ด้านในตำหนักกว้างขวางและใหญ่โตมโหฬาร แต่กลับมีกลิ่นคาวเืลอยโชยมาแตะจมูกของเหล่าผู้คน ทำให้ผู้คนเหลือบไปมองก่อนจะเห็นศพอยู่บนพื้น ซึ่งเป็ผู้ฝึกยุทธ์กลุ่มแรกที่เข้ามาก่อนพวกเขา แต่บัดนี้นอนอยู่ที่นี่ บรรยากาศชวนให้ทุกคนต้องขนลุกขนพอง
“น่ากลัวมาก!” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวเสียงสั่นและต้องเซถอยหลัง เขารู้สึกว่าไอมรณะเข้าปกคลุมร่างเขา ตอนที่เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว จู่ ๆ ไอมรณะก่อตัวเป็ฝ่ามือใหญ่ที่กลางอากาศ ก่อนจะคว้าคอเขา ทำให้เขาหายใจลำบาก สีหน้าบูดเบี้ยว ดิ้นทุรนทุราย แต่ไม่ว่าผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นจะดิ้นรนอย่างไรก็มิอาจหลุดพ้นพันธนาการของฝ่ามือมรณะนั่นได้ นาทีต่อมาได้ยินเสียงดังกร๊อบ ฝ่ามือมรณะบดขยี้คอของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นตัวสั่นแรง ดวงตาเบิกโพลง ก่อนร่างจะร่วงลงสู่พื้นโดยไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
เมื่อผู้คนเห็นฉากนี้ต่างก็ตกตะลึงพร้อมตัวสั่นระริก เหงื่อแตกพลั่ก มีหลายคนเริ่มเสียใจที่เข้ามาในตำหนักแห่งนี้ แต่ว่าพวกเขาไม่มีความกล้าพอที่จะถอนตัวตอนนี้ ทำได้เพียงยืนโง่ ๆ อยู่ที่เดิม
“ครืน...” แต่ขณะเดียวกันไอมรณะในตำหนักเริ่มคลุ้มคลั่ง จากนั้นกลายเป็คมมีดมรณะพุ่งเข้าโจมตีทุกคนด้วยความเร็วปานฟ้าแลบ
“อัก โอย ตุบ!” เสียงโอดครวญดังออกมาหลายเสียง มีผู้ฝึกยุทธ์หลายคนถูกคมมีดมรณะเชือดเฉือนจนเืสาดกระเซ็นไปทั่วอากาศ
เย่เฟิงชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นเขาแทงหอกัเงินประกายอย่างต่อเนื่อง ทำลายคมมีดมรณะที่พุ่งเข้ามาหา ในขณะเดียวกันเขาได้ยินเสียงร้องของหลันเซียง ขณะนั้นมีคมมีดมรณะมาหมายพุ่งเข้ามาหานาง ทำให้นางรับมือไม่ทันจนกระทั่งถูกคมมีดมรณะเล่มหนึ่งกรีดผ่านลำคอยาวระหง
“ปัง!” ตอนนั้นเองมีแสงเยือกเย็นสว่างวาบที่ด้านหน้าหลันเซียง ก่อนคมมีดมรณะจำนวนมากจะถูกทำลาย หลันเซียงรอดพ้นจากหายนะ แต่ก็ใเป็อย่างมาก
คมมีดมรณะคร่าชีวิตของผู้ฝึกยุทธ์ไปหลายสิบคน ทำให้หลายคนตระหนักได้ว่าตำหนักใหญ่แห่งนี้ไม่ได้สวยงามอย่างที่เห็นภายนอก แต่มันเต็มไปด้วยหลุมพรางและการสังหารไร้ที่สิ้นสุด ดังนั้นทุกคนจึงเปลี่ยนไปตึงเครียด ไม่ผ่อนคลายเฉกเช่นก่อนหน้านี้
“จะรั้งอยู่ที่นี่นานไม่ได้ พวกเราเดินหน้าต่อกันเถอะ” คมมีดมรณะหายไป เย่เฟิงก็กล่าวกับชิงเซียงและหลันเซียงด้วยสีหน้าระแวดระวัง
