หลี่ซานกล่าวอธิบาย “ที่อารองของเ้ากล่าวหมายถึง หมวกนิรภัยที่เ้าทำช่วยชีวิตเขาไว้น่ะ”
หลี่หรูอี้กล่าวกับหลี่สือด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านคืออารองของข้า หากข้าไม่ดีกับท่าน ข้าจะดีกับใครเล่า”
“หรูอี้ สมองน้อยๆ ของเ้าช่างชาญฉลาดจริงๆ หมวกนิรภัยที่เ้าทำได้รับคำชมเชยจากใต้เท้าจ่างสื่อด้วย เขามอบรางวัลให้หนึ่งตำลึง” หลี่ซานมองไปยังบุตรีสุดที่รักของตนด้วยแววตาเปี่ยมรัก เพิ่งกลับบ้านมาไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็กล่าวชมนางไปหลายประโยคแล้ว
จ้าวซื่อมองหลี่หรูอี้แล้วกล่าวว่า “เงินหนึ่งตำลึงนั่นข้าจะเก็บไว้เป็สินเดิมให้หรูอี้”
สองสามีภรรยาคู่นี้มักกล่าวชมบุตรีสุดที่รักซึ่งหน้าจนเป็เื่ปกติไปแล้ว ทว่ากลับชมเชยบุตรชายทั้งสี่น้อยครั้ง ซึ่งเด็กทั้งสี่ก็ชินแล้ว
“ท่านแม่ อย่ากล่าวถึงเื่ของข้าอีกเลย ประเดี๋ยวคืนนี้ท่านก็คุยกับท่านพ่อเื่พี่ชายเถิด” หลี่หรูอี้กะพริบตาส่งสัญญาณให้จ้าวซื่อ
จ้าวซื่อหัวเราะ “ข้ารู้แล้ว เ้าช่างดีกับพี่ชายของเ้าจริงๆ”
เด็กชายทั้งสี่มีสีหน้าตื่นเต้น สายตาที่มองไปยังหลี่หรูอี้เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
ในปากของหลี่ซานเต็มไปด้วยหมูผัดน้ำแดง จึงกล่าวขึ้นอย่างไม่ชัดเจนนัก “เื่อันใดหรือ”
“เื่ดี” จ้าวซื่อมองไปยังใบหน้าเหลี่ยมๆ ของสามี บริเวณหว่างคิ้วของเขาเจือไปด้วยความดื้อรั้น เมื่อใคร่ครวญดูแล้วจึงตัดสินใจว่า จะหารือเื่นี้กับสามีเป็การส่วนตัว “กลางคืนค่อยคุยกัน”
หลี่หรูอี้กระซิบว่า “ท่านอารอง อย่ากินจุเกินไปเล่า ประเดี๋ยว่ชมจันทร์ยามกลางคืนยังมีอาหารอร่อยๆ ให้กินอีก”
“ยังมีของอร่อยอีกหรือ” หลี่สือมองไปยังอาหารเลิศรสโอชาที่เรียงอยู่เต็มโต๊ะ คิดไม่ออกจริงๆ ว่ายังจะมีอะไรอร่อยอีก
จ้าวซื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “เ้ากับพี่ชายเ้ายังไม่เคยกินขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่ที่เด็กๆ ทำ จะต้องเผื่อท้องไว้กินด้วยเล่า”
หลี่ซานที่ดื่มสุราไปสองชามหัวเราะเสียงดัง “ตอนที่ข้าอยู่ในตำบลและในอำเภอ ได้ยินคนกล่าวถึงขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่ด้วย นึกไม่ถึงว่าตระกูลหลี่ก็คือตระกูลของพวกเราจริงๆ”
หลี่หรูอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจว่า “ข้ายังทำอาหารแปลกใหม่ที่อร่อยๆ ได้อีกมากมาย จะทำให้ชื่อเสียงของ ตระกูลหลี่ดังไปถึงเมืองเยี่ยนและภาคเหนือให้ดู”
แววตาของหลี่ฝูคังเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น “น้องห้า ข้าเชื่อเ้า”
“หรูอี้ของข้าทั้งฉลาดและมากความสามารถจริงๆ ในบริเวณสิบลี้แปดหมู่บ้านนี้ไม่มีเด็กคนใดดีเท่าเ้าแล้ว” จ้าวซื่ออดชมเชยบุตรสาวของตนไม่ได้
หลังจากมื้ออาหารเย็นอันหรูหราสมบูรณ์แบบเสร็จสิ้น หลี่ซานก็ดื่มสุราจนใบหน้าแดงก่ำแล้ว เขารู้สึกตื่นเต้นอยากไปป้อนอาหารลายิ่งนัก ทั้งยังกล่าวเสียงดังว่า “หลายปีมานี้ข้านึกไม่ถึงจริงๆ ว่า บ้านของพวกเราจะมีลา ทั้งยังมีถึงสองตัว ข้าจะเลี้ยงพวกมันให้ดี”
หลี่เจี้ยนอันประคองหลี่ซานไปที่ลานด้านหลัง
