เมื่อคิดได้เช่นนั้น พลันมีไอเย็นแผ่ออกจากร่างเย่เฟิงพลางกำหมัดแน่น
“เซิ่งอ๋องเกี่ยวข้องกับการล่มสลายของตระกูลเย่โดยตรง คนผู้นี้ไม่เพียงแต่มีอำนาจ แต่ยังมีนิสัยน่ากลัว ไม่รู้ว่ามีผู้จงรักภักดีถูกคนอำมหิตผู้นี้ฆ่าตายไปแล้วกี่คน” มู่เทียนฉีกล่าวเสียงเย็นในดวงตาฉายแววเคียดแค้น
“เพราะอิจฉาริษยาตระกูลเย่ เหล่าคนของตระกูลเฉิน ตระกูลโจว ตระกูลหวัง และตระกูลหลี่ก็สมรู้ร่วมคิดกับเซิ่งอ๋องด้วย ต่างพากันข่มเหงตระกูลเย่ ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก!” มู่เทียนฉีกล่าวต่อ หวนนึกถึงเื่ราวเมื่อสิบปีก่อน แสงเยือกเย็นก็ปะทุออกจากดวงตาของเขา
“ปัง!” พลังแห่งความพิโรธปะทุออกจากร่างเย่เฟิง ดวงตาของเขาแดงก่ำพร้อมกล่าวว่า “กองกำลังเมืองหลวงมีความซับซ้อน ตระกูลเย่ข้าภักดีต่อประเทศ สร้างคุณงามความดี แต่กลับถูกหลาย ๆ กองกำลังข่มเหง หรือการที่ต้องอยู่ในอาณาจักรจ้าว จะต้องใช้วิธีต่ำทรามถึงจะอยู่รอดได้?”
เย่เฟิงกล่าวด้วยความโมโห โลกแห่งการบ่มเพาะนั้นโหดร้าย มีกฎอันป่าเถื่อน ผู้อ่อนแอย่อมตกเป็เหยื่อของผู้แข็งแกร่ง
เซิ่งอ๋องมีอำนาจเผด็จการ ยามแสงเจิดจรัสของตระกูลเย่เข้าปกคลุม เขาก็ใช้วิธีสกปรกจัดการกับตระกูลเย่ ทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากหลาย ๆ กองกำลัง กำจัดผู้ภักดีต่อประเทศ
ในโลกที่ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ อำนาจและพลังคือกฎเกณฑ์ เมื่อเ้ามีอำนาจและพลังเหนือผู้อื่น วาจาและการกระทำของเ้าคือคำพิพากษา กระทั่งตัดสินได้แม้แต่ชีวิตของคนอื่น
“เสี่ยวเฟิง ข้าเข้าใจความรู้สึกของเ้าในตอนนี้ดี ลุงสามบอกเื่พวกนี้กับเ้า เพราะไม่อยากให้เ้าทำอะไรหุนหันพลันแล่น พลังของเ้าถือว่ายังอ่อนแอ ไม่เพียงพอจะทำให้เซิ่งอ๋องหรืออีกสี่ตระกูลสนใจได้ อีกอย่างที่ข้าบอกเื่พวกนี้ก็อยากจะให้กำลังใจเ้าในการก้าวไปข้างหน้า มุ่งมั่นยกระดับพลังของตนเพื่อต่อกรกับกองกำลังเหล่านี้ และคืนความเป็ธรรมให้กับพ่อแม่เ้า!” มู่เทียนฉีทอดถอนใจ
“ข้าเข้าใจแล้ว!” อารมณ์ของเย่เฟิงค่อย ๆ สงบลง ลุงสามพูดถูก หาก้าคืนความเป็ธรรมให้กับบิดามารดา ฟื้นฟูตระกูลเย่ เขาในตอนนี้ยังด้อยพลัง และหนทางที่เขาต้องเดินยังอีกยาวไกล
ในโลกที่ผู้อ่อนแอตกเป็เหยื่อของผู้แข็งแกร่ง ต้องแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ผู้คนจึงจะเกรงขาม และเหยียบย่ำทุกสิ่งให้อยู่ใต้ฝ่าเท้า
“ข้าอยากรู้อีกหนึ่งเื่ ตอนนี้ท่านพ่อท่านแม่ปลอดภัยดีหรือไม่?” เย่เฟิงเผยสีหน้าเคร่งขรึม ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขามักจะเป็กังวลว่าบิดามารดาจะเป็ตายร้ายดีอย่างไร
