เื่ที่หยวนชิงหลิงตบหน้าของหลี่อันหรงถูกลือไปทั่วคณะราชทูต ต่อมาเมื่อถึงเวลาพักทานอาหาร เหล่าสาวงามทั้งยี่สิบต่างก็ไม่มีใครกล้าโวยวายขึ้นอีก เพราะกลัวว่าตนจะโดนตบจนหน้าบวมเป็หัวหมูเหมือนกันกับหลี่อันหรง ทำให้ความสงบสุขกลับคืนมาสู่คณะราชทูตอีกครั้ง
“ชิงหลิง เ้าดูสิว่าข้าได้สิ่งใดมา”
พ่อครัวที่ชื่ออาเฟยยกปลาหลีฮื่อหลายตัวให้นางดู
“ท่านได้มาจากไหน ดีเสียจริงข้าทานเนื้อจนเอียนแล้ว ได้ทานปลาบ้างคงรู้สึกดีไม่น้อย”
หยวนชิงหลิงยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“องครักษ์สามคนนั้นให้มา เขาบอกว่าปลานี่ให้เ้าทั้งหมด พวกเขาคงจะอยากขอบคุณที่เ้าทำอาหารให้ทุกคนทาน ทั้งยังช่วยปรามสาวงามพวกนั้นด้วย”
หยวนชิงหลิงมองตามมืออาเฟยที่ชี้ไปที่องครักษ์รูปร่างสูงใหญ่สามคน แต่พวกเขากลับมีใบหน้าที่แสนธรรมดายิ่งนัก นางพยักหน้าขอบคุณก่อนที่จะจัดการกับปลาที่พึ่งได้มา
หยวนชิงหลิงทำปลาหลีฮื้อย่างเกลือและปลาหลีฮื้อผัดเปรี้ยวหวานสองอย่าง กลิ่นหอมของมันกระจายไปทั่วทำให้คนในคณะราชทูตต่างก็เข้ามามุงดู นางตักอาหารสองอย่างใส่ชามแล้วนำไปส่งให้องครักษ์ทั้งสามที่ยืนอยู่ไม่ไกล
“ขอบคุณอีกครั้งสำหรับปลานะเ้าคะ ข้าทำส่วนของพวกท่านเอาไว้ด้วย หวังว่ารสชาติจะถูกปากพวกท่าน”
อาหารจากปลาสองอย่างผัดผักหนึ่งอย่างและน้ำแกง กินกับข้าวที่หุงเสร็จใหม่ร้อนๆ เสียงน้ำย่อยในกระเพาะของแต่ละคนร้องครวญครางขึ้นมาพร้อมกัน องครักษ์ทั้งสามรู้สึกอับอายจนต้องหันหน้าหนี หยวนชิงหลิงเองก็ได้ยินอย่างชัดเจน นางยกมือปิดปากหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะกลับมาทานอาหารในส่วนของตน
“ดูนางสิ หัวร่อต่อกระซิกกับพวกองครักษ์ตัวเหม็นพวกนั้น ช่างไร้ยางอายเสียจริง นางลืมไปแล้วหรือว่าบิดาของนางถูกแม่ทัพแคว้นเซี่ยสังหาร หยวนชิงหลิงนางช่างเป็บุตรสาวที่อกตัญญูยิ่งนัก”
หลี่อันหรงพูดกับสตรีอีกสองคนที่นั่งรถม้าคันเดียวกับนาง ทั้งขบวนราชทูตมีเพียงหยวนชิงหลิงเท่านั้นที่มีรถม้านั่งเป็ส่วนตัว สตรีบรรณาการทั้งยี่สิบคนต้องแบ่งกันสามคนต่อรถม้าหนึ่งคัน ทำให้เวลานอนต้องเบียดเสียดยิ่งนัก นี่ก็เป็อีกเื่หนึ่งที่ทำให้หลี่อันหรงไม่พอใจในตัวของหยวนชิงหลิง
“นางทำอาหารได้อร่อยยิ่งนัก”
องครักษ์หนึ่งในสามเอ่ยขึ้น หลังจากจัดการอาหารที่หยวนชิงหลิงนำมาให้จนหมดเกลี้ยง ได้ยินสหายเอ่ยดังนั้นอีกสองคนก็พยักหน้าเห็นด้วย ดูเหมือนครั้งหน้าคงต้องหาเนื้อสัตว์มาให้นางช่วยทำอาหารในระหว่างการเดินทางอันแสนยาวไกลนี่เสียแล้ว