“อืม” หญิงทั้งสองพยักหน้าเห็นด้วย มีเย่เฟิงอยู่พวกนางก็ปลอดภัย ราวกับว่าการมีอยู่ของเย่เฟิง อันตรายทุกอย่างก็ถูกแก้ไขได้หมด
เมื่อกล่าวจบ ชิงเซียง หลันเซียง และเย่เฟิงก็มุ่งหน้าเข้าส่วนลึกของตำหนัก
“ในเมื่อไม่มีทางให้ถอย งั้นพวกเราก็เข้าไปข้างในเถอะ” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวขณะมองพวกเย่เฟิงนำหน้าไปก่อน พวกเขารู้ว่าตำหนักแห่งนี้แปลกพิลึก ทว่าทำได้เพียงเข้าไปด้านในแต่ไร้หนทางออก หากถอนตัวก็ต้องถูกฝ่ามือมรณะนั่นบดขยี้ลำคอ แน่นอนว่าการที่เลือกเข้าส่วนลึกของตำหนักก็ต้องยอมรับอันตรายและบททดสอบ ถึงอย่างไรพวกเขาทุกคนก็มิอาจหนีหรือหลบซ่อนในตำหนักนี้ได้
เมื่อเห็นพวกเย่เฟิงเดินเข้าไปข้างใน ผู้ฝึกยุทธ์คนอื่น ๆ ก็เหลือบมองหน้ากัน ก่อนจะเดินตามไป ไม่นานบริเวณข้างหน้าของทุกคนก็ปรากฏบันไดขนาดใหญ่ ดูเหมือนจะเป็ทางเชื่อมขึ้นไปยังชั้นที่สองของตำหนัก
ผู้คนตาเป็ประกาย ้าใช้บันไดนี้ขึ้นไปยังชั้นที่สองของตำหนัก แต่ขณะนั้นไอมรณะไร้ที่สิ้นสุดรวมตัวกัน กลายเป็เงาคนหลายร่าง ทั้งยังส่งเสียงที่เปี่ยมด้วยเจตจำนงมรณะออกมา แต่ละคนยังมีพลังเทียบเท่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 5 จากนั้นบุกโจมตีทุกคนพร้อมแผดเสียงคำราม นี่ทำให้ทุกคนตาเผยประกายคมกริบ ก่อนจะได้ยินคนผู้หนึ่งพูดขึ้นว่า “พวกนี้คือิญญามรณะที่สร้างขึ้นจากไอมรณะ เห็นที่พวกเราต้องฆ่าเ้าพวกนี้ ถึงจะขึ้นไปยังชั้นที่สองของตำหนักได้”
“ย้าก!” ิญญามรณะส่งเสียงคำรามไม่หยุด พร้อมกับบุกโจมตีทุกคน ศึกต่อสู้จึงเริ่มขึ้น เสียงโจมตีเสียงกรีดร้องดังขึ้นไม่หยุด ซึ่งิญญามรณะเ่าั้ไม่มีจิตสำนึก ไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก หาก้ากำจัดก็ต้องใช้เคล็ดวิชาทำลายให้เป็ผุยผงจึงจะได้ แต่หลาย ๆ คนในที่แห่งนี้ไม่มีพลังเช่นนั้น จึงทำให้ถูกฆ่าตายไปไม่น้อย
เย่เฟิงควงหอกัเงินประกาย ทำให้ิญญามรณะเ่าั้มิอาจเข้าใกล้ตัวเย่เฟิง เมื่อมีการคุ้มครองจากเย่เฟิง ชิงเซียงและหลันเซียงจึงจัดการิญญามรณะได้อย่างราบรื่น นอกจากทางด้านเย่เฟิงแล้ว อัจฉริยะที่มาจากกองกำลังต่าง ๆ ของจักรวรรดิจิ่วโยวก็แข็งแกร่งไม่แพ้กัน แน่นอนว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับเกิ่งหัวและมู่หรงเฟิงสามารถจัดการกับิญญามรณะได้ด้วยตัวคนเดียว
