เจียงเฉิงเยว่กัดฟันถามบิดาของอาหนิวซึ่งเป็เพียงคนเดียวที่สามารถตอบได้มากกว่าสองประโยคเพื่อถามว่าเกิดอะไรขึ้น อีกฝ่ายบอกเพียงว่าเด็กคนนั้นอาบน้ำและเข้านอนตามปกติในเวลากลางคืน เมื่อหลับไปร่างกายกระตุกสักพัก อีกฝ่ายใจนทำให้มารดาที่กำลังจะหลับเช่นกันะโเรียกคนในบ้าน หลังจากนั้น เด็กคนนั้นเพียงหลั่งเหงื่อเย็นทั่วร่าง กลอกตาก่อนน้ำลายฟูมปาก ยามที่กำลังจะตายโหยหวนอยู่ตลอดว่า “ผี...มีผี...มีผี”
บิดาของอาหนิวถาม “ท่านนักพรต ก่อนหน้านี้รับรองซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเป็เช่นนี้ไปได้อย่างไร? พวกเราทำตามคำขอของท่านนักพรต ตัวอักษรรูนสีชาดที่ท่านนักพรตวาดเอาไว้ไม่กล้าให้ลูกถูออกแม้แต่นิดเดียว หรือว่าค่ายกลเครื่องรางที่ท่านนักพรตวาดนั้นไร้ผลเช่นเดียวกันหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่ยังไม่ทันได้ตอบ ไป้เอ๋อร์ซึ่งปะปนอยู่ในกลุ่มคนเฉกเช่นคืนก่อนก้าวออกมาครึ่งก้าว เขาออกมาจากด้านหลังมารดาของตนแล้วเอ่ย “ค่ายกลที่ท่านอาจารย์ของข้าวาดจะไร้ผลได้อย่างไร? แต่เป็พ่ออาหนิว เมื่อคืนวานท่านอาจารย์กำชับพวกท่านซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าไม่ควรให้อาหนิวออกจากห้องนี้จนกว่าจะหายดี แต่่พลบค่ำข้ายังเห็นอาหนิวเล่นอยู่ใต้ต้นหลิวต้นใหญ่ที่หน้าประตูอยู่เลย ทำไมท่านไม่พูดเื่นี้เล่า?”
ทุกคนต่างตะลึง มองคนในครอบครัวของอาหนิวอย่างอ้าปากค้าง ทั้งบิดาและมารดาของอาหนิวประหลาดใจเช่นเดียวกัน บิดาของอาหนิวพึมพำ “เป็ไปไม่ได้! นี่มันเป็ไปไม่ได้”
ปากเล็กของไป้เอ๋อร์ช่างแหลมคมนักในขณะนี้ เขาถามต่อ “ทำไมจะเป็ไปไม่ได้? ข้าเห็นเขาออกนอกประตู แล้วนึกถึงสิ่งที่ท่านอาจารย์กำชับเมื่อคืนก่อนได้ ยังตั้งใจบอกเขาให้รีบกลับห้องไป แล้วอาหนิวตอบข้าว่าอย่างไร? เขาบอกว่าเขาอยู่ในห้องแล้วอุดอู้ ย่าของเขาจึงปล่อยให้เขาออกมาเล่นสักพักแล้วอีกประเดี๋ยวจะกลับเข้าไป...”
ทุกคนล้วนหันไปมองย่าของอาหนิวที่หน้าหมองคล้ำฉับพลันด้วยความสงสัย หญิงชราผมหงอก ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยย่นตกตะลึงไปนานก่อนจะร้องไห้คร่ำครวญกับฟ้าดินอีกครั้ง นางตบต้นขาแล้วชี้ไป้เอ๋อร์กับมารดาของเขา “พวกเ้า...เ้า...พวกเ้าใส่ร้ายป้ายสี! ข้ารู้ แต่เพราะพวกเรา...ไม่เหมือนกับบ้านของพวกเ้าที่ปกติมีเสื้อผ้าอาหาร สุราเลิศรสให้กับผู้อื่น ยามนี้ยังจะแต่งเื่เช่นนี้ใส่ร้ายคนอื่นอีกหรือ?” ต่อมา นางหันไปหาเจียงเฉิงเยว่อีกครั้ง ร้องไห้โดยพุ่งเข้าไปกอดต้นขาของเขาบนพื้น “ท่านนักพรต ท่านนักพรตบอกมา...หากในวันธรรมดาพวกเราลืมบูชาพระพุทธเ้า ท่านนักพรตบอกมาได้ทุกเมื่อ หากท่าน้าชีวิตที่แก่ชราของข้า...ท่านนักพรตก็เอามันไปได้ทุกเมื่อ หญิงชราพูดคำไหนคำนั้น ขอเพียงสามารถแลกชีวิตหลานชายของข้ากลับมาได้ ต่อให้หญิงชราร่างแหลกสลายเป็หมื่นชิ้น...”