ดวงตะวันลับขอบฟ้าไปนานแล้ว ทุกคนต่างเร่งทำภารกิจส่วนตัวของตนให้เสร็จ และจะได้รีบเข้านอนเพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาทั้งวัน หยวนชิงหลิงรู้สึกเหนียวตัวเพราะควันจากการที่นางทำอาหาร จึงคิดว่าตนเองควรจะอาบน้ำสักหน่อย นางรอให้คนในขบวนเข้านอนกันหมด เหลือเพียงทหารที่ทำหน้าที่เฝ้ายามไม่กี่คน ก่อนที่จะย่องออกจากรถม้าตรงไปยังลำธารที่ห่างออกไป
“ฮ่า!!!เย็นสบายเหลือเกิน”
ร่างเล็กแหวกว่ายไปมาในน้ำท่าทางอารมณ์ดี การที่ต้องนั่งอยู่ในรถม้าโยกเยกทั้งวันทำให้นางปวดเมื่อยไปทั้งตัว น้ำเย็นในลำธารช่วยทำให้นางรู้สึกสดชื่นขึ้นไม่น้อย
ในระหว่างที่หยวนชิงหลิงกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการเล่นน้ำ เสียงเดินของใครบางคนก็มุ่งตรงมาที่นาง แม้ตอนนี้นางจะไม่ได้แก้ผ้า แต่ชุดที่นางใส่ก็บางเกินไปยิ่งมันเปียกน้ำยิ่งทำให้มองเห็นส่วนเว้าส่วนโค้งของนางได้อย่างชัดเจน
“กลับขึ้นมาได้แล้ว”
เสียงทุ้มที่แสนคุ้นเคยดังมาจากด้านหลังโขดหิน หยวนชิงหลิงขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด นางเคยได้ยินเสียงนี้ที่ไหนกันนะ
“เ้าเป็ใคร หรือว่าเป็องครักษ์ที่เฝ้ายามอย่างนั้นหรือ รอก่อนข้ากำลังไป”
ไม่มีเสียงตอบกลับมา หยวนชิงหลิงค่อยๆ ว่ายกลับขึ้นฝั่ง แต่เพราะนางใช้เวลาอยู่ในน้ำนานมากเกินไปทำให้ขาของนางเกิดเป็ตะคริว นางพยายามตะเกียกตะกายกลับขึ้นฝั่งแต่ก็ไร้ผล ร่างบางค่อยๆ จมลงในน้ำเย็นอย่างช้าๆ ก่อนที่นางจะทันได้ะโขอความช่วยเหลือ
บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ที่ยืนกอดอกหันหลังให้นางอยู่อีกฝั่งของโขดหินคือ หนึ่งในองครักษ์ที่หยวนชิงหลิงทำอาหารให้ทานวันนี้ เขาเห็นนางแอบย่องมาที่ลำธารจึงได้ตามมาดู เห็นว่านางอยู่ในน้ำนานเกินไปกลัวว่านางจะไม่สบาย จึงแสดงตัวเพื่อสั่งให้นางขึ้นจากน้ำ
เขายืนรออยู่นานไม่ได้ยินเสียงของนาง ร่างสูงจึงเดินอ้อมโขดหินไปดู ไร้ร่างบางที่เคยแหวกว่ายอยู่ในลำธารก่อนหน้านี้ ชุดคลุมของนางยังคงวางอยู่ที่โขดหินเช่นเดิม ถ้านางยังไม่จากไปเช่นนั้นก็หมายความว่านางยังคงอยู่ในน้ำ ทันความคิดของตน องครักษ์ผู้นั้นก็ะโลงไปในน้ำทันที
เขาดำลงไปตรงจุดที่นางเคยอยู่ก่อนหน้านี้ ผ่านไปไม่นานสองร่างก็โผล่พรวดขึ้นมาเหนือน้ำพร้อมกัน เขาว่ายน้ำพาร่างที่ไร้สติของนางกลับขึ้นมาบนฝั่ง ก่อนที่จะใช้นิ้วอังที่จมูกของนาง หยวนชิงหลิงไม่หายใจแล้ว องครักษ์ผู้นั้นตบหน้านางเบาๆ หลายที ก่อนที่จะยกร่างบางพาดบ่าแล้วเขย่าให้นางคายน้ำออกมา
“แค็กๆๆๆ!!!”