หลี่สือที่กำลังจะเดินไปอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายเห็นหลี่ซานอยู่ที่ลานด้านหน้ากำลังจะขี่ลา จึงรีบะโเรียก “ท่านพี่ ข้าก็อยากขี่ลา”
หลี่ซานกอดคอลาไม่ยอมปล่อยมือ เขาหันไปะโบอกหลี่สือว่า “ยังมีลาอีกตัวหนึ่ง เ้าไปขี่ตัวนั้นเถิด”
จ้าวซื่อกินจนอิ่มและรู้สึกจุกเล็กน้อย นางเดินช้าๆ อยู่แถวลานบ้าน เมื่อเห็นสามีของตนขี่ลาด้วยท่าทางตื่นเต้นราวกับเด็กน้อย ก็หันไปพูดกับหลี่หรูอี้อย่างยิ้มๆ ว่า “บิดาเ้าอยากขี่ลาแท้ๆ แต่กลับบอกว่า อยากให้อาหารลา”
“ท่านพ่อเมาสุราแล้ว”
“บิดาเ้าซื้อผ้าฝ้ายสีแดงมาให้เ้าพับหนึ่ง ซื้อผ้าฝ้ายสีน้ำเงินมาให้ข้า”
“ที่ผ่านมาท่านพ่อไม่ยอมกลับบ้านก็เพราะอยากทำงานเก็บเงินให้มากเสียหน่อย อยากให้พวกเรามีชีวิตที่ดีขึ้น”
เมื่อหลี่ซานและหลี่สือขี่ลากันจนพึงพอใจแล้วจึงไปอาบน้ำที่บ้านอิฐบริเวณลานด้านหน้า
บ้านอิฐสองหลังที่สร้างใหม่นี้จะมอบให้เป็ห้องหอของหลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคัง ทว่าตอนนี้ใช้เป็ห้องอาบน้ำ แยกเป็ของบุรุษหนึ่งห้องสตรีหนึ่งห้อง
ถังไม้ที่สร้างใหม่มีความสูงราวครึ่งตัวคน ยังคงมีกลิ่นไม้จางๆ โชยออกมา น้ำในถังใสสะอาดและยังคงร้อน มีผงขัดตัววางอยู่แถวๆ ฝาถัง แสดงให้เห็นถึงความสะดวกสบายของบ้านนี้
ในตอนที่ไปสร้างกำแพงเมืองที่เมืองเยี่ยน หลี่ซานจะอาบน้ำชำระร่างกายด้วยน้ำจากแม่น้ำ ในฤดูร้อนน้ำในแม่น้ำค่อนข้างขุ่น ส่วนฤดูใบไม้ร่วงน้ำค่อนข้างเย็น เขาไม่เคยได้รับความสะดวกสบายเช่นนี้มาก่อนเลย
คราวนี้หลี่ซานได้แช่ตัวในถังน้ำที่บ้านของตนเอง จึงรู้สึกสบายจนหลับไป
เมื่อหลี่สืออาบน้ำเสร็จแล้วก็สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาดแล้วเดินออกมา “พี่ชายหลับไปแล้ว เขากรนและน้ำลายไหลด้วย”
จ้าวซื่อกลัวว่าน้ำจะเย็นจนทำให้หลี่ซานไม่สบาย จึงบอกให้บุตรชายไปปลุกและประคองบิดาที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นไปนอนพักที่ห้องนอน
ดวงจันทร์สว่างไสว แสงดาวพร่างพราว ดวงจันทร์ใน่เทศกาลไหว้พระจันทร์มีลักษณะกลมโต คนบ้านหลี่ช่วยกันย้ายโต๊ะมาที่ลานด้านหน้า บนโต๊ะมีทั้งผลไม้สด ผลไม้แห้ง และขนมไหว้พระจันทร์ตระกูลหลี่วางอยู่
จ้าวซื่อจุดเทียนหอม นำหลี่สือและลูกๆ ของตนไหว้บรรพบุรุษตระกูลหลี่แทนสามี ไว้อาลัยปู่ย่าที่ตายไปด้วยโรคระบาดเมื่อสิบห้าปีก่อน จากนั้นจึงขอพรให้คนทั้งครอบครัว
“ขนมไหว้พระจันทร์ช่างหอมจริงๆ!” ในที่สุดหลี่สือก็ได้กินของอร่อย เขายิ้มออกมาอย่างมีความสุข
จ้าวซื่อกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงภูมิใจ “นี่ก็คือขนมไหว้พระจันทร์ตระกูลหลี่ มีหนึ่งไม่มีสองในแผ่นดิน มีเพียงพวกเราที่ทำได้”
ณ จวนเยี่ยนอ๋อง ที่อยู่ในเมืองเยี่ยน ซึ่งห่างออกไปหลายสิบลี้ เยี่ยนอ๋องโจวปิงผู้อยู่เหนือคนนับหมื่น อยู่ใต้คนเพียงคนเดียว พาคนในตระกูลไปชมจันทร์เป็เพื่อนฉินไท่เฟยที่ลานบ้าน
ก่อนหน้านี้พวกเขาไหว้บรรพบุรุษและไว้อาลัยอ๋องคนก่อน ซึ่งจากโลกนี้ไปเมื่อหลายปีก่อนเรียบร้อยแล้ว
เจียงชิงอวิ๋นตามเ้าบ้านมาในฐานะที่ตนเป็แขก เขาร่วมไหว้บรรพบุรุษและชมจันทร์กับทุกคน
ในอากาศมีกลิ่นเครื่องแป้งหลากหลาย ทั้งยังมีกลิ่นของขนมไหว้พระจันทร์ ผลไม้แห้ง และผลไม้สดผสมผสานปนเปกันไป ทำให้เจียงชิงอวิ๋นคิดถึงการฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์กับครอบครัวของตนในปีที่ผ่านมา ใบหน้าของคนในครอบครัวปรากฏวนเวียนอยู่ในหัว