เจียงเฉิงเยว่มองหญิงชราที่กอดต้นขาของเขาแน่นอย่างเหม่อลอย ทำได้เพียงก้มตัวลงเอ่ย “ท่านย่าของอาหนิว...ท่านลุกขึ้นมาพูดคุยกันก่อน”
เห็นได้ชัดว่าไป้เอ๋อร์ยังโวยวายไม่หนำใจ จึงก้าวมาข้างหน้าแล้วเอ่ยอีกครา “อาจารย์ของข้าไม่ใช่ปีศาจ จะ้าชีวิตที่แก่ชราของท่านไปทำไม? นอกจากนี้ ท่านย่อมรู้ว่าคนแก่ๆ อย่างท่านจะเอาไปทำอะไรได้...”
“ไป้เอ๋อร์! หุบปาก!” บิดามารดาของเขากลัวว่าเขาจะเข้าไปเกี่ยวข้องจึงรีบหยุดคำพูด
ไม่ใช่แค่บิดามารดาและพี่ชายของไป้เอ๋อร์เท่านั้น แม้แต่เจียงเฉิงเยว่ยังอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแล้วมอง “หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว”
ย่าของอาหนิวกอดเจียงเฉิงเยว่ ยังคงร้องไห้เสียงดัง เสียงร้องไห้นั้นเพียงพอที่จะยับยั้งเสียงพูดคุยของคนอื่นๆ นางร้องไห้จนน้ำมูกน้ำตาล้วนเปรอะเปื้อนบนเสื้อผ้าของเขา “ท่านนักพรต ท่านพาหญิงชราไปแล้วพาหลานชายของข้ากลับมาเถิด หญิงชรารู้ว่าปกติพวกเราไม่เคารพต่อท่านจึงทำให้ท่านไม่พอใจ ถ้าเช่นนั้น เหตุใดจึงต้องลำเอียงเช่นนี้?” นางชี้ไปที่จมูกของไป้เอ๋อร์ “เหตุใดเด็กคนนี้ที่เกิดมายังไม่ครบเดือน ทุกคนต่างบอกว่าต้องตายก่อนวัยอันควร แล้วท่านนักพรตยังช่วยกลับมาได้เล่า? อาหนิวคือเด็กที่ร่าเริงของบ้านเรา ยามนี้ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีอีกแล้ว...”
หญิงชราทุบหน้าอก กระทืบเท้าร้องไห้ไม่หยุด “ต้องเป็เพราะพวกเราไม่ได้ปรนนิบัติท่านเหมือนพวกเขา หญิงชราสำนึกผิดแล้ว หญิงชรายอมตายเพื่อชดใช้ความผิดให้ท่าน”
เจียงเฉิงเยว่กำลังปวดศีรษะเป็อย่างยิ่ง เขาเอนกายที่เหงื่อแตกพลั่กเพื่อดึงหญิงชราขึ้นมา ไม่ว่าอย่างไรนางกลับนั่งอยู่บนพื้นโดยไม่ขยับเขยื้อน “ท่านลุกขึ้นมาคุยกันก่อน”
ไป้เอ๋อร์ตัวน้อยกลับโกรธจัด อาจเป็เพราะอายุยังน้อยจึงโพล่งออกมามากเป็พิเศษ เขาก้มตัวไปลากย่าของอาหนิวขึ้นมาจากพื้นแล้วะโ “ท่านหมายความว่าอะไร? หรือว่าที่อาหนิวตายเป็เพราะท่านอาจารย์ของข้าทำร้ายอย่างนั้นหรือ?!”
