“ไปนั่งในห้อง ข้าจะตรวจชีพจรให้ฉีเกอเอ๋อร์อีกครั้ง”อวี๋หรูไห่คิดจะแสร้งทำทีต่อหน้าคนในหมู่บ้านจึงกวักมือเรียกผู้ดูแลสกุลจางให้ไปยังห้องโถง
เดิมทีอวี๋เจียวไม่อยากตามไปห้องโถงเพื่อดูท่าทางเสแสร้งของอวี๋หรูไห่แต่ช่วยไม่ได้เพราะสตรีแซ่จางฉินจับมือนางไว้แน่นไม่ยอมปล่อยนางทำได้เพียงตามเข้าไปเท่านั้น
ั้แ่อวี๋เจียวเข้ามาในสกุลอวี๋คล้ายไม่เคยออกไปข้างนอกคนในหมู่บ้านไม่กี่คนที่นั่งอยู่ในห้องโถงจึงไม่เคยพบหน้าอวี๋เจียวดังนั้นหลังจากอวี๋เจียวเข้ามาในห้อง คนในหมู่บ้านไม่กี่คนจึงหันไปมองสำรวจนาง
อวี๋เจียวเดินเข้ามาในห้องโถงอย่างสง่าผ่าเผยไม่ได้แสดงท่าทีเขินอายเช่นคนขลาดกลัวเพราะถูกคนไม่กี่คนนี้มองพิจารณา
“นี่คือน้องหญิงสกุลจางกระมัง!”สตรีแซ่อวี๋โจวเอ่ยทั้งรอยยิ้มด้วยใบหน้าเป็มิตรตามด้วยรินน้ำชาให้สตรีแซ่จางฉินหนึ่งจอก
สตรีแซ่จางฉินตอบกลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อนึกถึงตะกร้าในมือจึงวางลงบนโต๊ะ “พี่หญิงสกุลอวี๋ไม่ต้องเกรงใจเ้าค่ะนี่คือลูกท้อและผลซิ่งที่ปลูกเองในหมู่บ้านของพวกเรา เอามาให้พวกท่านลองชิมความสดใหม่เ้าค่ะ”
ผลไม้เหล่านี้ สตรีแซ่จางฉินตั้งใจเอามาด้วยโดยเฉพาะนางอยากเอามามอบให้อวี๋เจียวได้กิน
สตรีแซ่อวี๋โจวมองในตะกร้า พบว่าข้างในบรรจุลูกท้อขน [1] ขนาดเท่ากำปั้นและผลซิ่งสีเหลืองทองจำนวนไม่น้อยรอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งเป็มิตรกว่าเดิมในทันใด “น้องหญิงสกุลจางเกรงใจแล้วเช่นนี้จะไม่กระดากใจได้อย่างไร”
“ล้วนเป็สิ่งสมควรเ้าค่ะ”สตรีแซ่จางฉินซาบซึ้งจากใจที่อวี๋เจียวรักษาโรคของฉีเกอเอ๋อร์ของนางจนหายดีได้จริงๆผลไม้ที่ปลูกในหมู่บ้านของพวกเขามีไว้จัดสรรให้นายท่านและบรรดาคุณหนูในจวนสกุลจางเพียงแต่สตรีแซ่จางฉินและสามีเป็คนดูแลหมู่บ้าน เมื่อถึงฤดูกาลจะได้รับรางวัลจำนวนหนึ่งจากสกุลจางเป็ประจำทุกปี
สตรีในหมู่บ้านที่นั่งอยู่ในห้องโถงมองไปยังผลไม้ที่โผล่พ้นขอบตะกร้าไม่ต้องเอ่ยว่าภายในใจนึกริษยาเพียงใดเสียแล้ว
อวี๋หรูไห่บอกให้ฉีเกอเอ๋อร์มานั่งตรงหน้าเขาจากนั้นเอาหมอนรองตรวจชีพจรให้ฉีเกอเอ๋อร์แล้วจับชีพจร
สตรีอีกไม่กี่นางไม่อาจนั่งต่อไปนานนักสตรีแซ่หวังลุกขึ้นเอ่ยเป็คนแรก “ในเรือนข้ายังไม่ทันได้ทำกับข้าวคงต้องกลับก่อนแล้ว”