ศึกต่อสู้ดุเดือดขึ้นเรื่อย ๆ พลังโจมตีต่างถูกปลดปล่อยอย่างต่อเนื่อง กลิ่นอายแห่งความตายคละคลุ้งไปทั่วอากาศอย่างรุนแรง แต่เมื่อเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป ศึกต่อสู้ก็สิ้นสุดลง ิญญามรณะทุกตนถูกกำจัด แต่ฝ่ายผู้ฝึกยุทธ์มนุษย์ถูกิญญามรณะฆ่าตายไป 20 กว่าคน บนพื้นจึงเต็มไปด้วยซากศพอันเย็นเยียบ สภาพก็ยังดูน่าอนาถ
“พวกเราไป!” เย่เฟิงกล่าวกับชิงเซียงและหลันเซียง ด้วยประสาทััที่แกร่งกล้าของเขา เขารับรู้ได้ว่ามีคลื่นพลังงานแผ่ออกมาจาก้าของบันได ซึ่งคลื่นพลังงานเช่นนั้นบริสุทธิ์อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่รู้ว่าล้ำลึกกว่าพลังแห่งอำนาจมากน้อยเพียงใด
เย่เฟิงเดาว่านั่นก็คือพลังเจตจำนงในตำนาน ดังนั้นเขารู้สึกว่าผลึกเจตจำนงแรกเริ่มอยู่ที่นั่น บางทีเป็ชั้นบนสุดของตำหนัก
ชิงเซียงและหลันเซียงกะพริบตาปริบ ๆ จากนั้นเดินตามหลังเย่เฟิงเพื่อขึ้นบันไดไปยังชั้นที่สองของตำหนัก
ผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ด้านหลังย่อมไม่ยอมตกอยู่เื้ั จึงแย่งชิงกันขึ้นบันได เมื่อเผชิญหน้ากับอันตรายก็ไม่มีผู้ใดถอยหลังแม้สักคนเดียว
โลกแห่งการบำเพ็ญก็เหมือนกับการพนัน มีทั้งจังหวะ โอกาสและวิกฤตอันตราย หาก้าได้รับโอกาสที่ดีที่สุดก็ต้องยอมรับวิกฤตอันตราย
ไม่นานทุกคนขึ้นไปถึงชั้นที่สองของตำหนัก ทันใดนั้นไอมรณะที่แกร่งยิ่งกว่ามารวมตัวกัน ก่อนจะปรากฏิญญามรณะจำนวนมาก ในนั้นรวมทั้งร่างิญญาสัตว์อสูรขนาดใหญ่ จากนั้นพลังอสูรถูกปลดปล่อยก่อนจะบุกโจมตีทุกคน นี่ทำให้ทุกคนตาเบิกกว้างด้วยความใ บันไดของตำหนักไม่ใช่ว่าจะผ่านไปง่าย ๆ ตามที่คาดไว้ ิญญามรณะที่ปรากฏในชั้นที่สองนี้ ไม่ว่าจะเป็จำนวนหรือพลังก็ล้วนแกร่งกว่าของชั้นที่หนึ่ง พลังโจมตีก็กระหายเืมากขึ้น
“พวกเ้าสองคนอยู่ใกล้ ๆ ข้าไว้” เย่เฟิงกำชับชิงเซียงและหลันเซียง พวกนางพยักหน้าตอบกลับ จากนั้นทั้งสามคนหันหลังเข้าหากันและเริ่มโจมตีทันที
“โฮก!!!” ิญญามรณะนับไม่ถ้วนส่งเสียงคำราม พร้อมปลดปล่อยพลังมรณะ ห้วงอากาศแข็งตัวเล็กน้อย ศึกใหญ่เริ่มปะทุขึ้น
ศึกครั้งนี้น่าเวทนากว่าครั้งก่อน ด้วยการโจมตีของิญญามรณะนับไม่ถ้วน ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ถูกฆ่าตายไปหลายคน มีเพียงอัจฉริยะชั้นยอดเ่าั้ที่รับมือกับพวกิญญามรณะได้ ซึ่งศึกนี้ดำเนินไปกว่าครึ่งชั่วยาม ผลลัพธ์ก็น่าเศร้าเช่นเดิม มี 50 กว่าคนตกตายในน้ำมือของิญญามรณะ