บิดาของอาหนิวเพิ่งสูญเสียบุตรชายไป ทั้งอีกฝ่ายยังเป็เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ลากมารดาของตนออกไปอีก เขาเกิดโทสะในทันทีจึงเดินมาผลักไป้เอ๋อร์ลงกับพื้น “ไอ้หนู เข้ามายุ่งวุ่นวายส่งเดชทำไม!”
“ไป้เอ๋อร์!” ณ ตอนนี้สือเยว่ พี่ชายของไป้เอ๋อร์ไม่ยินยอมอีกต่อไปแล้ว เขาแทรกตัวมาขวางหน้าน้องชายของตน ผายอกที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อมองบิดาของอาหนิวอย่างถมึงทึง ในที่แห่งนี้จึงตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด
บิดาของไป้เอ๋อร์รีบพูดปลอบใจ “พ่ออาหนิว ทุกคนต่างรู้และให้อภัยเพราะว่าอาหนิวเพิ่งจากไป จิตใจท่านจึงไม่มั่นคง แต่หากพูดเื่นี้...ไม่ว่าใครก็ไม่เต็มใจอยากให้เกิดเื่เช่นนี้ทั้งนั้น หรือว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่การจัดงานศพให้ลูกอย่างนั้นหรือ?”
เพื่อนบ้านทุกคนคล้อยตาม ล้วนปลอบโยนกันไปมาอย่างวุ่นวาย
เจียงเฉิงเยว่อยู่ในสถานการณ์กดกัน ทันใดนั้นแสงรัศมีกลับเจิดจ้าพร้อมกับเสียงอุทานของทุกคน บรรยากาศสงบลงในทันใด
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง เขารีบมองไปยังทิศทางของแสงรัศมีที่สว่างวาบ ขณะเดียวกันจิตสำนึกรู้สึกได้เล็กน้อย ค่ายกลที่เสียหายซึ่งสร้างไว้โดยตี้จวินก่อนหน้านี้ถูกซ่อมแซม ทั้งยังถูกเสริมความแข็งแกร่งด้วยผนึก เวลานี้มั่นคงจนยากที่จะทำลายแล้ว นอกจากนี้ หลังจากที่แสงรัศมีนั้นชำระล้าง ทั่วทั้งหมู่บ้านที่เชิงเขาฉู่อวิ๋นกลับไม่มีเศษเสี้ยวลมปราณของภูตผีิญญาร้ายอีกต่อไป
แน่นอนว่าเขารู้ว่าเป็ฝีมือของใคร ภายในใจจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ ผ่านหน้าต่างที่เปิดอยู่ เขามองเห็นหลี่อวิ๋นหังในอาภรณ์สีขาวเรียบง่ายบริเวณนอกรั้วก้าวเดินมาอย่างเชื่องช้า อาภรณ์ปลิวไสวโดยไร้ลม แสงรัศมีรอบกายยังไม่จางหาย ราวกับท่าทางของเทพเซียนซึ่งทำให้ผู้คนไม่กล้าจ้องมองเสียจริง
ชาวบ้านในที่แห่งนี้ย่อมมองเห็นแสงรัศมีที่แข็งแกร่งนั้นเช่นเดียวกัน ดังนั้น ทุกสายตาจึงเพ่งไปบนร่างของหลี่อวิ๋นหัง ตะลึงงันจนหุบปากไม่ได้
ไป้เอ๋อร์เป็คนแรกที่ตอบสนอง เขาอดไม่ได้ที่จะะโอย่างตื่นเต้นผ่านลายฉลุบนหน้าต่าง “พี่ชายเทพเซียน!”
“เทพ...”
“เทพเซียน?!”