ตอนนี้คนในครอบครัวตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงเจียงชิงอวิ๋นที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว
เจียงชิงอวิ๋นดำดิ่งลงสู่ความโศกเศร้าและรู้สึกเ็ปอีกครั้ง และไม่อยากให้ผู้อื่นรับรู้ถึงอารมณ์ด้านลบของตน จึงคิดจะเดินจากไป
“ท่านอา นี่คือขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่ ที่มีหนึ่งไม่มีสองในแผ่นดิน หากท่านชิมแล้วจะต้องกล่าวว่าอร่อยแน่นอน หากไม่ชิมจะต้องเสียใจแน่!” บนใบหน้าอันหล่อเหลาของโจวโม่เสวียนมีรอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้น สั่งให้ผู้ติดตามไปนำขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่เข้ามา
เยี่ยนหวังเฟยที่นั่งอยู่ข้างกายฉินไท่เฟยหันไปยิ้มให้เจียงชิงอวิ๋น “ชิงอวิ๋น โม่เสวียนเป็คนเลือกกิน ของที่เขาบอกว่าอร่อย เ้าจะต้องลองชิมดูให้ได้ อย่าได้พลาดไปเชียว”
โจวฉยงรุ่ยอายุสิบสี่ปีกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านอา ตอนกลางวันข้ากินขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่ไปแล้ว ไม่หวานเกินไปและไม่เลี่ยนเลย ไม่มีไส้ เมื่อกัดเข้าไปแล้วจะมีกลิ่นหอม นับว่ามีเอกลักษณ์จริงๆ ไม่ทันไรข้าก็กินไปแล้วสองชิ้น ทำให้กินอาหารเย็นได้น้อย”
โจวฉยงรุ่ยมีรูปโฉมงดงาม เป็บุตรสาวที่ฉินหวังเฟยคลอดให้โจวปิง มีฐานะเป็ถึงเสี้ยนจู่[1]
โจวเยว่หรง บุตรสาวคนโตของโจวปิงออกเรือนไปแล้ว ตอนนี้ในจวนเยี่ยนอ๋องจึงมีโจวฉยงรุ่ยเป็บุตรีเพียงคนเดียว
โจวฉยงรุ่ยมีนิสัยร่าเริงทั้งยังมีความกตัญญูรู้คุณ จึงเป็ที่รักของคนในบ้าน นางดูแลเจียงชิงอวิ๋นที่ฉินไท่เฟยผู้เป็ยายให้ความสำคัญเป็อย่างดี
ฉินไท่เฟยชี้ไปที่โจวฉยงรุ่ย กล่าวกับโจวปิงและเยี่ยนหวังเฟยด้วยรอยยิ้มว่า “เด็กคนนี้นี่ไม่เสียทีที่เป็หลานสาวข้า ชอบกินของอร่อยๆ เหมือนข้า ตอนกลางวันข้าก็กินขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่ไปสองชิ้น ตอนเย็นจึงไม่กล้ากินมาก” ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเอ็นดู
ก่อนหน้านี้เจียงชิงอวิ๋นอาศัยอยู่ที่แดนใต้ ขนมไหว้พระจันทร์ที่เคยกินจะมีอยู่สองประเภทคือ แบบเค็มและแบบหวาน โดยส่วนตัวเขาชอบไส้เค็มมากกว่า เขาคิดในใจว่าขนมไหว้พระจันทร์ของแดนเหนือไม่มีไส้เช่นนี้จะเอาอันใดไปอร่อยกัน?
แต่เมื่อได้กลิ่นหอมอันเป็เอกลักษณ์ของขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่ และเห็นเมล็ดงาที่โรยอยู่บนหน้าขนมสีเหลืองทอง ซึ่งขนมไหว้พระจันทร์นี้มีขนาดใหญ่ราวครึ่งฝ่ามือนั้นแล้ว กลับทำให้รู้สึกอยากอาหารอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน แต่หากกินตอนนี้ก็เกรงว่าจะทำให้อ้วน
ขณะนั้นเองมีบุรุษผู้หนึ่งกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจว่า “ขนมไหว้พระจันทร์นี้ทำจากอะไรกัน เหตุใดจึงหอมเช่นนี้?”
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] เสี้ยนจู่ คือ ตำแหน่งเชื้อพระวงศ์หญิงลำดับที่สี่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้