“ปีนั้นพ่อเ้าหนีไปท่ามกลางความวุ่นวายจนตอนนี้ข้าก็ยังไม่ได้ข่าวคราว ส่วนแม่เ้า ท่านตารับกลับตระกูลมู่ก่อนที่จะถูกตระกูลเย่รับตัวไป ต่อมาก็หนีออกไปตามหาพ่อเ้า แต่เ้าวางใจได้ พวกเขาไม่มีทางเป็อะไร สักวันหนึ่งพวกเ้าจะได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง” มู่เทียนฉีกล่าวพลางถอนหายใจ
ได้ยินเช่นนั้น สายตาของเย่เฟิงวาบประกายแสง แม้เมื่อสิบปีก่อนเขาจะมีอายุเพียงห้าขวบ แต่ก็จดจำได้ชัดเจนว่าบิดามารดาของตนมีพร์โดดเด่นอย่างมาก แม้ตอนนี้ไม่อยู่ในอาณาจักรจ้าว แต่ก็น่าจะเอาตัวรอดได้อย่างไม่มีปัญหา
“แน่นอน สักวันข้าเย่เฟิงจะทำให้ท่านพ่อท่านแม่หวนคืนสู่เมืองหลวงอย่างสง่าผ่าเผย” สายตาของเย่เฟิงดูแน่วแน่ เมื่อรู้ว่าบิดามารดาไม่เป็ไร เย่เฟิงก็ยกหินก้อนใหญ่ออกจากอกได้อย่างสบายใจ
“ข้าเชื่อว่าเ้าทำได้” มู่เทียนฉีกล่าว เขารับรู้ถึงความปรารถนาอันแรงกล้าของเด็กคนนี้ได้
“ท่านพ่อ มีแขกมาหรือ?” ขณะนั้นมีเสียงหวานดังขึ้นที่นอกกระโจม จากนั้นประตูของกระโจมถูกเปิดออก ก่อนจะเห็นคนผู้หนึ่งปรากฏตัวต่อสายตาของเย่เฟิง
เย่เฟิงหันไปมอง อีกฝ่ายเป็เพียงเด็กสาวอายุ 14-15 ปี มีรูปร่างสูงเพรียว ใบหน้าเยาว์วัย หน้าตาราวกับประติมากรรมก็ไม่ปาน ผิวพรรณขาวนวล สวมใส่อาภรณ์สีชมพูอ่อน ผมยาวดำขลับคลุมไหล่ แม้นางจะอายุยังน้อย แต่กลับมีท่วงท่าสง่างดงาม ซึ่งดวงตาโตคู่นั้นกำลังมองมาทางเย่เฟิงพอดี
“หว่านเอ๋อร์ เ้ามาแล้ว!” มู๋เทียนฉีระบายยิ้มทันทีที่เห็นหญิงสาวเดินมา
ไม่นานนักหญิงสาวคนนั้นเดินมาถึงด้านหน้าเย่เฟิงและมู่เทียนฉี ดวงตางามคู่นั้นมองเย่เฟิงไม่วางตาคล้ายดูสงสัย
“ท่านพ่อ คนนี้คือ?” หญิงสาวกล่าวถามมู่เทียนฉีด้วยเสียงใสแจ๋ว ฟังไพเราะเสนาะหู
“ข้าจะแนะนำให้เ้ารู้จัก คนนี้คือลูกผู้พี่ของอาหญิงเล็กเ้า นามว่าเย่เฟิง ตอนนี้ผ่านการทดสอบของสำนักยุทธ์เทียนเสวียน และอีกเดี๋ยวก็จะเข้าฝึกฝนในสำนักยุทธ์แล้ว” มู่เทียนฉีแนะนำเย่เฟิงให้หว่านเอ๋อร์รู้จัก
“อาหญิงเล็ก? เย่เฟิง? ลูกผู้พี่?” หว่านเอ๋อร์ทวนสามคำนี้ ใบหน้าอันเยาว์วัยที่ใสซื่อนั้นดูไม่รู้ความ เหมือนเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ
“ใช่ ลูกผู้พี่” มู่เทียนฉีย้ำอีกครั้ง จากนั้นหันไปพูดกับเย่เฟิง “เสี่ยวเฟิง คนนี้คือลูกสาวข้า มู่หว่านเอ๋อร์ หรือก็คือลูกผู้น้องเ้า”
จากนั้นเย่เฟิงและมู่หว่านเอ๋อร์ทักทายกัน แม้พบกันเป็ครั้งแรก แต่ความใสซื่อไร้เดียงสาของหญิงสาวก็ทำให้เย่เฟิงรู้สึกสนิทสนม
“ผ่านการทดสอบของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนได้ เช่นนั้นพี่เย่เฟิงก็ต้องร้ายกาจมากเลยน่ะสิ!”