เหล่าชาวบ้านต่างตกตะลึง จ้องมองเขาโดยไม่ละสายตา ด้วยเหตุนี้หลี่อวิ๋นหังจึงก้าวเดินอย่างเชื่องช้าเข้ามาในลาน ก้าวเข้ามายังห้องด้านในภายใต้การจับตามองของทุกคน เขาหยุดฝีเท้าจ้องไปที่เจียงเฉิงเยว่ด้วยแววตาเย็นเยียบ เอ่ยอย่างเกียจคร้าน “เสด็จพี่ ดึกมากแล้ว...ควรกลับได้แล้วกระมัง”
เจียงเฉิงเยว่มองเขา ทันใดนั้นไม่รู้ว่าควรตอบสนองอย่างไรดี
หลังจากหลี่อวิ๋นหังพูดจบก็ไม่ได้เฝ้ารอ หมุนตัวจากไปคล้ายกับว่าผู้คนรอบตัวนั้นไม่มีตัวตน หรืออีกนัยหนึ่งคือไม่มีค่าพอที่เขาจะเหลือบไปมองด้วยหางตา
เจียงเฉิงเยว่ลูบจมูก พยายามดึงขาของตนออกจากมือย่าของอาหนิว ขายาวก้าวผ่านนางแล้วตามหลี่อวิ๋นหังเดินจากไป
ผ่านไปร้อยกว่าปี นี่นับเป็ครั้งแรกหลังจากที่พวกเขาจากกัน เขาได้ยินหลี่อวิ๋นหังเรียกตนด้วยคำเรียกนี้อีกครั้ง แต่เมื่อคิดดูแล้วมันก็จริง หากเรียกเขาว่า ‘ฉิงชางจวิน’ จะเป็การเปิดเผยตัวตนของเขาไม่ใช่หรือ? ทั้งอีกฝ่ายไม่รู้นามที่แท้จริงของเขาด้วย แล้วหลี่อวิ๋นหังจะเรียกเขาได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตามภายหลังเดินออกจากบ้าน เสียงร้องด้วยความเ็ปของย่ากับแม่อาหนิวและเสียงอุทานของทุกคนดังแว่วมาจากในบ้านโดยพลัน
เจียงเฉิงเยว่เดินตามหลังหลี่อวิ๋นหังห่างไปสองสามก้าวแล้วหันกลับไปมองด้านหลัง ก่อนรีบตามมาถาม “เซียน เซียนจวิน...พวกนางคือ?”
หลี่อวิ๋นหังยังเดินไปไกลโดยไม่หันกลับมา “แสงรัศมีชำระล้างสิ่งสกปรก หากมีมารอยู่ในใจผู้คนจะได้รับผลกระทบเช่นกัน เพียงให้พวกนางกำจัดจิตมารก็เท่านั้น...เป็สิ่งที่กฎ์ก็ไม่อาจทำอะไรได้”
เจียงเฉิงเยว่ลดศีรษะลงปิดปากยิ้มเล็กน้อย ก่อนเงยหน้ามองแผ่นหลัง ประสานมือให้ด้วยความเคารพ “ขอบคุณเซียนจวิน”
หลี่อวิ๋นหังไม่รู้ว่าเขาขอบคุณเื่ใดจึงหันกลับมามองแวบหนึ่ง ใบหน้ากลับยิ่งมืดมนมากขึ้น ขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา
.............................
เช้าวันต่อมา หลี่อวิ๋นหังเห็นเจียงเฉิงเยว่ยืนอยู่ตรงทางเดิน เฝ้ามองเสียงร้องไห้คร่ำครวญจางๆ ที่ดังแว่วมาจากในหมู่บ้านซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป เสียงประทัดดังขึ้นเป็ระยะ
เจียงเฉิงเยว่ยืนอย่างเงียบเชียบเป็เวลานานด้วยท่าทางจริงจัง
หลี่อวิ๋นหังถอนหายใจอย่างแ่เบา วางเสื้อคลุมบนไหล่ของอีกฝ่าย เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงพลางหันมามองแล้วฝืนยิ้มอย่างลำบากใจเล็กน้อย “เซียนจวิน”
หลี่อวิ๋นหังมองตามสายตาของเขาไป โดยรู้ว่าความอึกทึกนั้นมาจากที่ใด หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ย “เื่นี้ไม่ใช่ความผิดของเ้า ไม่จำเป็ต้องคิดมาก”
เจียงเฉิงเยว่ยิ้มอย่างขมขื่นเล็กน้อย “แน่นอนว่าข้ารู้ เพียง...เลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ หาก...หากยามนั้นขยายขอบเขตของค่ายกลออกไปอีกสักหน่อย อย่างเช่นครอบคลุมทั่วทั้งลานบ้านของเขา ไม่เพียงสร้างไว้ที่ห้องด้านในเท่านั้น ซึ่งความจริงแล้วนี่ไม่คณามือสำหรับข้า ท้ายที่สุดเด็กคนนั้นจะไม่ตายใช่หรือไม่?”