หยวนชิงหลิงพ่นน้ำออกจากปากก่อนที่นางจะพยายามสูดเอาอากาศเข้าไปในปอด สติที่เลือนรางทำให้นางมองเห็นใบหน้าของผู้ที่ช่วยชีวิตตนเองได้ไม่ชัด แต่กลิ่นหอมจางๆ ที่ออกมาจากตัวเขานั้น นางรู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก
“เ้า....หรือว่า”
หยวนชิงหลิงยื่นมือออกไป พยายามจะััใบหน้าของเขาก่อนที่นางจะหมดสติไป
“หยวนชิงหลิง!!!”
บุรุษผู้นั้นเขย่าเรียกนาง ก่อนที่จะอุ้มร่างเล็กทะยานกลับไปที่ค่ายพัก
“ไปตามหมอมา”
องครักษ์ผู้นั้นสั่งคนของตนเสียงดัง ผ่านไปไม่นานหมอหนุ่มในชุดขาวก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมาที่รถม้าของหยวนชิงหลิง หลังจากตรวจชีพจรของนางเสร็จ เขาก็รายงานองครักษ์ผู้นั้นด้วยท่าทีเคารพ
“เรียนท่านอ๋อง โชคดีที่ร่างกายของนางแข็งแรงจึงเพียงสลบไปเท่านั้น กระหม่อมจะต้มยาเพื่อขับไล่ไอเย็นออกจากร่างกายให้นาง รอนางฟื้นค่อยให้นางดื่ม”
ใบหน้าของชายผู้ที่ถูกเรียกว่าท่านอ๋องคลายความกังวลลงไปเล็กน้อย เขามองใบหน้าซีดเซียวของนางก่อนที่จะสั่งคนของตนอีกครั้ง
“เข่อซิงไปปลุกสตรีบรรณาการหนึ่งคนให้มาดูแลนาง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์ร่างสูงนามเข่อซิง ที่ยืนอยู่ด้านนอกเพื่อรอรับคำสั่ง เดินจากไปและไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมสตรีใบหน้างดงามนางหนึ่ง ท่าทางของนางแลดูมึนงงเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นางก็ทำตามคำสั่งขององครักษ์ผู้นั้นแต่โดยดีโดยมิได้ปริปากถาม
“จงเก็บเื่ที่เ้าเห็นในคืนนี้เอาไว้เป็ความลับ หากข้าได้ยินว่ามีผู้ใดเอ่ยถึงเื่นี้ ข้าจะฝังเ้าเอาไว้กลางป่า”
เซี่ยหวายอีหรือจิ้นอ๋องที่ปลอมตัวเป็องครักษ์คุ้มกันขบวนราชทูต ข่มขู่จ้าวหงอิงก่อนที่เขาจะลงจากรถม้าไป จ้าวหงอิงที่นั่งตัวลีบอยู่ในมุมหนึ่งของรถม้าถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่จะช่วยเปลี่ยนชุดที่เปียกชื้นออกจากร่างของหยวนชิงหลิง
“ท่านไปทำอันใดมากันแน่ท่านหญิงลู่จิว”
จ้าวหงอิงมองใบหน้างามที่กำลังหลับสนิทก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ นางส่ายหน้าให้กับความอยากรู้อยากเห็นของตนเอง
“เฮ่อ!!!อย่ารู้เลยจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นได้อายุสั้นแน่ๆ ท่านหญิงท่านเองก็คงจะลำบากไม่น้อยเช่นกันสินะ ข้ายังหวังว่าสักวันพวกเราจะได้กลับไปพบหน้าครอบครัวที่แคว้นฉินอีกครั้ง”