ขณะมองท่าทีไร้เดียงสาของหว่านเอ๋อร์ ั้แ่ออกมาจากตระกูลหนานกง รอยยิ้มของเย่เฟิงก็ดูสดใสเป็พิเศษ
“แน่นอนอยู่แล้ว พี่เย่เฟิงของเ้ามีพร์ยอดเยี่ยมมาก คว้าอันดับหนึ่งมาครองได้ อนาคตสดใสแน่นอน เ้าน่ะขยันฝึกฝนหน่อย ภายหน้าจะได้ไม่เสียชื่อเสียงของพ่อเ้า” มู่เทียนฉีกล่าวพลางยิ้ม
“อันดับหนึ่ง พี่เย่เฟิงเก่งมากเลย” ดวงตากลมโตของหว่านเอ๋อร์มองเย่เฟิงด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ทุกอิริยาบถของนางเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์งดงาม
“ท่านพ่อวางใจได้! หว่านเอ๋อร์จะมุมานะฝึกฝน ภายหน้าจะเก่งให้ได้อย่างพี่เย่เฟิง” แววตาเลื่อมใสศรัทธาของหว่านเอ๋อร์จางหายไป แทนที่ด้วยแววตาแห่งความมุ่งมั่น พลางกำหมัดเล็ก ๆ ของนางแน่น
“ให้มันจริงเถอะ” มู่เทียนฉีกล่าว
หว่านเอ๋อร์แลบลิ้นใส่มู่เทียนฉี ทั้งยังทำหน้าทะเล้นใส่ จากนั้นทักทายเย่เฟิงแล้วออกไป
“พร์ของหว่านเอ๋อร์ไม่เลว อายุไม่ถึง 15 ปีก็อยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 5 อีกไม่นานก็คงปลุกิญญาาได้ เพราะงั้นตระกูลมู่จึงโปรดปรานนางมาก” มู่เทียนฉีกล่าวพลางยิ้มให้เย่เฟิงราวกับพึงพอใจในตัวบุตรสาวคนนี้
“อายุไม่ถึง 15 ปีก็บรรลุขั้นบ่มเพาะกายาที่ 5 ถือว่าเป็อัจฉริยะมากฝีมือคนหนึ่งของเมืองหลวง หว่านเอ๋อร์ช่างเก่งกาจจริง ๆ” เย่เฟิงกล่าวพลางยิ้ม เขารู้สึกประทับใจลูกผู้น้องอย่างหว่านเอ๋อร์คนนี้มาก
“เสี่ยวเฟิง การที่เ้าเอาชนะหนานกงหลิงซวงได้ อาจเกี่ยวข้องกับิญญาาเทพัที่เ้าปลุกขึ้นมา เมื่อบรรลุขั้นรวมชี่ จุดเด่นของิญญาาคงเด่นชัดกว่านี้หลายเท่า ดังนั้นความสามารถของเ้าจะเปลี่ยนไปและแข็งแกร่งกว่าเดิม” มู่เทียนฉีกล่าว หลานชายคนนี้ของเขามีฝีมือร้ายกาจ ทำให้เขาภูมิใจอย่างมาก
เย่เฟิงรับฟังเงียบ ๆ มู่เทียนฉีคือลุงสามของเขา คือยอดฝีมือรุ่นใหญ่ ทุกอย่างที่เขาพูดเกี่ยวกับการบ่มเพาะพลังจะมีประโยชน์ต่อเย่เฟิงอย่างมาก
เวลาสองชั่วยาม มู่เทียนฉีเล่าประสบการณ์และสิ่งที่เขาเรียนรู้มาให้กับเย่เฟิงทั้งหมด ทำให้เย่เฟิงได้เปิดหูเปิดตามากขึ้น
“รับเคล็ดวิชาฝ่ามือภูผาพิฆาตนี้ไป แล้วจงฝึกมันให้ดี ๆ” มู่เทียนฉีกล่าว จากนั้นมีแสงกะพริบโผล่ขึ้นยังด้านหน้าเขา ก่อนจะปรากฏคัมภีร์เก่า ๆ เล่มหนึ่งในมือ บนคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘เคล็ดวิชาฝ่ามือภูผาพิฆาต’
“รับไปซะ ฝ่ามือภูผาพิฆาตนี้เป็เคล็ดวิชาขั้นเหลือง ระดับไม่นับว่าสูง แต่พลังโจมตีกลับไม่อ่อนแอ มันช่วยยกระดับพลังของเ้าได้” มู่เทียนฉีระบายยิ้ม ก่อนจะยื่นคัมภีร์ฝ่ามือภูผาพิฆาตให้เย่เฟิง จากนั้นเย่เฟิงก็เก็บลงในแหวนมิติ