หลี่อวิ๋นหังกล่าว “ทุกอย่างมีเหตุและผลของมัน หากย่าของเขาไม่ตามใจจนเกินไปคงไม่เป็เช่นนี้ เ้าไม่จำเป็ต้องแบกรับความผิดไว้กับตนเอง”
เจียงเฉิงเยว่ยิ้มบาง “ข้ารู้” เขาถอนหายใจแล้วกล่าวกับลี่อวิ๋นหังอีกครา “ขอบคุณเซียนจวิน”
ส่งผลให้ดวงตาคนผู้นั้นมืดลงเล็กน้อยและไม่เอ่ยตอบ แม้เจียงเฉิงเยว่จะไม่เข้าใจเท่าไร ทว่าไม่ได้สนใจมากนัก
“ใช่แล้ว เซียนจวิน” เจียงเฉิงเยว่นึกอะไรได้ในทันทีจึงถาม “ผนึกของที่แห่งนี้นั้น ตี้จวินแห่งปรโลกเป็ผู้วางด้วยตนเองเมื่อร้อยกว่าปีก่อน และ่ร้อยห้าสิบกว่าปีนี้ไม่เคยคลายออกมาก่อน ภูตผีิญญาร้าย เอ่อ…นอกจากข้าแล้วไม่มีทางเข้ามาได้อย่างเด็ดขาด ไม่รู้ว่าเหตุใด่นี้จึงปรากฏความเสียหายบ่อยครั้งจนภูตผีร้ายเข้ามาได้ หรือว่า...พลังิญญาบนเทือกเขาทั้งหมดที่เขาฉู่อวิ๋นพึ่งพา...มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่?”
หลี่อวิ๋นหังหันมาหาด้วยความใ เปิดปากอย่าง้าจะพูดบางอย่างทว่าหยุดไปอีกครั้ง
เจียงเฉิงเยว่หัวใจเต้นแรงเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ได้
หลี่อวิ๋นหังครุ่นคิดว่าควรใช้คำใดเอ่ย “เ้า...ยังไม่ได้รับข่าวหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่ “ทำไมหรือ?”
หลี่อวิ๋นหังกล่าว “าาฉินก่วงหายไป”
เจียงเฉิงเยว่เบิกตากว้างโดยพลัน “เกิดขึ้นเมื่อไร?”
หลี่อวิ๋นหังกล่าว “ไม่นานหลังจากที่ภาพปากว้าของไท่ซวีซิงจวินเกี่ยวกับการถือกำเนิดของาามารออกมา”
เจียงเฉิงเยว่ถามด้วยความประหลาดใจ “เป็เช่นนี้ได้อย่างไร?”
หลี่อวิ๋นหังกล่าว “สถานการณ์ที่เป็รูปธรรมข้าก็ไม่ได้เข้าใจอย่างชัดเจน เพียงว่ากันว่าก่อนหน้านี้เขาไปที่วังจินเชวีย หลังจากกลับไปที่ปรโลกไม่นานก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ค้นหาทั่วทั้งสามโลกไม่พบ ณ ตอนนี้อิงตามการคาดเดาของเหล่าเซียนจวินบน์ มีความเป็ไปได้สองประการ ประการแรกคือตัวเขาไม่เต็มใจให้ผู้ใดพบ ประการที่สอง...”
เจียงเฉิงเยว่ขมวดคิ้ว นิ่งค้างเป็เวลานาน สุดท้ายเอ่ยกับตนเองราวกับปลอบโยน “ไม่มีทาง! พลังิญญาของตี้จวินนั้นสูงส่งและล้ำลึก...”