จ้าวหงอิงมองสำรวจภายในรถม้าที่หยวนชิงหลิงโดยสารมา รถม้าของนางที่ได้รับสิทธิ์นั่งมาคนเดียวช่างกว้างขวาง ภายในก็ถูกบุนวมเอาไว้เป็อย่างดี เวลาออกวิ่งคงจะไม่ะเืเท่าใดนัก ราชทูตแคว้นเซี่ยช่างดีต่อนางจริงๆ
จ้าวหงอิงล้มตัวลงนอนฝั่งตรงข้ามกับหยวนชิงหลิง สายตาของนางเหม่อมองไปบนเพดานรถม้า ข้ารู้แล้วว่าเหตุใดท่านถึงไม่นำผู้ติดตามหรือสาวใช้มาด้วยเพื่อคอยช่วยดูแล ท่านคงจะรู้อยู่แล้วสินะว่าหนทางไปยังแคว้นเซี่ยนั้น ทั้งยาวไกลและยากลำบาก
แต่ตลอดการเดินทางข้าไม่เคยเห็นท่านปริปากบ่นเลยสักครั้ง ท่านช่างแตกต่างจากผู้อื่นยิ่งนัก จ้าวหงอิงหันกลับไปมองร่างบางที่กำลังนอนหลับสนิท สายตาของนางแสดงออกว่ารู้สึกเลื่อมใสในตัวของหยวนชิงหลิงมากขึ้นกว่าเดิม
เช้าตรู่ของวันต่อมา หยวนชิงหลิงรู้สึกตัวแล้วนางคิดว่าตนเองคงจะจมน้ำเสียชีวิตไปโดยที่ไม่มีผู้ใดรู้ แต่แล้วความทรงจำอันเลือนรางของนางก็วาบผ่านเข้ามาในหัว
“เ้าเป็คนแคว้นเซี่ยเองสินะ”
หยวนชิงหลิงเปรยออกมาเสียงเบา นางลุกขึ้นนั่งก่อนที่จะพบว่าตนเองอยู่ในชุดใหม่ มิใช่ชุดที่นางใส่เล่นน้ำเมื่อคืน
“คะ...ใครเป็คนเปลี่ยนชุดให้ข้า”
หยวนชิงหลิงอุทานออกมาอย่างใ
“ท่านหญิงลู่จิว ท่านฟื้นแล้วหรือข้าจะไปตามท่านหมอมาช่วยตรวจอาการให้ท่าน รอสักครู่นะเ้าคะ”
จ้าวหงอิงทำท่าจะลุกขึ้น แต่หยวนชิงหลิงห้ามนางเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวก่อน เ้าเป็คนเปลี่ยนชุดให้ข้าใช่หรือไม่”
จ้าวหงอิงพยักหน้า
“เมื่อคืนท่านองครักษ์ไปปลุกให้ข้ามาช่วยเปลี่ยนชุดให้ท่าน อ้อ ข้าชื่อว่าจ้าวหงอิงเ้าค่ะ บิดาของข้าเป็ขุนนางขั้นห้าสังกัดกรมพระคลังเ้าค่ะ”
หยวนชิงหลิงพยักหน้า จ้าวหงอิงอย่างนั้นหรือบุตรีของขุนนางเล็กๆ ก็คงจะไม่มีสิทธิ์คัดค้านได้เลยสินะ นึกว่าคนที่ถูกส่งตัวมาจะมีเพียงบุตรีที่เกิดจากอนุภรรยาในจวนขุนนางเสียอีก เ้าและครอบครัวคงจะลำบากไม่น้อยเพราะความเอาแต่ใจของฮ่องเต้นั่นเพียงคนเดียว
หยวนชิงหลิงลอบสังเกตจ้าวหงอิงอย่างไม่ให้นางรู้ตัว ท่าทางของนางดูซื่อตรงดวงตากระจ่างใสแลดูไม่มีเล่ห์เหลี่ยม แต่คนเราจะมองผู้อื่นแค่เพียงภายนอกเท่านั้นมิได้ ดั่งเช่นองค์ชายห้าที่นางเคยตกหลุมพรางมาแล้วก่อนหน้านี้ เอาเถอะ ถึงอย่างไรนางก็เคยช่วยเราเอาไว้ทำดีกับนางสักหน่อยคงไม่เป็ไร หากว่านางมิใช่อย่างที่เห็นภายนอกตอนนั้นค่อยเขี่ยนางทิ้งก็ยังไม่สาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้