การโจมตีของเขาในตอนนี้ทำได้เพียงพึ่งพาเคล็ดวิชาหอกเงินประกาย ยังขาดบางอย่าง แต่ฝ่ามือภูผาพิฆาตนี้จะมาชดเชยได้พอดิบพอดี
“ขอบคุณท่านลุงสามมาก” เย่เฟิงกล่าวขอบคุณมู่เทียนฉี จากนั้นทั้งสองคุยกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนเย่เฟิงจะขอตัวไปจากค่ายทหารแห่งนี้
ก่อนจะไป หว่านเอ๋อร์ออกมาส่งเขาด้วย ความใสซื่อไร้เดียงสาของนางได้ทิ้งความประทับใจอย่างลึกซึ้งให้กับเย่เฟิง จากนั้นเย่เฟิงควบม้าออกเดินทางคนเดียว ไม่นานก็มาถึงสถานที่ที่สำนักยุทธ์เทียนเสวียนอยู่ ส่วนผู้คนมากมายที่เคยอยู่ในลานประลองก็ได้แยกย้ายไปกันหมดแล้ว เย่เฟิงผ่านลานประลอง ก่อนจะมาถึงหน้าประตูใหญ่ของสำนักยุทธ์
“หยุด!” องครักษ์สองนายขวางทางเย่เฟิง ซึ่งสำนักยุทธ์เทียนเสวียนมีการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดมาก จึงไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไปได้ตามอำเภอใจ
เย่เฟิงไม่สนใจองครักษ์สองนายนั้น เพียงแสดงป้ายผ่านทางที่เยว่กู่ให้เขาก่อนหน้านี้ เมื่อองครักษ์ทั้งสองเห็นมันก็พร้อมใจกันถอยหลังไปหนึ่งก้าว เพื่อหลีกทางให้เย่เฟิง
“เชิญท่านใต้เท้า!” องครักษ์นายหนึ่งเอ่ยพลางมองเย่เฟิงด้วยสายตาเคารพนับถือ
เย่เฟิงควบม้าไปต่อ เขารู้ได้ในทันทีว่าป้ายผ่านทางที่เยว่กู่มอบให้เขาไม่ใช่ป้ายอาญาสิทธิ์ธรรมดา ๆ
ซึ่งเป็ไปตามที่เย่เฟิงคาดการณ์ไว้ เขาผ่านเข้ามาในสำนักยุทธ์ได้อย่างง่ายดาย จากนั้นมีคนออกมาต้อนรับ และพาไปยังที่พักของเย่เฟิงที่จัดเตรียมไว้ให้
ภายในห้อง เย่เฟิงนั่งขัดสมาธิ สองมือวาดไปมาอยู่ด้านหน้าพร้อมกับแสงแห่งพลังหยวนส่องประกายในมือ
ตอนนี้เย่เฟิงอยู่จุดสูงสุดของขั้นบ่มเพาะกายาที่ 5 อีกเพียงก้าวเดียวก็จะบรรลุขั้นบ่มเพาะกายาที่ 6 แล้ว
พลังหยวนจากทั่วทุกหนแห่งมาที่ร่างกายของเย่เฟิง พลางส่องแสงอันอบอุ่น
ความหนาแน่นของพลังหยวนค่อย ๆ ถึงจุดสูงสุด พลังหยวนบริสุทธิ์ราวกับแปรเปลี่ยนเป็เส้นด้ายแทรกซึมทุกส่วนของร่างกายเย่เฟิง
พลังหยวนพวกนี้ซึมผ่านิัเข้าสู่เส้นลมปราณหลัก จากนั้นเริ่มโคจรไปตามโลหิตของเย่เฟิง ขัดเกลากระดูกเส้นเอ็นทุกส่วนของร่างกาย
เย่เฟิงรับรู้ได้ว่าพลังหยวนหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุดหย่อน ทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนการบ่มเพาะก็ไปยังทิศทางของขั้นบ่มเพาะกายาที่ 6
ขั้นบ่มเพาะกายาคือพลังขั้นพื้นฐานของผู้ฝึกยุทธ์ สิ่งสำคัญของการบ่มเพาะขั้นนี้คือการขัดเกลาร่างกาย ยกระดับเส้นลมปราณเพื่อเตรียมทะลวงขั้นต่อไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้