หลี่อวิ๋นหังยังคงไม่ตอบอะไร
เจียงเฉิงเยว่ถอนหายใจ “ไม่ว่าอย่างไร...ตลาดผีจะเปิดในไม่ช้า สุดท้ายแล้วต้องกลับไปที่ปรโลกสักครา”
ทั้งสองคนรั้งอยู่ไม่นานแล้วเตรียมออกเดินทางในไม่กี่วันหลังจากนั้น
ไป้เอ๋อร์และครอบครัวมาส่งพวกเขาห่างหมู่บ้านออกไปไกลหลายลี้ ทั้งยังร้องไห้พลางกำชายเสื้อของเจียงเฉิงเยว่ บอกข้อควรระวังในการเดินทางครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับทั้งสองคนสลับบทบาทกันอยู่
ทั้งสองคนเดินนำหน้า หลี่อวิ๋นหัง บิดามารดาและพี่ชายของเขาเดินตามหลังอยู่สองสามก้าว เมื่อบิดาของไป้เอ๋อร์เห็นว่าหลี่อวิ๋นหังไม่พูดไม่จา กำลังมองสองอาจารย์ศิษย์ตรงหน้าที่คุยกันไม่พัก บรรยากาศทางด้านนี้ช่างอึดอัดเสียจริง เขาจึงต้องอธิบายด้วยรอยยิ้มแหย “ไป้เอ๋อร์เติบโตอยู่ข้างกายอาจารย์ของเขามาั้แ่ยังเล็ก...หลายปีมานี้พวกเขาไม่เคยแยกจากกันมาก่อน ฮ่าๆๆ เด็กคนนี้มีความรู้สึกผูกพันมาก คิดว่าคงทำใจไม่ได้”
หลี่อวิ๋นหังมองเขาด้วยรอยยิ้มซับซ้อน
เจียงเฉิงเยว่สะพายกระเป๋าใบใหญ่อย่างโอ้อวด ตอบรับคำกำชับของคนตัวเล็กอย่างอดทน “ข้านำร่ม อาหารแห้ง น้ำ เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องรางอาวุธวิเศษ ทุกอย่างล้วนนำมาหมดแล้ว อาจารย์ของเ้าจะไม่หิว ไม่กระหาย ไม่หนาว ไม่ร้อน ไม่เปียก ไม่โดนแดด เอาล่ะไป้เอ๋อร์ อาจารย์จะออกไปทำธุระสักหน่อย จัดการแล้วย่อมต้องกลับมา เ้าอยู่บ้านรออาจารย์อย่างเชื่อฟังพอ อย่าได้ทำเหมือนกับจากกันไปชั่วชีวิตเลย”
ใบหน้าเล็กของไป้เอ๋อร์ขาวซีด ส่งเสียง ‘เพ้ย’ หลายคำแล้วดุอาจารย์ของตน “อาหารสามารถกินอย่างส่งเดชได้ แต่ถ้อยคำไม่อาจซี้ซั้วพูด!”
เจียงเฉิงเยว่กลั้นหัวเราะไม่อยู่ “ขอรับๆๆ อาจารย์ผิดไปแล้ว”
ไป้เอ๋อร์ดึงแขนเสื้อเขาอีกครา ขยี้ตาแล้วเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ท่านไม่ต้องกังวลเื่ในอาราม...”
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “อืม”
ไป้เอ๋อร์กล่าวรับรองด้วยท่าทีเป็ผู้ใหญ่ตัวน้อย “ข้าจะทำความสะอาดทุกวัน รับรองได้ว่าสะอาดหลังท่านกลับมาทุกเวลา!”
เจียงเฉิงเยว่ก้มลงบีบใบหน้าเล็กของเขาด้วยความเอ็นดู “อาจารย์มีเ้าเป็ลูกศิษย์ที่เก่งกาจเช่นนี้ ยังมีอะไรให้ต้องกังวลอีกหรือ?”
