้นโลกก็ถูกคนตระกูลโม่กลืนกินไปหลายสิบปีโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเช่นกัน……นี่จึงทำให้เมืองวันสิ้นโลกสับสนวุ่นวาย ผู้นำอ่อนแอและบริพารแข็งแกร่ง ความวุ่นวายค่อยๆ ก่อตัวขึ้น” จู้ชิงขวงพูดอย่างดุดัน
“อา! ใต้หล้ากลับมีวิธีการเช่นนี้? สามารถอาศัยผนึกต้องห้ามกลืนกินโชคชะตาเมืองและสถานที่เลยทีเดียว?” บรรพบุรุษผู้เฒ่าซือถูอี้ของสำนักบริบาลปีศาจได้ยินแล้วถามอย่างประหลาดใจ
“เหอะ เกี่ยวกับเื่โชคชะตา บางทีบรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดมีสิทธิ์พูดเื่นี้มากกว่าแล้ว เนื่องเพราะใน่หลายปีที่ผ่านมา สำนักกระบี่ิญญาได้สยบราชวงศ์ของคนธรรมดาไว้มากมาย โชคชะตาของราชวงศ์เหล่านี้ สามารถยกระดับโชคชะตาของสำนักได้” ทันใดนั้นจ้านอู๋มิ่งยิ้มและสายตามองไปทางบรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุด
“ไอ้หนูผู้เยาว์ คำพูดเ้าหมายความว่าอย่างไร!” พลันบรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดจ้องตาด้วยความขุ่นเคือง จ้านอู๋มิ่งชี้ปลายหอกมาทางเขาแล้ว
“ท่านผู้เฒ่าสูงสุด อย่าได้แสดงอำนาจบาตรใหญ่ต่อผู้เยาว์ อู๋มิ่งก็พูดไม่ผิดเช่นกัน หลายปีมานี้สำนักกระบี่ิญญาก้าวหน้าไปเร็วมาก ลูกศิษย์จำนวนมากมายสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวเื่ทางโลกิยะแล้ว และโลกของผู้ไร้พลังก็เละเทะวุ่นวายโกลาหล ไฟาลุกลามไปทั่ว สำนักกระบี่ิญญาพวกเ้าต้องสำรวจตัวเองให้ดีๆ สักครั้งแล้ว” เยว่หลิงซานขัดจังหวะการพูดของท่านผู้เฒ่า แค่นเสียงเ็าพูดขึ้น
“ท่านผู้เฒ่าสูงสุด พวกเราแปดสำนักนิกายหลักมีเส้นแบ่งของตนเอง ไม่สอดมือยุ่งเกี่ยวเื่ทางโลกิยะโดยพลการ หลายปีมานี้ ข้าก็ได้ยินศิษย์พูดถึงเนืองๆ เช่นกันว่า สำนักกระบี่ิญญาใส่ใจกับเื่ทางโลกิยะมากเกินไป และดูเหมือนจะมีแนวโน้มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เ้าในฐานะบรรพบุรุษผู้เฒ่าจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ของสำนักกระบี่ิญญา สมควรเข้าใจข้อตกลงของแปดสำนักนิกายในปีนั้นอย่างชัดเจน” เหยียนเต้าจื่อก็พูดสอดขึ้นเช่นกัน
พลันบรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดหน้าแดงคอพองขึ้นมาทันใด เยว่หลิงซานและเหยียนเต้าจื่อพูดอย่างมีเหตุผลและมีหลักฐานจนเขาปฏิเสธไม่ได้ แต่ในใจเขาเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีผุดขึ้นมาชนิดหนึ่ง
จ้านอู๋มิ่งมองสีหน้าของบรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดเปลี่ยนจากทะมึนมาเป็ครุ่นคิดอย่างหนัก อดฉุกคิดขึ้นมาไม่ได้ พูดท้วงติงขึ้นว่า
“บรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดบางทีอาจเก็บตัวฝึกฌานไม่ได้สนใจเื่เล็กเื่น้อยของสำนักนิกาย แต่วิธีการบ่มเพาะโดยรวบรวมโชคชะตา ่ชิงจิติญญาชีวิตแบบนี้ กลับเป็วิธีการที่นิยมมากที่สุดของตระกูลโม่ ข้าคิดว่าตระกูลโม่แอบดำเนินการลับๆ มานานหลายปีแล้ว ได้แทรกซึมเข้าไปในตระกูลใหญ่เนิ่นนานแล้ว เหมือนอย่างบรรพบุรุษผู้เฒ่าจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ตระกูลโหยวก็ยังหลงกล และจวนเมืองวันสิ้นโลกก็เช่นเดียวกัน ผู้ใดกล้าพูดว่าภายในแต่ละสำนักนิกายไม่มีอำนาจมืดของตระกูลโม่เล่า? ถ้าหากคนพวกนี้อาศัยชื่อของสำนักนิกายกระทำเื่ของตระกูลโม่ ผู้ใดสามารถทราบได้บ้าง นี่กลับสามารถอาศัยข้ออ้างการขยายสำนักนิกายได้เป็อย่างดี บรรพบุรุษผู้เฒ่าหากมีโอกาส ยังคงต้องใส่ใจเื่ราวในสำนักสักหน่อยบ้างแล้ว ถ้าเกิดมีตระกูลโม่แอบแฝงอยู่จริงๆ เช่นนั้นค้นพบเร็วก็สามารถยับยั้งได้แต่เนิ่นๆ ยังมิทันได้ก่อให้เกิดภัยพิบัติใดๆ หากไม่มีตระกูลโม่แอบแฝงอยู่ เช่นนั้นก็ไม่ใช่เื่ใหญ่โตอันใด”
“จอมยุทธ์น้อยจ้านท้วงติงถูกต้องแล้ว เราผู้เฒ่ากลับไปจะต้องใส่ใจในเื่นี้ หากมีตระกูลโม่แอบแฝงอยู่ เราผู้เฒ่าจะกวาดล้างด้วยมือตนเอง มีมากเท่าไรก็ฆ่ามากเท่านั้น” บรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดสูดหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง ตอบจ้านอู๋มิ่งอย่างถ่อมตนยิ่งนัก ซึ่งหาได้ยากอย่างยิ่ง
จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดแปลกใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าบรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดกลับมีท่าทีอ่อนลงต่อจ้านอู๋มิ่ง ไอ้หนูผู้นี้เคยตบใบหน้าชราของสำนักกระบี่ิญญาอย่างดุดันเลยนะ แต่คำพูดท้วงติงของจ้านอู๋มิ่งที่มีต่อบรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุด ก็ทำให้จักรในทที่พรรดิาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดรู้สึกระมัดระวังมากขึ้นเช่นกัน จวนเ้าเมืองวันสิ้นโลกถูกคนตระกูลโม่เล่นงานมาสิบกว่าปี ผู้ใดกล้ารับประกันได้ว่าตระกูลโม่แอบดำเนินการมานับครั้งไม่ถ้วนนับหมื่นปี กลับยังคงเงียบสงบไร้สุ้มเสียง หากพวกเขาแทรกซึมเข้าไปถึงทุกสำนักนิกาย เกรงว่าในบรรดาจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละสำนักนิกาย ล้วนอาจมีคนของตระกูลโม่แล้ว นึกถึงจุดนี้ จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ทุกคนรู้สึกแต่ว่าแผ่นหลังหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมา ล้วนลอบตัดสินใจกลับไปถึงสำนักจะต้องตรวจสอบสำนักอย่างละเอียดและยังต้องกระทำในอย่างลับๆ เวลานี้ พวกเขาทั้งหมดเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้ว การที่จ้านอู๋มิ่ง้าให้บรรดาลูกศิษย์ข้างตัวพวกเขาให้ถอยออกไปก่อน