สุดท้ายแล้วผู้ที่เหลือรอดก็มีประมาณร้อยคน เมื่อเทียบเท่ากับจำนวนพันกว่าคนที่เข้ามายังมิติก้นบึ้งทะเลสาบในตอนแรก ร้อยคนถือว่าน้อยมาก จนกระทั่งตอนนี้อัตราการเสียชีวิตในมิติก้นบึ้งทะเลสาบได้เกินเก้าส่วนขึ้นไปแล้ว อาจกล่าวได้ว่าร้อยคนที่รอดชีวิตมาได้ล้วนเป็ผู้มากฝีมือที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพร์และศักยภาพที่ยอดเยี่ยม
ผ่านไปสักพัก ทุกคนก็เดินขึ้นบันไดไปยังชั้นบนสุดของตำหนัก หรือก็คือชั้นที่สามนั้นเอง
ทันใดนั้นพลังที่ล้ำลึกกว่าพลังแห่งอำนาจเข้าปกคลุมร่างทุกคน ทำให้พวกเขาััถึงพลังใหม่ได้ในทันที แต่การจะจับต้องพลังเช่นนี้ยังห่างไกลเกินไป
อย่างไรก็ตาม การััครั้งนี้ราวกับทำให้พวกเขาเข้าใจพลังแห่งอำนาจในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า
เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็เห็นว่ากระแสอากาศของชั้นที่สามมีพลังนั่นล่องลอยอยู่ บนพื้นก็ยังมีลวดลายรวมเป็ภาพขนาดใหญ่ ทั้งยังมีคลื่นพลังงานที่สลับซับซ้อนโคจรอยู่บนนั้น ทุกลวดลายล้วนมีวิถีเคลื่อนไหวที่พิเศษของมันเอง ราวกับมาจากโบราณกาลที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ซึ่งมีแท่นหินตั้งตระหง่านอยู่ที่ใจกลางลวดลายนับไม่ถ้วนนั่น บนนั้นมีของสิ่งหนึ่งเรืองแสงสีเหลืองอ่อน มีขนาดเท่ากำปั้น
พลังนั่นที่ล่องลอยอยู่ในอากาศราวกับเป็ที่มาของวัตถุนี้ มันดูดซับพลังในวัตถุนั้นไม่หยุด แต่วัตถุนั้นมีพลังงานไร้ที่สิ้นสุด ราวกับไม่มีวันเหือดแห้ง
อย่างไรก็ตามเย่เฟิงปลดปล่อยพลังจิตจึงััได้อย่างชัดเจนว่าวัตถุนั้นดูดซับพลังฟ้าดินและแปรเปลี่ยนเป็พลังงานที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าพลังแห่งอำนาจ เช่นเดียวกับการเผาผลาญของร่างกายมนุษย์ ถือได้ว่ามีการดูดซับและการแทนที่
“ผลึกเจตจำนงแรกเริ่ม ในที่สุดก็เจอแล้ว!” ขณะเดียวกันได้ยินเสียงของผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งดังขึ้น ทุกคนได้ยินต่างก็ตาลุกวาวทันที พวกเขามาจากแดนไกลเพื่อมาที่อาณาจักรจ้าว ยอมเสี่ยงอันตรายในมิติก้นบึ้งทะเลสาบ นั่นก็เพื่อตามหาผลึกเจตจำนงแรกเริ่ม
บัดนี้ผลึกเจตจำนงแรกเริ่มได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว แล้วจะไม่ทำให้พวกเขาตื่นเต้นได้อย่างไร
“เมื่อมีผลึกเจตจำนงแรกเริ่ม ก็จะปลุกร่างเจตจำนงได้ เมื่อปลุกร่างเจตจำนงสำเร็จ การเรียนรู้พลังแห่งอำนาจในภายภาคหน้าก็จะราบรื่นไร้ซึ่งอุปสรรคขวางกั้น ต่อจากนั้นก็จะมีหวังบรรลุพลังเจตจำนง!” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวด้วยความตื่นเต้น สมบัติอย่างผลึกเจตจำนงแรกเริ่ม ไม่ว่าผู้ใดต่างก็อยากได้มา เพราะมันสามารถใช้ปลุกร่างเจตจำนงได้ ทำให้เรียนรู้พลังแห่งอำนาจของตนได้ง่ายขึ้น