สือเยว่ที่ยืนอยู่ข้างกายหลี่อวิ๋นหังมองสองอาจารย์ศิษย์แล้วเอ่ยพึมพำ “นอกจากคนในครอบครัวแล้ว ไป้เอ๋อร์มีความผูกพันกับอาจารย์ที่สุดั้แ่เด็ก ไม่สิ อาจจัดอาจารย์ของเขาไว้ลำดับสูงกว่าคนในครอบครัวเสียอีก”
หลังจากทั้งสองคนบอกลากันเสร็จสิ้นเสียที บิดามารดาของไป้เอ๋อร์ส่งเนื้อแห้ง ขนมปังแผ่นและสิ่งของอื่นๆ ให้ด้วยรอยยิ้มเพื่อให้เขากินระหว่างทาง เจียงเฉิงเยว่รับมา ไป้เอ๋อร์หลีกทางให้อย่างรู้ความเพื่อให้โอกาสบิดากับมารดาของตนบอกลากับอาจารย์ เขายังคงเดินออกไปด้านหนึ่งเพื่อเช็ดน้ำตา
บิดาของไป้เอ๋อร์บอกด้วยรอยยิ้ม “ท่านนักพรต เดินทางครั้งนี้ระมัดระวังด้วย” เจียงเฉิงเยว่เพียงยกยิ้ม เขาถอนหายใจอีกครั้ง “วันนั้น...เื่ในบ้านอาหนิว ท่านนักพรตอย่าได้ใส่ใจ ครอบครัวของพวกเขามีอาหนิวเป็ลูกคนเดียว เมื่อจู่ๆ ไม่มีแล้วจิตใจคงรับไม่ไหวจึงพูดโดยไม่ทันยั้งคิด ความจริงแล้วคนบ้านเดียวกันต่างรู้ว่าท่านนักพรตดูแลพวกเรามากมายหลายปีนี้...ด้วยเื่นี้ ท่านอย่าได้เก็บมาใส่ใจนัก”
มารดาของไป้เอ๋อร์รีบกล่าวต่อ “ใช่แล้วๆ พูดแล้วก็น่าสงสาร เด็กคนนั้นเสียชีวิตอย่างน่าสังเวช ครอบครัวจึงพังทลายเช่นนี้ ได้ยินว่าย่ากับแม่ของเขาล้มป่วย ท่านนักพรตเป็ผู้ทรงความรู้ อย่าได้ถือสาพวกเขาที่ไม่รู้ความเลย”
บิดาของไป้เอ๋อร์ “ไม่กล่าวอันใดอีก ก่อนหน้านี้ท่านนักพรตเคยช่วยเหลือพวกเราหลายครั้งแล้ว แม้แต่อีแปะเดียวก็ไม่รับ หากเป็ ‘เซียน’ ที่น่ารำคาญซึ่งมาจากในเมืองล้วนเป็เื่ที่เป็ไปไม่ได้ ทุกคนต่างรู้ว่าท่านนักพรตเป็ผู้ที่มีการบ่มเพาะยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง จึงได้แต่เหยียดหยามเท่านั้น ปกติท่านนักพรตปฏิบัติกับพวกเราอย่างไร พวกเราย่อมรู้อยู่แก่ใจ”
เจียงเฉิงเยว่ยิ้มอย่างขมขื่นเล็กน้อย “พวกท่านวางใจเถิด ข้าจะไม่เก็บมาใส่ใจ”
ระหว่างที่ทางด้านนี้กำลังพูดคุย ทางด้านหลี่อวิ๋นหังมองไป้เอ๋อร์ที่ยืนไม่ไกลจากตนเอง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเรียก
ไป้เอ๋อร์หันมามองเขาอย่างไม่เชื่อถือเล็กน้อย นิ่งค้างอยู่นานก่อนชี้ที่จมูกของตนเอง “พี่ชายเทพเซียน ท่าน...ท่านเรียกข้าหรือ?”
หลี่อวิ๋นหังพยักหน้า “อืม”
หลังจากนั้น ไป้เอ๋อร์รีบวิ่งมายืนตรงหน้า เงยหน้ามองเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเคารพ
หลี่อวิ๋นหังหยิบวัตถุชิ้นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นไปต่อหน้า
ไป้เอ๋อร์มองวัตถุในมือของเขาอย่างตกตะลึง รูปร่างและสีสันช่างคุ้นเคยยิ่งนัก ทว่ามีบางแห่งที่ผิดปกติ...ทันใดนั้นเขาจึงตอบสนอง นี่คืออีกครึ่งหนึ่งของหยกคู่เพลิงสุวรรณที่ท่านอาจารย์บอกอย่างนั้นหรือ?!
หลี่อวิ๋นหังกล่าว “รับไป”
เจียงเฉิงเยว่ไม่สนใจที่จะพูดคุยกับพ่อแม่ของไป้เอ๋อร์อีกต่อไป เขามองหลี่อวิ๋นหังด้วยความประหลาดใจนัก
ไป้เอ๋อร์ไม่ขยับเขยื้อนอยู่นาน หลี่อวิ๋นหังจึงกล่าวอีกครั้งอย่างอดทน “รับไป” น้ำเสียงเพิ่มความหนักแน่นขึ้นเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้
------------------------