สตรีคนอื่นๆ ลุกขึ้นตามเช่นกัน เอ่ยพลางแย้มยิ้มว่า“พวกเราก็ควรกลับไปได้แล้ว อีกไม่กี่วันจะถึงฤดูเก็บเกี่ยวกระบุงในจวนยังสานไม่ทันเสร็จเลยด้วยซ้ำ”
หลังจากสตรีไม่กี่นางออกไป สตรีแซ่ซ่งเข้ามาในห้องโถง “ท่านพ่อท่านแม่ ทำกับข้าวเสร็จแล้วเ้าค่ะ”
เมื่อไม่มีคนนอกอยู่ด้วย อวี๋หรูไห่จึงไม่เสแสร้งแกล้งทำอีกต่อไปชักมือที่จับชีพจรของฉีเกอเอ๋อร์กลับมาหันไปเอ่ยพลางแย้มยิ้มกับสองสามีภรรยาสกุลจาง “พวกเ้าก็ยังไม่กินข้าวกระมัง? หากไม่รังเกียจก็กินข้าวแล้วค่อยไป”
ผู้ดูแลสกุลจางรีบเอ่ย “ไม่แล้ว พวกเรากินข้าวมาจากจวนแล้วแท้จริงแล้วการมาในวันนี้ยังมีอีกเื่อยากจะขอร้อง...”
เขาหันไปมองภรรยาแซ่ฉินจางของตน
ครั้นสตรีแซ่ฉินจางเห็นอวี๋หรูไห่มองมาทางตนใบหน้าพลันฉายแววเขินอายเล็กน้อย นางปริปาก แต่กลับไม่อาจเอ่ยวาจาใดออกมา
สตรีแซ่อวี๋โจวดูออกนางคิดว่าเื่ที่คนสกุลจางจะอ้าปากเอ่ยต้องเป็เื่ตรวจโรคแน่นอนไม่เช่นนั้นไม่มีทางมาขอร้องสกุลอวี๋ของพวกนาง ดังนั้นจึงปริปากเอ่ย “น้องหญิงจางเ้าไม่ต้องรู้สึกไม่สะดวกจะเอ่ยปาก หากเป็เื่ตรวจโรค ไม่มีอะไรไม่อาจเอ่ย”
สตรีแซ่จางฉินหันไปทางอวี๋เจียวแล้วค่อยเอ่ยขึ้นว่า“แม่นางเมิ่งตรวจโรคสตรีเป็หรือไม่?” ใบหน้าของนางเห่อแดงเล็กน้อยหลังจากกล่าวเช่นนี้เอ่ยด้วยความเขินอายอย่างยิ่งว่า“เดิมทีอยากจะหลบเลี่ยงผู้คนแล้วค่อยถามแม่นางเมิ่งเพียงแต่ท่านหมออวี๋ก็เป็หมอเช่นกัน ข้าจึงไม่อาจหลบเลี่ยงให้มากนัก”
ครั้นได้ยินว่าเป็โรคสตรี อวี๋หรูไห่ไม่ส่งเสียงใดถึงแม้จะเป็หมอเช่นกัน แต่ท้ายที่สุดยังคงต้องหลบเลี่ยงความต่างระหว่างชายหญิง
ภายใต้สายตาคาดหวังของสตรีแซ่จางฉิน อวี๋เจียวพยักหน้ารับ“ตรวจได้เ้าค่ะ”
สองสามีภรรยาถอนหายใจโล่งอกทันใด ยามนี้สตรีแซ่จางฉินถึงอธิบายว่า“คุณหนูในจวนของพวกเราไม่สบายอยู่บ้าง แต่ติดที่ท่านหมอข้างนอกล้วนแต่เป็บุรุษไม่อาจเชิญมาตรวจโรค วันนี้ข้าไปส่งผลไม้ในหมู่บ้านแล้วได้ยินเื่นี้นึกได้ว่าแม่นางเมิ่งเป็หมอหญิง เมื่อตรวจโรคสตรีย่อมสะดวกกว่ามากจึงอยากจะมาขอร้องให้แม่นางเมิ่งไปตรวจโรคที่จวนแทนคุณหนูในจวนตนเ้าค่ะ”
เชิงอรรถ
[1] ลูกท้อขนหรือกีวี