หากตนเองไม่อยากเสียเวลา เช่นนั้นก็คว้ามันมาแล้วส่งไปให้เ้าสำนักซวนหยวน ถึงเวลานั้นเ้าสำนักซวนหยวนจะตกรางวัลให้อย่างงาม และหากมีรางวัลเหล่านี้ อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ต้องคอยเป็ห่วงเื่ทรัพยากรในการบำเพ็ญตบะไปหลายปี
“ด้วยความรู้ที่พวกเรามีต่อพลังแห่งอำนาจในตอนนี้ ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีกี่เดือนถึงจะััธรณีประตูของพลังเจตจำนงได้ บางทีชั่วชีวิตก็มิอาจไปถึงระดับนั้น อีกอย่างถ้า้าหลอมผลึกเจตจำนงแรกเริ่มและปลุกร่างเจตจำนง มันไม่ใช่เื่ง่าย ๆ เลย ไม่แน่ว่าตัวอาจแตกะเิตายเพราะพลังเจตจำนงที่แกร่งกล้าเข้าสู่ร่างกายก็ได้ ฉะนั้นต้องอยู่ขั้นิญญา่ปลายก่อน ถึงจะหลอมผลึกเจตจำนงแรกเริ่มได้ แต่ว่าคนที่ปลุกร่างเจตจำนงสำเร็จกลับไม่มีเลยสักคน ดังนั้นต่อให้ผลึกเจตจำนงแรกเริ่มมีประโยชน์มากเพียงใด มันก็ไม่มีประโยชน์สำหรับผู้อยู่ขั้นยุทธ์แท้ หากเกิดความโลภที่จะอยากหลอมผลึกเจตจำนงแรกเริ่ม เช่นนั้นเ้าจะตัวแตกะเิตายและเกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ เพราะฉะนั้นหากข้าได้วัตถุนี้มา ข้าจะไปที่สำนักซวนหยวน เพื่อแลกเปลี่ยนเป็ของรางวัล นั่นจึงจะเป็ทางเลือกที่ชาญฉลาด อย่าทำให้ตัวเองต้องตายเพราะความโลภ!”
ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าววิเคราะห์ด้วยเหตุและผล โดยทั่วไปแล้วผู้ที่จะหลอมผลึกเจตจำนงแรกเริ่มได้มักจะเป็ผู้บรรลุอำนาจขั้นิญญา่ปลาย ทั้งยังต้องมีตบะแกร่งกล้าและความรู้ต่อพลังแห่งอำนาจที่ลึกซึ้ง จึงจะสามารถหลอมผลึกเจตจำนงแรกเริ่มได้อย่างสมบูรณ์ และปลุกร่างเจตจำนง
ดังนั้นแม้พลังเจตจำนงจะมีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ในการเรียนรู้พลังแห่งอำนาจ แต่ก็ไม่มีผู้ใดคิดว่าตนเองจะหลอมผลึกเจตจำนงแรกเริ่มได้สำเร็จ
สมบัติระดับนี้ แม้ผู้อยู่ขั้นยุทธ์แท้ได้มันไป แต่ก็มักจะขายให้ผู้มีฝีมือ เพราะอยู่กับตนเองก็ไม่มีประโยชน์และจะนำหายนะมาสู่ตนอีกด้วย
จินตนาการได้เลยว่าหากผู้มีฝีมือมากมายทราบเื่ที่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ผลึกเจตจำนงแรกเริ่ม เช่นนั้นจะเกิดอะไรขึ้น? ผู้ผลึกเจตจำนงแรกเริ่มจักต้องเจอกับหายนะ กระทั่งการไล่ล่าที่ไร้ซึ่งจุดสิ้นสุด
